แหล่งเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาชาวบ้าน
"การทำลอดช่องสิงคโปร์อบแห้ง" ตราไผ่สายรุ้ง
แหล่งเรียนรู้บ้านสะพานหิน
การทำเศรษฐกิจพอเพียง -และการกำจัดขยะ
แหล่งเรียนรู้ด้านโบราณสถาน
โบสถ์มหาอุตม์ วัดเขาโบสถ์
โบราณสถาน โบสถ์มหาอุตม์ อายุกว่า 100 ปี
ณ วัดเขาโบสถ์ หมู่ที่ 7 ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง
คลิปวิดีโอ การเรียนรู้เกี่ยวกับโบราณสถาน โบสถ์มหาอุตม์ วัดเขาโบสถ์
ณ วัดเขาโบสถ์ หมู่ที่ 7 ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง
ข้อมูลโดบ : นายจักรพงศ์ พลอยประดับ จัดทำโดย : นักศึกษา กศน.ตำบลทับมา
ประวัติวัดเขาโบสถ์
ที่ตั้งวัด
เลขที่ 111/1 หมู่ที่ 7 ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
สภาพทั่วไปของวัด
วัดมีพื้นที่ประมาณ ๒๔ ไร่ ๒ งาน ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของอำเภอนิคมพัฒนา มีอาณาเขตติดต่อกับอำเภอบ้านค่าย อยู่ใกล้เคียงดังนี้
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตภูเขา
ทิศใต้ ติดต่อกับเขตถนนสาธารณะ
ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตถนนสาธารณะ
ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตคลองสาธารณะ
ลักษณะภูมิอากาศ
มีลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อนลมทะเลพัดผ่านตลอดปี อากาศอบอุ่นไม่ร้อนจัดบริเวณชายเขาเย็นสบายในฤดูฝนจะมีฝนตกชุก ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี ที่ผ่านมา และอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ ๓๐ องศาเซลเซียส โดยมีอุณหภูมิสูงสุดในเดือนเมษายนประมาณ ๓๘ องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคมวัดได้ ๑๖ - ๑๗ องศาเซลเซียส
ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพพื้นที่โดยทั่วไป เป็นที่ราบ ประกอบด้วยภูเขาเตี้ยๆ ด้านเหนือ และ ตะวันตกเป็นที่ราบสลับภูเขาและลำคลอง เป็นที่ลาดต่ำ ทางทิศใต้เป็นดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี หลังวัดมีแม่น้ำ ๑ สาย คือ
- สาขาแม่น้ำระยอง ชาวบ้านโดยทั่วไป เรียก มือคลอง ไหลผ่านทางด้านหลังของวัดทางด้านทิศตะวันตก และไหลลงสู่ทะเลที่ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองระยอง
ลักษณะดิน
เป็นดินร่วนปนทรายและดินลูกรัง ระบายน้ำได้ดี แต่มีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับต่ำและมีภูเขาเตี้ย ๆ
ป่าไม้ เป็นพื้นที่จัดทำโครงการ “ป่าชุมชนบ้านเขาโบสถ์” ตามมติครม.ปี ๓๘ เป็นป่าเบญจพรรณและป่าละเมาะ
ทรัพยากรแร่ธาตุ
จากการสำรวจจะเป็นแหล่งน้ำที่สมบูรณ์
ความเป็นมาของศิลปกรรมของวัดเขาโบสถ์
จุดเริ่มต้นของศิลปกรรม คือ การที่ต้องประดิษฐ์และสร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวก และเพื่อความเป็นอยู่ที่ปลอดภัย สำหรับการดำรงชีพและความอยู่รอด ได้แก่ ที่พักอาศัยอย่างง่าย ๆ อาคารที่สร้างขึ้น อย่างหยาบๆ สร้างอิฐดินเผาเพื่อเป็นการสร้างโรงอุโบสถอย่างง่าย ๆ ล้วน เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของชุมชนในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่แตกต่าง จากธรรมชาติ ในระยะต่อมาเมื่อคนในชุมชนได้สัมผัสกกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ซึ่งบางเหตุการณ์เป็นสิ่งที่เหนือคำอธิบายได้ในยุคนั้น ด้วยความเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์อำนาจของสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ จึงได้เกิด พิธีกรรมต่าง ๆ พัฒนามาเป็นความเชื่อจนกลายเป็นเรื่องของศาสนาในปัจจุบัน ศิลปะจึงได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อประกอบในพิธีกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ เป็นรากฐานและแรงบันดาลใจให้คนในชุมชนในสมัยต่อ ๆ มาสร้างงานที่มีลักษณะแปลกแตกต่างและพัฒนาให้เกิด ผลงานที่ดีขึ้นต่อไป
วิธีการปฏิบัติในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปกรรมของวัดเขาโบสถ์
เราเข้าใจแนวคิดพุทธศาสนาที่เป็นบ่อเกิดของงานช่าง และวิธีการปฏิบัติของวิถีชีวิตของชุมชนจะมีอิทธิพลต่อการอนุรักษ์ศิลปกรรมดังปัจจุบัน สังคมชาวบ้านเขาโบสถ์แต่โบราณดูแลอาคารโบราณสถานต่างๆด้วยแนวคิดพื้นฐานของชุมชน ด้วยแนวคิดทางพุทธศาสนาศิลปกรรมต่างๆ มีคุณค่าในฐานะเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์(Instrument)ที่ชี้นำในการเผยแพร่ไปสู่สังคมภายนอกชุมชน ให้เข้าถึงความเป็นจริงของพุทธศาสนาและศิลปกรรม โดยเข้าใจธรรมชาติของวิถีชุมชน อันเป็นคนในสังคมที่ยังคงมีกิเลสอันยึดติดอยู่ในความงาม จึงได้ใช้ความงามของศิลปะเป็นอุบายในการโน้มนำใจให้คิดดี ทำดีตามหลักศาสนาด้วยแนวคิดที่ศิลปะอันเนื่องในพุทธศาสนามีหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ใน
การอธิบายแนวคิดทางศาสนาและเป็นรูปสัญลักษณ์ที่ใช้สื่อความหมายในทางศาสนา และสืบทอดอายุของพุทธศาสนา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เมื่อศาสนสถาน หรือศาสนวัตถุชำรุด ชาวบ้านในชุมชนก็ปฏิสังขรณ์ให้สมบูรณ์จะไม่ปล่อยให้ชำรุดหักพัง เช่นอุโบสถหลังเก่าของวัดเขาโบสถ์ ถือว่าเป็นจุดขายที่จะสื่อให้เห็นถึงความมีศิลปะในจิตใจ ของคนในชุมชนเดิม ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงคุณค่าทางศิลปะเป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้ เพราะสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์ย่อมทำหน้าที่ในการเป็นรูปสัญลักษณ์ ที่สื่อสารความหมายทางศาสนาได้เป็นอย่างดีพร้อมกันนั้น ด้วยแนวคิด “ไตรลักษณ์” ที่สอนให้มองสรรพสิ่งว่าไม่เที่ยง โดยเฉพาะภิกษุซึ่งเกี่ยวข้องในการใช้ศาสนสถานโดยตรง ก็มีท่าทีต่อเสนาสนะที่ใช้สอย เมื่อเป็นดังนี้ “แม้แต่ความงามในเสนาสนะ และศิลปะทั้งปวงก็ล้วนเป็นอนัตตา” ที่ว่างเปล่าปราศจากตัวตน ทำให้เมื่อศาสนสถานชำรุดไปตามกาลเวลาจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องฝืนความเป็นไตรลักษณ์ด้วยการพยายามรักษาศาสนสถานไว้ให้คงอยู่ถาวรตามสภาพเดิมจึงทำให้การบูรณปฏิสังขรณ์ในทางด้านศิลปกรรมที่อยู่ในวัดนอกจากนั้นแล้ว ด้วยแนวคิดเรื่องบุญกิริยาในทางพุทธศาสนา การดูแลซ่อมแซมศาสนสถานศาสนวัตถุให้คงรูปในสภาพที่สมบูรณ์ย่อมได้บุญกุศลกว่าการปล่อยให้อยู่ในสภาพปรักหักพังความเชื่อเช่นนี้ฝังรากลึกอย่างยาวนานในสังคมไทย เช่น จิตรกรรมฝาผนัง กล่าวว่า หากสร้างธรรมมาสน์ ผลบุญ คือ เมื่อตายแล้วจะได้จุติบนสวรรค์พร้อมวิมาน ส่วนการปิดทองพระพุทธรูปผลบุญชาติต่อไป คือ จะได้จุติเป็นกษัตริย์ หรือใน จันทเสนชาดก กล่าวว่าหากปฏิสังขรณ์และปิดทองพระพุทธรูปที่ชำรุด ผลบุญชาติต่อไป คือ จะได้จุติเป็นเทวดา และหากเป็นหญิงก็จะมีผิวงาม ไม่เคยปรากฏหลักฐานในคัมภีร์หรือจารึกใดๆว่า ผู้คนในสมัยโบราณสร้างหรือปฏิสังขรณ์ศิลปะ อันเนื่องในพระศาสนาเพื่อที่จะอนุรักษ์ศิลปะหรือสืบทอดฝีมือช่างให้แก่ลูกหลาน แม้ว่าการปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน ศาสนวัตถุโดยชนชั้นปกครองในสมัยโบราณจะแฝงไปด้วยวัตถุประสงค์หลักทางการเมือง แต่ก็เป็นการเมืองที่อิงเข้าหาพุทธศาสนาในการเสริมสร้างบารมีและความชอบธรรมในการปกครอง นอกจากเพื่อบุญกุศลการอนุรักษ์ปัญหาที่ยังไม่มีทางออกในขณะที่การอนุรักษ์ที่ดำเนินการบนพื้นฐานแนวคิดจากตะวันตกในปัจจุบัน สามารถรักษาศิลปกรรมหรืออาคารโบราณวัตถุสถานได้เพียงแค่ในเชิง“วัตถุ” หรือ “รูปธรรม” และมักได้ซากอาคารโบราณที่ไร้ชีวิต และปราศจากหน้าที่ที่เคยใช้สอย ดังตัวอย่าง อุทยานประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของประเทศไทย แต่แนวคิดของพุทธศาสนาในสมัยโบราณนั้น กลับสามารถรักษาความหมายและคุณค่าในเชิง “นามธรรม” ที่เป็นรากฐานที่ก่อให้เกิดงานช่างอันงดงามเหล่านั้น ได้แก่ การรักษา “ความเชื่อ” “ความศรัทธา” ในพระศาสนาอันเป็น “นามธรรม” ที่อยู่ในใจคนไว้ได้ เพราะความเชื่อเช่นนี้ที่ดำรงอยู่ในใจคนพุทธศาสนิกชนจึงสามารถสั่งสม สืบทอด และพัฒนาฝีมือช่างจนสามารถรังสรรค์ศาสนสถานศาสนวัตถุอันงดงาม
“ศิลปกรรมล้ำค่า ภูมิปัญญาก้าวไกล ใส่ใจธรรมชาติ
แหล่งที่มา
Copyright © www.khaoboth.com
วัดเขาโบสถ์ หมู่ 7 ตำบลทับมา อำเภอเมือง จังหวัดระยอง 21000