“โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายเกิดก่อน ทั้งเป็นโรงเรียนสำหรับพระนคร จึงต้องรับภาระอันจะเป็นแบบอย่างแห่งโรงเรียนช่างก่อสร้างทั้งหลาย กับเป็นที่เพาะวิชาครูช่าง เพื่อไปเผยแผ่วิชาช่างในโรงเรียนช่างก่อสร้างทั้งหลายอันจะเกิดขึ้นสะพรั่งตั้งแต่นี้ไป”
ข้อความดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในคําอวยพรของ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ มอบให้แก่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อแรกสถาปนาในพุทธศักราช ๒๔๗๕ การจัดการศึกษาวิชาช่างไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภไว้แล้ว แต่ยังมิทันได้โปรดเกล้าฯ ให้ดําเนินการก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน กระทั่งถึงพุทธศักราช ๒๔๕๖ กระทรวงธรรมการ ซึ่งมีเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เป็นเสนาบดี ได้จัดการก่อสร้างโรงเรียนฝึกหัดการหัตถกรรม เพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นที่บริเวณถนนตรีเพชร และนําความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานนาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “โรงเรียนเพาะช่าง” และ เสด็จพระราชดําเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ครั้งนั้นมีพระราชดํารัสตอบความตอน หนึ่งว่า “ตามที่เจ้าพระยาพระเสด็จอ่านรายงานเรื่องสร้างโรงเรียนนี้ว่า ได้กระทําขึ้น เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถของเรานั้น เราเชื่อว่าถ้ามีวิถีอันใดที่กิตติศัพท์อันนี้จะทรงทราบถึงพระองค์ได้ แม้จะเสด็จอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม คงจะทรงยินดีและพอพระราชหฤทัย เป็นอันมาก เพราะว่าพระองค์ได้มีพระราชประสงค์อยู่นานแล้วที่จะทรงบํารุงศิลปวิชาการของไทยเราให้เจริญ ตัวเราเองก็ได้เคยฟังกระแสพระราชดําริอยู่เสมอ เราเห็นพ้องด้วยกระแสพระราชดํารินั้นตั้งแต่ต้นมา คือเราเห็นว่าศิลปวิชาช่างเป็นสิ่งสําคัญอันหนึ่ง ซึ่งสําหรับแสดงให้ปรากฏว่า ชาติได้ถึงซึ่งความเจริญเพียงใดแล้ว เราได้เคยปรารภกับเจ้าพระยาพระเสด็จและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วยการศึกษาที่จะใช้วิชาช่างของเราตั้งขึ้นใหม่จากพื้นเดิมของเราแล้ว และขยายให้แตกกิ่งก้านสาขางอกงามยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนเอาพันธุ์พืชของเราเองมาปลูกลงในพื้นแผ่นดินของเรา แล้วบำรุงให้เติบโตงอกงาม ดีกว่าจะเอาพันธุ์ไม้ต่างประเทศมาปลูกลงในพื้นแผ่นดินของเรา อันไม่เหมาะกัน” โดยความประสงค์เช่นนี้ เมื่อเจ้าพระยาพระเสด็จ มาขอชื่อโรงเรียน เราระลึกผูกพันอยู่ในความเปรียบเทียบกันต้นไม้ดังกล่าวนี้ เราจึงได้ให้ชื่อโรงเรียนนี้ว่า “โรงเรียนเพาะช่าง”ที่มาของนามอุเทนถวาย
ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าธานีนิวัต ทรงเป็นเสนาบดี กระทรวงธรรมการ พระเสนอพจนพากย์ (เสนอ รักเสียม) เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนเพาะช่าง ช่วงเวลาดังกล่าวขาดแคลนช่างไม้และช่างก่อสร้างที่เป็นคนไทย ช่างก่อสร้างที่มีอยู่ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ หัวหน้าผู้ควบคุมการก่อสร้างมักเป็นชาวจีน เพื่อเป็นการทํานุบํารุงวิชาการก่อสร้างไทย ในพุทธศักราช ๒๔๗๔ จึงได้เปิดการสอนวิชาช่างแผนกแบบแปลน และเปิดแผนกรับเหมาก่อสร้างขึ้นที่เชิงสะพานอุเทนถวาย ถนนพญาไท อันเป็นที่ตั้งของโรงงานนักเรียนเพาะช่าง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นอุทิศพระราชทานแด่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ตั้งแต่พุทธศักราช ๒๔๖๖ ให้ชื่อแผนกที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า “โรงเรียนเพาะช่าง แผนกก่อสร้าง” “สะพานอุเทนถวาย” ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานนักเรียนเพาะช่าง อันเป็นที่มาของชื่อโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายนั้น เป็นสะพานข้ามคลองสวนหลวง ถนนพญาไท คลองนี้เชื่อมต่อกับคลองอรชร ข้าราชการและพนักงาน กรมสรรพากรในร่วมกันบริจาคเงินจํานวน ๘,๐๑๕ บาท ๔๐ สตางค์ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตสร้างสะพานในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๕ พร้อมกับสะพานช้างโรงสี ที่ข้ามคลองหลอดเยื้องกระทรวงกลาโหม ซึ่งรื้อของเดิมและสร้างขึ้นใหม่ ส่วนสะพานที่ข้าราชการกรมสรรพากรในประสงค์จะสร้างถวายนั้น โปรดเกล้าฯ ให้สร้างที่คลองสวนหลวง ครั้งนั้นเจ้าพระยายมราชเสนาบดีกระทรวงวัง ซึ่งกํากับดูแลกรมสุขาภิบาล ได้เสนอชื่อสะพานที่จะสร้างใหม่ทูลเกล้าฯ ถวายให้ทรงเลือก ๔ ชื่อ ได้แก่ สะพานอุเทนอุทิศ สะพานสรรพากรอุทิศ สะพานบริวารถวาย และสะพานเบญจมราชูทิศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “อุเทนถวาย” กรมสรรพากรมีตราประจํากรมเป็นรูปพระเจ้าอุเทนดีดพิณ” หรือ “อุเทนราชดีดพิณ” ดังนั้น “อุเทนราช” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกรมสรรพากรและข้าราชการในสังกัด สะพานอุเทนถวาย จึงหมายถึง “สะพานที่ข้าราชการกรมสรรพากรสร้างถวาย” สะพานนี้สร้างเสร็จและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงเปิดเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ปัจจุบันสะพานดังกล่าวถูกรื้อแล้วกําเนิดช่างก่อสร้างอุเทนถวาย
พุทธศักราช ๒๔๗๕ คณะราษฎรยึดอํานาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตั้งแต่วันที่ ๒๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ ต่อมาถึงเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๗๕ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้มีคําสั่งเรื่องตั้งโรงเรียนวิสามัญศึกษาช่างก่อสร้าง เป็นการส่งเสริมการศึกษาวิชาช่างไทย ความในคําสั่งมีดังนี้ "บัดนี้ถึงเวลาที่จะจัดตั้งโรงเรียนช่างก่อสร้างขึ้น เพื่อเป็นโรงเรียนฝึกหัดวิชชาชีพต่อไป เพราะฉะนั้นให้ตั้งโรงเรียนวิสามัญศึกษาขึ้นที่ โรงงานของโรงเรียนเพาะช่าง ถนนพญาไท เชิงสะพานอุเทนถวาย ตำบล ถนนพญาไท โรงหนึ่ง ให้ชื่อว่า "โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย" และขึ้นแขวง วิสามัญ กับให้กรรมการจัดการโรงเรียนในคณะหนึ่ง" ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่งแต่ ณ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๗๕(ลงนาม) เจ้าพระยาธรรมศักดิ์ เสนาบดี หลังจากมีคําสั่งตั้งโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายแล้ว เสนาบดีกระทรวงธรรมการได้เสนอโครงการจัดวิสามัญศึกษา แผนกโรงเรียนช่างก่อสร้างไปยังประธานคณะกรรมการราษฎร เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๕ การจัดการศึกษาในโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายกําหนดชั้นต้นกับชั้นกลาง ดังปรากฏในโครงการที่เสนอตอนหนึ่งว่า “เวลานี้กําลังเริ่มตั้งโรงเรียนช่างก่อสร้างชั้นประถมวิสามัญกับมัธยมต้นวิสามัญซึ่งควรจะมีมากแห่งในพระนคร และในนิคมคามต่างๆ ได้ตั้งโรงเรียนแรก...เรียกว่า โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย จะได้เปิดรับนักเรียนในไม่ช้า แผนกประถมวิสามัญรับนักเรียนจบประถมสามัญแล้ว ให้เรียนเป็นช่างไม้ช่างปูนและช่างทาสี แผนกมัธยมต้นวิสามัญรับนักเรียนจบมัธยมต้นแล้วให้เรียนวิชาช่างนั้นๆ จนมีความรู้สูงขึ้นไปเป็นนายช่างคุมงานและกะงาน อย่างหัวหน้าช่างอื่นที่เรียกว่า “จีนเต็ง” ได้ เวลาเรียนกำหนดคราว ๕ ปี ทั้ง ๒ ชั้น มีการเรียนวิชชาสามัญเพิ่มเติมบ้างเล็กน้อยตามสมควร... โรงเรียนช่างชั้นสูงสอนวิชชาสถาปัตยกรรม ตัดให้เป็นสถาปนิก (Architect) คือ นายช่างผู้ออกแบบการก่อสร้าง บัดนี้เปิดสอนอยู่แล้วในโรงเรียนเพาะช่าง ซึ่งต่อไปจะได้สมทบเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ในมหาวิทยาลัยตามควรแก่ฐานชั้นอุดมศึกษา...” เสนาบดีกระทรวงธรรมการมีบัญชาให้ตั้งคณะกรรมการจัดการโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ประกอบด้วย พระยาวิทยาปรีชามาตย์ พระยาปริมาณสินสมรรค พระยาโสภณหิรัญกิจ จมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกร หลวงอาจอัคคีการ นายนารถโพธิประสาท และมีหลวงวิศาลศิลปกรรมเป็นครูใหญ่ เปิดรับนักเรียนเข้าศึกษาวิชาช่างก่อสร้าง เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๖ ครั้งนั้นมีนักเรียนทุกชั้นทุกแผนกรวมกันจํานวน ๔๒ คนเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
(สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ผู้ให้กำเนิด “โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๖
วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๗
วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๔๗๗ เป็นวันแรกที่ "อุเทนถวาย" ได้อัญเชิญองค์พระวิษณุกรรมเสด็จมาประทับเป็นเทพาจารย์ เป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าช่างอุเทนถวายทั้งมวล
อ้างอิงจาก: อาจารย์ปัญญา สัลลกานนท์ บทความเรื่อง "ความหลังสิบสี่ปี ของเลือดสีน้ำเงิน หมายเลข ๗๗" ในหนังสืออนุสรณ์ โรงเรียน "ช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ๒๔๙๐"พระเทวภินิมมิต (ฉาย) ได้เขียนภาพระบายสี โดยจำลองรูปวิษณุกรรมเหยียบเมฆ พระหัตถ์ขวาทรงจับไม้วา พระหัตถ์ซ้ายทรงถือไม้ฉากและลูกดิ่ง ใช้เป็นสัญลักษณ์ประจำสำนัก
สีน้ำเงิน อุเทนถวาย
ประวัติอาจารย์สว่าง สุขัคคานนท์
ชื่อ-สกุล อาจารย์สว่าง สขุคคานนท์
เกิด ๘ ตุลาคม ๒๔๔๙
การศึกษา ป.๑ - ป.๓ โรงเรียนวัดป่าโมกข์ อำเภอป่าโมกข์ จังหวัดอ่างทองป.๔ - มัธยมปีที่ ๔ โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ จังหวัดกรุงเทพมหานคร มัธยมปีที่ ๕ – จบการศึกษา โรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา เป็นบุตรคนที่ ๔ ของ อำมาตย์เอก ขุนปาโมกข์เกษตร ประวัติสังเขป สุวรรณ (สุข) และนางปาโมกข์เกษตรสุวรรณ (แป้น) เมื่อเยาว์ศึกษาอยู่ในโรงเรียนวัดป่าโมก ขณะนั้นบิดารับราชการเป็น นายอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง จบชั้นประถมศึกษาและมา ศึกษาต่อในพระนครที่ โรงเรียนวัดปทุมคงคา และโรงเรียน เทพศิรินทร์ จบการศึกษาในปี ๒๔๖๗ และได้เข้ารับหน้าที่เป็น ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลวัดโพธิ์ราษฎร์ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ในขณะที่ทำหน้าที่ครูใหญ่ ได้มีการอบรมครูใหญ่ ทั้งมณฑล สอบได้เป็นที่ ๙ ของจังหวัด เป็นที่ ๔ ในมณฑล สอบ ได้ประโยคครูประถม ธรรมศึกษาเอก นับเป็นคนแรกของจังหวัด ในสมัยนั้น กรมหมื่นพิทยลาภพิทยาลงกรณ์ ครั้งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการ ได้เสด็จไปตรวจราชการทรงพอพระทัย ได้ยกโรงเรียนประชาบาลวัดโพธิ์ราษฎร์ ขึ้นเป็นโรงเรียนตัวอย่างในจังหวัด โรงเรียนนั้นจึงมีชื่อเสียง มีนักเรียนกว่า ๗๐๐ คน นับว่ามากที่สุด ในยุคนั้น ๒๔๓๓ ย้ายมาเป็นครูโรงเรียนเกษตรกรรมจังหวัดอ่างทอง (ปัจจุบันเป็นโรงเรียนการช่าง) ต้องบุกร้างถางพง วางผังก่อตั้งโรงเรียนขึ้น กองวิสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ รับสมัครสอบครูเข้าบรรจุในโรงเรียนมัธยมวิสามัญ (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น กรมอาชีวศึกษา) สอบได้เป็นอันดับที่ ๑๔ บรรจุเข้าเป็นครูใน โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย เมื่อ ๙ กรกฎาคม ๒๔๗๘ หลังจาก โรงเรียนได้สถาปนาขึ้นเพียงระยะ ๖ เดือน โดยได้รับอัตราเงินเดือน ๔๕ บาท สอบได้ประโยคครูมัธยมในปีนั้น พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้เลื่อนเป็นครูตรี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้เลื่อนเป็นครูโท และดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้เลื่อนเป็นครูเอก อยู่ในหน้าที่และตำแหน่งเดิม พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้รับแต่งตั้งเป็นอาจารย์ใหญ่ รวมเวลาที่รับราชการอยู่ในโรงเรียนนี้เป็นเวลา ๓๔ ปีเศษ นับเป็นครูตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เห็นกิจการของโรงเรียนที่ได้เปลี่ยนแปลงมาก