4. มรรค (ตามพุทธวจนะ)
1. ภิกษุทั้งหลาย ! ความเห็นชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ.
2.ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำริชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ความดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน, นี้เราเรียกว่า ความดำริชอบ.
3.ภิกษุทั้งหลาย ! วาจาชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการพูดเท็จ การเว้นจากการพูดยุให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ, นี้เราเรียกว่า วาจาชอบ.
4.ภิกษุทั้งหลาย ! การงานชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! การเว้นจากการฆ่าสัตว์ การเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย, นี้เราเรียกว่า การงานชอบ.
5.ภิกษุทั้งหลาย ! อาชีวะชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! อริยสาวกในกรณีนี้ ละการหาเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยการหาเลี้ยงชีพที่ชอบ, นี้เราเรียกว่า อาชีวะชอบ.
6.ภิกษุทั้งหลาย ! ความเพียรชอบ เป็นอย่างไร ?
(6.1) ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันบาปทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด
(6.2) ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่บังเกิดขึ้นแล้ว
(6.3) ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้บังเกิด
(6.4) ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือนความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
นี้เราเรียกว่า ความเพียรชอบ
7.ภิกษุทั้งหลาย ! ความระลึกชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
(7.1) เป็นผู้มีปกติ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม (สัมปชัญญะ) มีสติ นำความพอใจ และความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
(7.2) เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสตินำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
(7.3) เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้
(7.4) เป็นผู้มีปกติพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ, มีความเพียรเผากิเลส มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้, นี้เราเรียกว่า ความระลึกชอบ.
8.ภิกษุทั้งหลาย ! ความตั้งใจมั่นชอบ เป็นอย่างไร ?
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้
(8.1) สงัดแล้วจากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงฌานที่หนึ่ง อันมีวิตก วิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
(8.2) เพราะวิตกและวิจารระงับลง, เธอเข้าถึงฌานที่สอง อันเป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่
(8.3) เพราะปีติจางหายไป, เธอเป็นผู้เพ่งเฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม และได้เสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าถึงฌานที่สาม อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย กล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุ ว่า “เป็นผู้เฉยอยู่ได้ มีสติ มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม” แล้วแลอยู่
(8.4) เพราะละสุขและทุกข์เสียได้ และเพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัส ในกาลก่อน เธอย่อมเข้าถึงฌานที่สี่ อันไม่ทุกข์และไม่สุข มีแต่สติอันบริสุทธิ์เพราะ อุเบกขาแล้วแลอยู่, นี้เราเรียกว่า สัมมาสมาธิ.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้เราเรียกว่า อริยสัจ คือ หนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
(ภาษาไทย) มหา.ที.๑๐:๒๓๑:๒๙๙ #พุทธวจนะ
***อย่าลืมว่า ทำอานาปานสติ(นั่งรู้ลมหายใจเข้าออก) = กำลังทำมรรค 8 ครบทุกข้อแล้ว
ซึ่งการทำอานาปานสติ(นั่งรู้ลมหายใจเข้าออก) ให้คอยสังเกตดู...
ถ้าวิญญาณไปรับรู้ "รูป" เช่น คันตามผิวหนัง ก็ให้พิจารณาว่ามันเป็นแค่วิญญาณไปรับรู้ "รูป"แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจต่อ
ถ้าวิญญาณไปรับรู้ "เวทนา" เช่น รู้สึกทุกข์ในใจที่ต้องมานั่งนิ่งๆนานๆ หรือ รู้สึกสุขหลังจากนึกถึงเรื่องดีๆในอดีต(เกิดเวทนาหลังสัญญาดับไป) ก็ให้พิจารณาว่ามันเป็นแค่วิญญาณไปรับรู้ "เวทนา"แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจต่อ
ถ้าวิญญาณไปรับรู้ "สัญญา" เช่น อยู่ๆเรื่องอดีตก็แว้บเข้ามาในหัว ก็ให้พิจารณาว่ามันเป็นแค่วิญญาณไปรับรู้ "สัญญา"แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจต่อ
ถ้าวิญญาณไปรับรู้ "สังขาร" เช่น อยู่ๆเหตุการณ์แปลกๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นเข้ามาในหัว หรือ จินตนาการถึงสิ่งที่เราไม่เคยทำ ก็ให้พิจารณาว่ามันเป็นแค่วิญญาณไปรับรู้ "สังขาร"แล้วก็กลับมารู้ลมหายใจต่อ
ค่อยๆฝึกไป ก็จะทิ้งอารมณ์แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะเริ่มเข้าถึงฌาน
สำหรับท่านที่ไม่สามารถอ่านทั้งหมดนี้ได้ ให้ฟังเทศน์จาก 5 ลิงค์ข้างล่างนี้แทน
1. ทำไมเราต้องไปนิพพาน อริยบุคคล/โสดาบันคืออะไร กดเลย --> ชาติที่แล้วเคยได้เกิดเป็นอะไร | พุทธวจน | ธรรมะ | พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube
2. ทุกข์(ขันธ์ 5) กดเลย --> อธิบายขันธ์ 5 | พุทธวจน | พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube
3. สมุทัยและนิโรธ(ปฏิจจสมุปบาท) กดเลย --> ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม | พุทธวจน | ธรรมะ |พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube
4. อธิบายสมุทัยและนิโรธ(ปฏิจจสมุปบาท) กดเลย --> ทำความเข้าใจปฏิจจสมุปบาท | พุทธวจน | พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube
5. มรรค กดเลย --> อริยมรรคมีองค์ 8 | พุทธวจน | ธรรมะ | พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube
ส่วนที่ 2
หากท่านเป็นชาวพุทธ ขอให้ท่านเชื่อมั่นใน
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่วแน่สุดๆ
ขนาดที่ว่า ช้างมาฉุด วัวมาลาก ยักษ์มากระทืบ
ก็ไม่ทำให้ท่านเสื่อมศรัทธาในพระรัตนตรัยได้
1. ทำไมเราถึงเชื่อมั่นใน “พระพุทธ” (พระพุทธเจ้า) ?
ตอบ - สำนึกเสมอว่าตนเองเป็นเพียงผู้เดินตามพระองค์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญาก็ตาม" ภิกษุทั้งหลาย ! ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ได้ทำมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครรู้ให้มีคนรู้ ได้ทำมรรคที่ยังไม่มีใครกล่าวให้เป็นมรรคที่กล่าวกันแล้ว ตถาคตเป็นมัคคัญญู(รู้มรรค) เป็นมัคควิทู (รู้แจ้งมรรค) เป็นมัคคโกวิโท(ฉลาดในมรรค). ภิกษุทั้งหลาย! ส่วนสาวกทั้งหลายในกาลนี้เป็นผู้เดินตามมรรค เป็นผู้ตามมาในภายหลัง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล เป็นความผิดแผกแตกต่างกัน เป็นความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เป็นเครื่องกระทำให้แตกต่างกันระหว่างตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะกับภิกษุผู้ปัญญาวิมุตติ (อ้างอิง ขนฺธ.สํ.๑๗:๘๑:๑๒๕ ๖)
อนึ่ง.... มันมีหลายอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกแล้ว/สอนแล้ว วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ เช่น
เอ๊ะ!!! คนทั้งโลกก็ตั้ง 7พันล้านคนนี่ ทำไมท่านเปรียบเทียบเหมือนโอกาสน้อยมาก มาดูกันเลย
สมมติดินที่ปลายเล็บท่านหนักประมาณ 0.1 กรัม น้ำหนักของโลกทั้งใบประมาณ 5.9 x 10^27กรัม แปลว่า พระพุทธองค์ทรงประมาณโอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์และเทวดาไว้ประมาณ 1 ต่อ 59000000000000000000000000000
ในมุมของวิทยาศาสตร์(หากไม่นับพืช) ดิน 0.1 กรัม อาจมีแบคทีเรียหรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กอยู่เป็นสิบตัว
อนึ่ง ทีมนักวิทยาศาสตร์ในUSA คาดว่ามีดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยได้อย่างน้อย 300 ล้านดวงในกาแล็กซีทางช้างเผือก แล้วทั้งจักรวาลมีหลายล้านกาแล็กซี ไหนจะเปรตอีก สัตว์นรกอีก
อ้างอิง กดเลย --> ดาวเคราะห์ที่มนุษย์อยู่อาศัยได้ มีอย่างน้อย 300 ล้านดวงในกาแล็กซีทางช้างเผือก - BBC News ไทย
เห็นอย่างนี้แล้ว อัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ 59000000000000000000000000000 ของพระพุทธองค์ ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด
ตอนเด็กเราอาจเคยเรียนรู้กันมาว่าจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด แต่!!! ตอนนี้ไม่ใช้แล้วนะ
โลกเราอยู่ในระบบสุริยะ ระบบสุริยะเป็น1ในพันล้านระบบของกาแล็คซี่ทางช้างเผือก กาแล็คซี่ทางช้างเผือกเป็น1ในพันล้านกาแล็คซี่ของจักรวาล(เอกภพ) นักจักรวาลวิทยาคาดว่าจักรวาล(เอกภพ)ที่เราอยู่นี้มีลักษณะเป็นฟองขนาดใหญ่ และคาดว่าจะมีจักรวาล(เอกภพ)อื่นๆอยู่อีก เสมือนฟองสบู่ขนาดมหึมาลอยอยู่ในอวกาศสัมบูรณ์อันมืดมิด
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่คล้ายกันนี้ เคยถูกพูดถึงมานานแล้วตั้งแต่ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงนิยามคำว่า “โลกธาตุ”(จักรวาลในพุทธศาสนา) ไว้คล้ายทฤษฎีนี้มาก คือโลกธาตุมีขอบเขตจำกัด และมีหลายโลกธาตุ
อ้างอิง กดเลย --> จักรวาลมีจุดสิ้นสุด เราเห็นผนังที่ขอบมันด้วย - YouTube
แต่มีสิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ในพระไตรปิฎกกล่าวว่าทุกๆกัปจะเกิดขึ้นและดับไปด้วยไฟประลัยกัลป์ ซึ่งคล้ายกับทฤษฎี “บิ๊กแบง” ที่ว่า จักรวาลเราเริ่มต้นจาก บิ๊กแบง แล้วกำลังขยายตัวออกเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปหลายล้านๆปี มวล พลังงานทุกอย่างจะเริ่มสลายไป สุดท้ายก็จะไม่เหลือแม้แต่อนุภาค จักรวาลจะว่างเปล่ามืดมิดอย่างสมบูรณ์ แต่ก็จะเกิดใหม่ได้ เมื่อมีบิ๊กแบงอีกครั้ง
อ้างอิง กดเลย --> การเดินทางสู่จุดจบของจักรวาล - YouTube
2. ทำไมเราถึงเชื่อมั่นใน “พระธรรม” ?
ตอบ ผ่านมา ๒,๕๐๐ กว่าปี ศาสนาพุทธก็เกิดมีหลายสำนัก หลายครูบาอาจารย์ แบ่งแยกเป็นนิกาย ต่างคนต่างใช้ความเห็นของหมู่คณะของตน จนคำสอนของพระพุทธเจ้าเริ่มจางหายไป จนเราต้องกลับมาถามว่าหมู่คณะนั้นใช้คำของพระตถาคตเป็นมาตรฐานรึเปล่า พระพุทธเจ้าทรงเห็นถึงปัญหานี้ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ท่านจึงได้ตรัสกำชับในหลายๆครั้ง ดังนี้
- พระองค์ทรงสามารถกำหนดสมาธิเมื่อจะพูดทุกครั้ง ท่านจึงไม่เคยพูดผิดพลาดแม้แต่คำเดียว
มหาสัจจกสูตร มู.ม.๑๒:๔๖๐:๔๓๐
- แต่ละคำพูดของพระองค์เป็นอกาลิโก คือ ถูกต้องตรงจริงไม่จำกัดกาลเวลา
มหาตัณหาสังขยสูตร ม.ม.๑๒:๔๘๕:๔๕๐
- แต่ละคำที่ตรัส ไม่เคยขัดกัน
นับตั้งแต่ราตรีที่ตถาคตได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนกระทั่งถึงราตรีที่ตถาคตปรินิพพาน ตลอดเวลาระหว่างนั้น ตถาคตได้กล่าวสอนและแสดงออกซึ่งถ้อยคำใด ถ้อยคำเหล่านั้นทั้งหมดย่อมเข้ากันได้ทั้งสิ้น ไม่แย้งกันเป็นประการอื่นเลย (ด้วยเหตุที่คำของพระองค์สอดรับ ไม่ขัดแย้งกันเลยตลอด ๔๕ ปีนี้เอง พระองค์จึงได้รับการขนานนามว่า 'ตถาคต') อิติวุ.ขุ.๒๕:๓๒๑:๒๙๓
- ทรงห้ามเพิ่มหรือตัดทอนสิ่งที่บัญญัติไว้
ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่างเคร่งครัดอยู่เพียงใด ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความเสื่อมเลย มหาปรินิพพานสูตร มหา.ที.๑๐:๘๙:๖๙
- ตรัสไว้ว่าให้จำบทพยัญชนะ และคำอธิบายอย่างถูกต้อง พร้อมขยันถ่ายทอดบอกสอนกันต่อไป
พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่วในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา พวกภิกษุเหล่านั้นเอาใจใส่บอกสอนเนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่นๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลายก็ไม่ขาดผู้เป็นมูลราก(อาจารย์)สืบกันไป. ภิกษุทั้งหลาย ! นี่เป็นมูลกรณีที่สามซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป... (ในที่นี้ยกมาเพียง 2 ข้อ จาก 4 ข้อ ของเหตุเจริญแห่งพระศาสนา) จตุกฺก.อํ.๒๑:๑๙๘:๑๖๐
***มีพุทธวจนะที่สอนว่า "ถ้ามีภิกษุ/คนอื่นนำคำแต่งใหม่มาสอน(ที่ไม่ใช่คำอธิบายพุทธวจนะ) อาจเป็นในลักษณะของบทกลอนที่มีพยัญชนะสวยงาม เราจะไม่ฟังด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตที่จะรู้" สรุปคือ พระพุทธเจ้าให้ฟังพุทธวจนะและคำอธิบายที่ไม่มีการแต่งใหม่เท่านั้น"
3. ทำไมเราถึงเชื่อมั่นใน “พระสงฆ์” ?
ตอบ ภิกษุสงฆ์ในพระธรรมวินัยเสมือนเป็นทายาททางธรรมของพระพุทธองค์ ผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา และยังทำหน้าที่ส่งต่อพระธรรมให้ปุถุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้และปฏิบัติตาม
อนึ่ง พระสงฆ์นอกรีตนั้นมีมาตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลก่อนพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว ถึงอย่างนั้น พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้ด้วยพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติตามพระวินัย เป็นที่ชัดเจนว่า ในหมู่สงฆ์ ย่อมมีทั้งสงฆ์ดีและไม่ดีปะปนกัน โดยเราก็สามารถเชื่อมั่นในพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและสอนตามพุทธวจนะได้
สุดท้ายนี้ ต้องบอกเลยว่า ถ้าไม่มีพระสงฆ์ ก็ไม่มีอริยสัจ 4 ให้อ่าน เพราะพุทธศาสนาคงล่มสลายทันทีที่พระพุทธองค์ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ดังนั้น พระสงฆ์(ในพระธรรมวินัย)เป็นผู้ที่น่านับถืออย่างยิ่ง
ตัวอย่าง พระสงฆ์ที่ผู้เขียนนับถือและเรียนพระธรรมกับท่านมาตลอด คือ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง
ส่วนที่ 3
“จงละความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น ซึ่งรวมถึงต้องละความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย”
1. ในพระพุทธศาสนานั้น มนุษย์เจริญได้ทั้งทางโลกและทางธรรม
สำหรับการเจริญในธรรมของฆราวาสนั้น หมายถึงการพยายามปฏิบัติตามพระธรรม อาทิ มรรค 8 ให้ถึงพร้อม เพื่อความหลุดพ้นในภายภาคหน้าเท่านั้น ไม่ได้ทำไปเพื่อเหตุผลอื่น เช่น เพื่อใช้ยกตัวเองและกดหัวผู้อื่นให้ต่ำต้อยกว่า หรือเพื่อให้ตัวเองดูน่าเคารพน่าเกรงขาม เป็นต้น
(ตัวอย่างที่เห็นชัดๆคือ กลุ่มคนที่ชอบเข้าวัด ทำบุญ ใส่บาตร แต่ ชอบเชียร์ให้ตำรวจใช้กระสุนจริงยิงเด็กที่ออกมาชุมนุม... อย่างงี้ไม่ดี อย่าทำเด็ดขาด)
2. ไม่ว่าจะใช้พิธีกรรมแบบใด อ้อนวอนต่อสิ่งใด หรือเทพที่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ท่านหลุดพ้นจากทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิดได้ การปฏิบัติตามมรรค 8 ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ท่านหลุดพ้นได้ พญานาค ครุฑ พรหมและเทวดาในศาสนาพุทธล้วนต้องตายทั้งสิ้น และก็ยังไม่พ้นที่จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก เดียรัจฉานและเปรต
(ถ้าไม่เชื่อ ต้องฟังจากปากพระ กดเลย --> รู้ธรรมะนี้แล้ว การบนบานศาลกล่าวจะหมดไปจากชีวิต | พุทธวจน | ธรรมะ | พระอาจารย์คึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง - YouTube )
3. พยายามรักษาศีล 5 อันเป็นคุณธรรมพื้นฐานในศาสนาพุทธให้ได้สมบูรณ์ที่สุด เริ่มต้นง่ายๆโดยพยายามลด/หลีกเลี่ยง การฆ่า การขโมย การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ และการดื่มสุรา (หากวิเคราะห์ตามพุทธวจนะ ผู้ที่ถือศีล5ไม่ครบสามารถเป็นอริยบุคคลได้ แต่จะได้ถึงแค่สกทาคามี)
วิธีจ่ายเบี้ยประกัน
สำหรับท่านที่สนใจทำประกันนี้
ขอให้ท่านทำความเข้าใจและเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในทั้ง 3 ส่วนที่อ่านมา โดยมีเงื่อนไขดังนี้
- ห้ามฆ่าคนเป็นอันขาด
- ห้ามทำให้หรือยุยงให้ภิกษุสงฆ์แตกแยกกัน อันเป็น การทำลายสงฆ์อย่างเด็ดขาด
การคุ้มครอง/ผลประโยชน์
ท่านจะเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติและจะบรรลุอรหันต์ภายใน 7 ชาตินี้แน่นอน โดยที่ การเกิดใน 7 ชาตินี้จะไม่เกิดในนรก ไม่เกิดเป็นเปรตและสัตว์เดียรัจฉาน