[Phayao2 Care]
ระบบสารสนเทศ
ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน สพป.พะเยา เขต 2
ระบบสารสนเทศ
ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน สพป.พะเยา เขต 2
แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน ชื่อภาษาอังกฤษ คือ The Strengths and Difficulties Questionnaire : SDQ พัฒนาโดย Robert Goodman จิตแพทย์เด็กชาวอังกฤษ
แบบประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน มี 3 ชุด ได้แก่
1.แบบประเมินสำหรับนักเรียนประเมินตัวเอง (self-rated)
2.แบบประเมินสำหรับครูเป็นผู้ประเมินนักเรียน (teacher)
3.แบบประเมินสำหรับผู้ปกครองเป็นผู้ประเมินนักเรียน (parent)
1. ในการพัฒนา IQ หากทราบจุดแข็งของเด็ก จะทำให้สามารถดึงศักยภาพที่เด็กมี ออกมาใช้ได้เต็มที่มากขึ้น และทำให้ง่ายต่อการวางแผนการช่วยเหลือเด็ก
2. ในการช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยง 4 โรค จะทำให้ทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาด้านพฤติกรรม อารมณ์ส่งผลกระทบต่อตัวเด็ก คนรอบข้างอย่างไร และเด็กมีจุดแข็งด้านใด ซึ่งจะทำให้วางแผนช่วยเหลือได้ตรงจุด
ผู้ใช้แบบประเมิน ควรรู้จักเด็ก และมีความใกล้ชิดกับเด็กมาระยะเวลาหนึ่ง
ควรประเมินทั้ง 25 ข้อ ในครั้งเดียวกัน
การประเมินพฤติกรรมเด็ก เป็นการประเมินลักษณะพฤติกรรมในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
อาจเลือกใช้แบบประเมินพฤติกรรมเด็กฉบับของครู พ่อแม่ หรือแบบประเมินตนเอง หรือใช้ร่วมกัน ซึ่งควรเป็นระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน
การเยี่ยมบ้านนักเรียน เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนซึ่งการดำเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีขั้นตอน พร้อมด้วยวิธีการและเครื่องมือการทำงานที่ชัดเจน โดยมีครูประจำชั้นหรือครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการดำเนินงาน พร้อมทั้งความร่วมมืออย่างใกล้ชิดของครูที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียนเจียงทองพิทยาคมจึงจัดให้มีกิจกรรมเยี่ยมบ้านนักเรียน ตามโครงการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนขึ้น เพื่อให้รู้จักนักเรียนรายบุคคลและคัดกรองนักเรียน เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างบ้านกับโรงเรียน รวมทั้งครูและผู้ปกครองนักเรียนจะได้หาแนวทางร่วมกันในการหาวิธีการส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียนร่วมกัน อันนำไปสู่การดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1. เพื่อให้ครูได้เห็นสภาพแท้จริงของสิ่งแวดล้อมและสภาพความเป็นอยู่ทางครอบครัวของนักเรียน
2. เพื่อช่วยให้ครูได้รู้ถึงเจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อครู โรงเรียน และนักเรียน
3. เพื่อสร้างความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้านกับโรงเรียน อันจะส่งผลให้เกิดความร่วมมือที่ดีในการช่วยแก้ปัญหาหรือพัฒนานักเรียน
4. เพื่อเพิ่มเติมข้อมูล ข้อเท็จจริง บางประการที่เกี่ยวกับเด็กนักเรียนที่ไม่อาจสามารถหาได้ด้วยวิธีการอื่น ๆ
เพื่อให้ผู้ปกครองและนักเรียนเกิดเจตคติที่ดีต่อครูและโรงเรียนอีกทั้งยินดีให้ข้อมูล ครูที่ไปเยี่ยมบ้านจึงควรยึดหลักการดังนี้
1. ก่อนไปเยี่ยมบ้านควรแจ้งให้นักเรียนทราบล่วงหน้าเพื่อไปบอกกล่าวผู้ปกครองก่อนว่าครูจะเยี่ยมบ้านในวันใดเวลาใด
2. ครูควรตั้งจุดมุ่งหมายของการไปเยี่ยมบ้านว่าต้องการทราบข้อเท็จจริงหรือข้อมูลเรื่องใดบ้าง พร้อมทั้งเตรียมหัวข้อที่จะสัมภาษณ์หรือสนทนากับผู้ปกครองของนักเรียน เพื่อให้ได้ข้อมูลตามจุดมุ่งหมายนั้น
3. ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวนักเรียนเท่าที่มีอยู่ก่อนไปเยี่ยมบ้าน เพื่อการปฏิบัติตัวหรือถามคำถามที่เหมาะสมกับสภาพทางบ้านของนักเรียน
4. พยายามสร้างให้เกิดความคุ้นเคย ความอบอุ่นใจ ความมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
5. ควรสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสร่วมวงสนทนาในระยะแรกที่ครูไปถึง
6. พยายามให้ผู้ปกครองได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกต่างๆ ออกมาให้มากในเรื่องที่สนทนากัน
7. หลีกเลี่ยงการการตำหนิติเตียน การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวนักเรียน ผู้ปกครอง ครูหรือโรงเรียน
8. การเยี่ยมบ้านควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเวลาที่ไปเยี่ยมและระยะเวลาที่เยี่ยมบ้านโดยไม่ควรใช้เวลาอย่างเร่งรีบ แต่ไม่ควรจะอยู่นานจนเกินไป