เครื่องเป่า
เครื่องดนตรีไทยที่ใช้ลมเป่าแล้วดังเป็นเสียงนั้น แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท ประเภท หนึ่งต้องมีลิ้นที่ทำด้วยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สอดใส่เข้าไว้ เมื่อเป่าลมเข้าไป ลิ้นก็จะเต้นไหว ให้เกิดเสียง เรียกว่า "ปี่" อีกประเภทหนึ่งไม่มีลิ้น แต่มีรูบังคับ ทำให้ลมที่เป่าหักมุม แล้วเกิดเป็นเสียงขึ้น เรียกว่า "ขลุ่ย" ทั้งปี่และขลุ่ย ลักษณนามเรียกว่า "เลา" ซึ่งมีอยู่หลายประเภท แต่จะกล่าวเฉพาะที่ควรรู้เท่านั้น คือ
ปี่ใน ทำด้วยไม้ชิงชังหรือไม้พะยูง กลึงให้ป่องกลางและบานปลายทั้ง ๒ ข้างเล็กน้อย เจาะเป็นรูกลวงภายใน มีรูสำหรับปิดเปิดนิ้วให้เป็นเสียงสูงต่ำ เจาะที่ตัวปี่ ๖ รู ๔ รูบนเรียงตาม ลำดับ แล้วเว้นห่างพอควรจึงถึง ๒ รูล่าง ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลตัดกลมมน ซ้อน ๔ ชั้น ผูกติดกับ หลอดโลหะที่เรียกว่า "กำพวด" สอดกำพวดเข้าในรูปี่ด้านบนแล้วจึงเป่า
ปี่ใน
ที่เรียกว่าปี่ในนี้ มาเรียกกันเมื่อมีปี่รูปร่างอย่างเดียวกัน แต่ขนาดต่างกันเกิดขึ้น คือ ปี่ที่ย่อมกว่าปี่ใน เล็กน้อยเรียก "ปี่กลาง" และปี่ขนาดเล็กเรียกว่า "ปี่นอก"
ปี่ไฉน เป็นปี่ที่มี ๒ ท่อน สวมต่อกัน มีรูปเหมือนดอกลำโพง ยาวประมาณ ๑๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมกับกลองชนะ ในงานพระบรมศพ พระศพเจ้านาย หรือศพที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศ
ปี่ชวา รูปร่างเหมือนปี่ไฉน แต่ใหญ่กว่า ยาวประมาณ ๓๙ เซนติเมตร บรรเลงร่วมในวง เครื่องสายปี่ชวา และปี่พาทย์นางหงส์
ปี่ชวา
ขลุ่ย เป็นเครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น ทำด้วยไม้รวก (ที่ทำด้วยไม้ชิงชังหรืองาช้างก็มี) มีรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ด้านใต้ ซึ่งทำให้ลมหักมุมลง เรียกว่า รูปากนกแก้ว รูที่สำหรับปิดเปิดนิ้วบังคับ เสียงสูงต่ำอยู่ด้านบน ๗ รู และ ด้านล่างเรียกว่า รูนิ้วค้ำ อีก ๑ รู ด้านขวามีรูสำหรับปิดเยื่อ (เยื่อ ในปล้องไม้ไผ่หรือเยื่อหัวหอม) เพื่อให้เสียงแตก (เมื่อต้องการ) ขลุ่ยรูปร่างอย่างเดียวกันนี้มี ๓ ขนาด คือ "ขลุ่ยหลิบ" ขนาดเล็ก มีเสียงสูง ยาวประมาณ ๓๖ เซนติเมตร "ขลุ่ยเพียงออ" ขนาดกลาง เสียงระดับกลาง ยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร และ "ขลุ่ยอู้" ขนาดใหญ่ มีเสียงต่ำ ยาว ประมาณ ๖๐ เซนติเมตร
ขลุ่ยหลิบ
ขลุ่ยเพียงออ
ที่มา : https://sites.google.com/site/thaimusic2557