กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558)
1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด
3. ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้และจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน
5. ผู้เรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทํางาน และการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ
6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผู้เรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะการคิดขั้นสูง
8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลักการความคิดรวบยอด
9. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง
10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์ การสร้างองค์ความรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน
จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการในการพัฒนาผู้เรียนและเน้นการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงของผู้เรียน
1. สร้างบรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี
กับผู้สอนและเพื่อนในชั้นเรียน
2. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมรวมทั้ง
กระตุ้นให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
3. จัดสภาพการเรียนรู้แบบร่วมมือ ส่งเสริมให้เกิดการร่วมมือในกลุ่มผู้เรียน
4. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธีการสอนที่หลากหลาย
5. วางแผนเกี่ยวกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของเนื้อหา และกิจกรรม
6. ครูผู้สอนต้องใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคิดเของที่ผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน รวมทั้งสามารถใช้ได้กับนักเรียนทุกระดับ ทั้งการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้แบบกลุ่มใหญ่ McKinney (2008) ได้เสนอตัวอย่างรูปแบบหรือเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แบบ Active Learning ได้ดี ได้แก่
1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้
ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดแต่ละคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด (Share)
2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้
ผู้เรียนได้ทำงานร่วมกับผู้อื่น โดยจัดเป็นกลุ่มๆ ละ 3-6 คน
3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลือกรณีที่มีปัญหา
4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้าบูรณาการใน
การเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล
5. การเรียนรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น หรือสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดู อาจโดยวิธีการพูดโต้ตอบกัน การเขียน หรือ การร่วมกันสรุปเป็นรายกลุ่ม
6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดให้ผู้เรียนได้
นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อยืนยันแนวคิดของตนเองหรือกลุ่ม
7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คือการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาแล้ว
8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research proposals or project) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน(project-based learning) หรือ การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน(problem-based learning)
9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียน
ได้อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือแนวทางแก้ปัญหาภายในกลุ่ม แล้วนำเสนอความคิดเห็นต่อผู้เรียนทั้งหมด
10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping journals or logs) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่
ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งเสนอความคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบันทึกที่เขียน
11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and produce a newsletter) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูลสารสนเทศ ข่าวสาร และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วแจกจ่ายไปยังบุคคลอื่นๆ
12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept mapping) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้
ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกันของกรอบความคิด โดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แล้วนำเสนอผลงานต่อผู้เรียนอื่นๆ จากนั้นเปิดโอกาสให้ผู้เรียนคนอื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ที่มา: เอกสารประกอบการฝึกอบรม “คุณภาพผู้เรียน.......เกิดจากกระบวนการเรียนรู้”
โดย ดร.สถาพร พฤฑฒิกุล (3 ธันวาคม 2558) คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตสระแก้ว
30 รูปแบบ การจัดกิจกรรมโดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ
การระดมพลังสมอง (Brainstorming)
การระดมพลังสมอง เป็นการนำความรู้ที่มีอยู่แล้วออกมาใช้ ผู้เรียนมีอิสระในทางความคิด ไม่ต้องไปกังวลว่าสิ่งที่คิดออกมาสัมพันธ์กับประเด็นที่ตั้งหรือไม่ จะถูกหรือผิด การระดมพลังสมองใช้ได้ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม
การระดมพลังสมอง มี 2 รูปแบบ
รูปแบบที่ 1 ระดมหามากที่สุด
การระดมพลังสมองเพื่อหามากที่สุด จะใช้เป็นงานกลุ่มหรืองานเดี่ยวก็ได้
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูกำหนดประเด็นหรือให้นักเรียนเป็นผู้กำหนดประเด็นขึ้นมา เช่น ผ้าขาวม้า
2. ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดให้มากที่สุดในเวลาที่กำหนด เช่น เขียนประโยชน์ของผ้าขาวม้า
3. นักเรียนนำเสนอความคิดของสิ่งที่ได้เขียนขึ้น
4. เปิดโอกาสให้มีการพิจารณาความถูกต้องหรือความเป็นไปได้ของความคิดแต่ละอย่างที่แต่ละคน หรือกลุ่มได้นำเสนอ
5. นักเรียนสรุปผลที่ได้จากการระดมความคิด
รูปแบบที่ 2 ระดมหาที่สุด
การระดมหาที่สุด เป็นการระดมเพื่อหาแนวทางหรือวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อการแก้ปัญหา หรือเพื่อการตัดสินใจกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง การระดมสมองเพื่อหาที่สุดจะมี 3 ขั้นตอน คือ
1. ระดมความคิด
2. กลั่นกรองความคิด
3. สรุปความคิดที่เหมาะสมที่สุด
ถ้าจะเขียนในรูปตาราง จะได้ดังนี้
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูกำหนดประเด็นปัญหา หรือเหตุการณ์ที่ท้าทาย หรือเป็นเหตุการณ์ที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน “เราจะแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครได้อย่างไร”
2. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 – 8 คน
3. นักเรียนร่วมกันระดมความคิด หาวิธีการในการแก้ปัญหา หรือวิธีการที่จะนำมาใช้ในการตัดสินใจ
4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันพิจารณากลั่นกรองประเด็นข้อเสนอของสมาชิก และคัดเลือกประเด็นที่เป็นไปได้ และมีความเหมาะสม
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายในประเด็นที่ได้คัดเลือกไว้ โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพ
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปประเด็น หรือวิธีการที่กลุ่มจะนำไปดำเนินการ 1 – 2 ประเด็น
7. กลุ่มนำวิธีการที่ได้จากข้อสรุปไปวางแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินการต่อไป
ภาพความคิด
เป็นยุทธศาสตร์การสอนที่ส่งเสริมความคิดของนักเรียนอีกรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ผู้สอนนำภาพเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมาให้นักเรียนดู แล้วให้ปฏิบัติกิจกรรมต่อไปนี้
1. การตั้งคำถาม
2. การเดาสาเหตุ
3. การเดาผลที่เกิดตามมา
4. การสมมติอย่างมีเหตุผล
5. การเปลี่ยนแปลง
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนดูภาพเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเป็นภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะทำการสอนนักเรียน
2. ให้นักเรียนตั้งคำถาม ให้นักเรียนตั้งคำถามจากภาพที่กำหนดให้ ให้มากที่สุด คำถามที่ตั้งขึ้นไม่ใช่เห็นภาพแล้วตอบได้ แต่ต้องเป็นคำถามที่ตอบจากความคิด
3. ให้นักเรียนเดาสาเหตุ ให้นักเรียนเขียนสาเหตุที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ปรากฏในรูปภาพมาให้มากที่สุด
4. ให้นักเรียนเดาผลที่เกิดตามมา ให้นักเรียนเขียนผลที่อาจจะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในภาพที่กำหนดให้
5. ให้นักเรียนสมมติอย่างมีเหตุผล ให้นักเรียนคิดหรือเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น พร้อมทั้งระบุเหตุผลในการเดา
6. ให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงภาพ ให้นักเรียนเปลี่ยนแปลงภาพจากสถานการณ์เดิม จะให้เป็นภาพอะไร อย่างไร ก็ได้
ชิงร้อย ชิงล้าน
ชิงร้อย ชิงล้าน เป็นรายการเกมโชว์ทางโทรทัศน์จัดรายการโดย คุณปัญญา และ คุณมยุรา ลักษณะคำถามเป็นคำถามเรื่องส่วนตัว เช่น ถามว่า จริงหรือไม่ที่คุณลินดา ชอบสะสมกระดาษห่อทอฟฟี่ เมื่อนำเอารายการชิงร้อย ชิงล้าน มาจัดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้กับนักเรียน ลักษณะคำถามจะถามเกี่ยวกับเนื้อหาความรู้ในเรื่องที่เรียน ลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบชิงร้อย ชิงล้าน สามารถจัดได้ 2 รูปแบบ
รูปแบบที่ 1 จัดเป็นกิจกรรมการเรียนรู้เนื้อหาใหม่
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 8 คน
2. ให้แต่ละกลุ่มศึกษาใบความรู้ หรือศึกษาจากหนังสือเรียน โดยให้เวลาน้อยๆเพื่อให้นักเรียนแบ่งความรับผิดชอบกันศึกษาภายในกลุ่ม
3. ให้แต่ละกลุ่มตั้งคำถามจากเนื้อหาที่อ่าน กลุ่มละ 10 คำถาม เป็นลักษณะคำถาม “จริงหรือไม่”
4. ให้นักเรียนร่วมกันคัดเลือกนักเรียนชาย 1 คน นักเรียนหญิง 1 คน เป็นพิธีกร
5. พิธีกรคัดเลือกข้อคำถามจากกลุ่มต่างๆประมาณ 10 – 15 คำถาม
6. พิธีกรเริ่มรายการ ชิงร้อย ชิงล้าน ด้วยคำถาม “จริงหรือไม่” แต่ละกลุ่มช่วยกันคิดคำตอบ
7. ในกรณีกลุ่มที่ตอบผิด พิธีกรจะไม่เฉลยคำตอบ แต่จะให้กลุ่มที่ตอบถูกเฉลย กลุ่มที่ตอบผิดจะได้เรียนรู้ไปด้วย
8. แต่ละกลุ่มบันทึกคะแนนที่ได้ เป็นคะแนนสะสมของกลุ่ม
รูปแบบที่ 2 จัดเป็นกิจกรรมประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 8 คน
2. แต่ละกลุ่มตั้งคำถามในเนื้อหาที่เรียนผ่านมาแล้วกลุ่มละ 10 คำถาม
3. ให้นักเรียนร่วมกันคัดเลือกพิธีกร 2 คน หญิง 1 คน ชาย 1 คน
4. พิธีกรคัดเลือกข้อคำถามจากกลุ่มต่างๆตามข้อจำกัดของเวลาที่จะจัดรายการ
5. พิธีกรเริ่มรายการ ชิงร้อย ชิงล้าน ด้วยคำถาม “จริงหรือไม่” ให้แต่ละกลุ่มช่วยกันคิดหาคำตอบ
6. ในกรณีที่มีกลุ่มตอบผิด ให้กลุ่มตอบถูกเป็นผู้เฉลย
7. แต่ละกลุ่มบันทึกคะแนนที่ได้ เป็นคะแนน
แผนที่ความคิด (Mind Mapping)
แผนที่ความคิด เป็นยุทธศาสตร์การสอนที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน ช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียนรู้ เหมาะกับการที่นักเรียนจะได้สังเคราะห์ความคิดในการวิเคราะห์งาน วางแผนการทำงาน ทบทวนความจำ
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูกำหนดคำถามให้นักเรียนคิด เช่น เมื่อพูดถึง “ยะลา” นักเรียนคิดถึงอะไรบ้าง
2. ให้นักเรียนระดมความคิดประเด็นหลักของเรื่องที่ครูกำหนด หรือเรื่องที่นักเรียนอยากจะเรียน
3. ให้นักเรียนระดมความคิดประเด็นย่อยของประเด็นหลักแต่ละประเด็น
4. ให้นักเรียนสร้างแผนที่ความคิด (Mind Mapping) ตามรูปแบบที่ต้องการ
5. ให้นักเรียนนำเสนอแผนที่ความคิด และอธิบายประกอบภาพ
การสอนให้คิดยืดหยุ่น
การสอนให้คิดยืดหยุ่น เป็นลักษณะการสอนโดยการใช้คำถามเพื่อให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์เชิงสังเคราะห์ โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบหลายรูปแบบ การจัดกลุ่ม ประเภท และการจัดลำดับความคิด จะใช้เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ราย-บุคคล หรือรายกลุ่มก็ได้
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูกำหนดสถานการณ์ที่เป็นของ 2 สิ่งขึ้น หรืออาจจะให้นักเรียนเป็นผู้กำหนดเอง เช่น แมวกับสุนัข
2. ให้นักเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มคิดถึงความแตกต่างของ 2 สิ่ง เช่น แมวเห่าไม่ได้ สุนัขปีนต้นไม้ไม่ได้
3. ให้นักเรียนคิดถึงความคล้ายคลึงของ 2 สิ่ง เช่น แมวและสุนัขเป็นสัตว์ 4 ขา กินเนื้อสัตว์ เป็นสัตว์เลี้ยงออกลูกเป็นตัว
4. ให้นักเรียนคิดถึงประเภทของ 2 สิ่ง โดยดูจากความคล้ายคลึงเป็นหลัก เช่น ประเภทสัตว์เลี้ยง สัตว์กินเนื้อสัตว์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สิ่งมีชีวิต
5. ให้นักเรียนคิดจัดอันดับของ 2 สิ่ง โดยกำหนดประเด็นในการจัดอันดับ เช่น
- ความสามารถในการปีนต้นไม้
- ความสามารถในการกระโดด
- ความสามารถทางสติปัญญา
ลูกเสือจำแลง
กิจกรรมการเรียนรู้แบบลูกเสือจำแลง เป็นกิจกรรมที่บูรณาการหลายยุทธศาสตร์ เช่น กิจกรรมบุกเบิกของลูกเสือ ศูนย์การเรียน Walk Rally ในการจัดกิจกรรมจะใช้สถานที่นอกห้องเรียนที่มีความร่มรื่น มีบริเวณกว้างพอที่จะให้นักเรียนได้เดินทางไปหาแหล่งเรียนรู้
การเตรียมการ
1. กำหนดจุดประสงค์และเนื้อหาที่จะจัดกิจกรรมลูกเสือจำแลง ควรเป็นเนื้อหาเป็นหน่วย หรือเป็นเรื่อง ไม่ควรจะเป็นเนื้อหาย่อยๆ
2. แบ่งเนื้อหาเป็นตอนๆ แต่ละตอนควรเป็นเอกภาพ คือ จบในตัวของมันเอง และเวลาที่ใช้ในการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้ควรจะใกล้เคียงกัน
3. จัดทำเนื้อหาแต่ละตอน
4. จัดเตรียมเกมสันทนาการประจำฐานต่างๆทุกฐาน
5. จัดทำบัตรคำสั่งที่จะให้นักเรียนปฏิบัติแต่ละฐาน
6. คัดเลือกนักเรียน 5 – 7 คน เป็นคณะกรรมการร่วมกับผู้ดำเนินการ
7. ครูและคณะกรรมการร่วมกันสำรวจสถานที่
8. ครูและคณะกรรมการร่วมกันจัดทำแผนที่ และกำหนดจุดต่างๆที่จะเป็นฐาน หรือจุดปฏิบัติกิจกรรม
9. ครูและคณะกรรมการร่วมกันกำหนดกิจกรรมเชิงเนื้อหา และกิจกรรมนันทนาการในแต่ละฐาน
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 8 คน
2. ประชุมชี้แจงนักเรียนทั้งหมด เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนการดำเนินกิจกรรมอย่างละเอียด (ควรพิมพ์แจกนักเรียนทุกคน)
3. แจกซองอุปกรณ์และสื่อต่างๆที่จะให้แต่ละกลุ่ม
4. แต่ละกลุ่มเดินทางไปตามลายแทงในแผนที่เพื่อปฏิบัติกิจกรรมในฐานต่างๆ
5. เมื่อกลุ่มเดินทางไปพบฐานใดฐานหนึ่งตามลายแทง จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งในฐานนั้น โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำฐานคอยให้คำปรึกษา
6. เมื่อแต่ละกลุ่มเข้าสู่ฐานต่างๆครบทุกฐานแล้ว จะไปพร้อมกันที่จุดนัดพบเดิม
7. จัดประชุมใหญ่ ให้แต่ละกลุ่มรายงานผลการปฏิบัติงานของกลุ่ม ซึ่งควรจะกำหนดประเด็น
- ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา
- กระบวนการทำงานของกลุ่ม
- ความสนุกเพลิดเพลินจากการทำกิจกรรม
8. คณะกรรมการซึ่งเป็นนักเรียนประจำฐาน แสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆจากการสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมของแต่ละกลุ่ม
9. จัดกิจกรรม ชิงร้อย ชิงล้าน เพื่อเป็นการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของนักเรียน
ถามให้คิดสร้างสรรค์
อาจารย์สมศักดิ์ สินธุรเวท กล่าวว่า “ยุทธศาสตร์การสอนที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้ดีที่สุด คือ ยุทธศาสตร์การตั้งคำถาม” ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำถามเพื่อพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
- ให้บอกประโยชน์ของสิ่งที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- ให้บอกความเหมือนของสิ่งที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- ให้บอกความแตกต่างของสิ่งที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- ให้ตกแต่งรูปให้ต่างไปจากที่ร่างไว้ให้ได้มากที่สุด และอธิบายสิ่งที่แตกต่างไปด้วย
- เมื่อกำหนดเส้น / สัญลักษณ์ให้ ให้ดูว่าเป็นเส้น / สัญลักษณ์อะไรได้บ้าง ให้บอกมาให้มากที่สุด
- ให้ต่อเติมภาพจากเส้นคู่ขนาน / รูปทรงเรขาคณิตให้ได้ภาพแปลก น่าสนใจ ตื่นเต้นให้มากที่สุด พร้อมตั้งชื่อภาพ
- ให้ตั้งคำถามแปลกๆ เกี่ยวกับสิ่งที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- กำหนดเรื่องให้ หรือมีภาพให้ดู แล้วให้ตั้งชื่อเรื่องมาให้มากที่สุด
- มีภาพเหตุการณ์ คน 2 คน กำลังสนทนากัน ให้เขียนคำสนทนาในแง่มุมต่างๆมาให้มากที่สุด
- ให้แต่งเรื่องสั้น จากภาพเดียว หรือภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องมาให้ได้หลายๆเรื่อง
- มีภาพเส้นให้ ให้บอกความรู้สึกของการมองภาพเส้นมาให้มากที่สุด
- กำหนดพยัญชนะให้ ให้เขียนคำที่มีพยัญชนะที่กำหนดในลักษณะต่างๆ ต้นคำ กลางคำ ท้ายคำ อย่างใดอย่างหนึ่งมาให้มากที่สุด
- ให้เขียนคำคล้องจองกับคำที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- กำหนดกลุ่มคำให้ ให้ผู้เรียนนำคำเหล่านั้นมาแต่งเรื่องสั้นให้ได้หลายๆเรื่อง
- จงบอกผลที่ตามมาจากเหตุการณ์ที่กำหนดให้มาให้มากที่สุด
- จงวาดภาพ จากเสียงเพลง / ฟังนิทาน / การแสดงบทบาทสมมติ
- กำหนดภาพการสนทนาให้อีกคนหนึ่งพูดถึงปัญหา แล้วให้เขียนแนวทางแก้ปัญหาของคนที่พูดให้มากที่สุด
- สร้างโจทย์คณิตศาสตร์ที่คำนวณแล้วได้ผลลัพธ์เท่ากับจำนวนที่กำหนดให้ ให้มากที่สุด
- ให้ตั้งคำถามจากสถานการณ์ที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์มาให้มากที่สุด
- ให้จัดกลุ่มตัวเลขที่กำหนดให้ตามเกณฑ์หรือคุณสมบัติ หรือลักษณะบางอย่างร่วมกันให้ได้มากที่สุด
- กำหนดชิ้นส่วนต่างๆให้ ให้นำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาต่อเป็นภาพให้ได้มากที่สุด
- มีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเขียนไว้ ผู้สอนสามารถนำมาตั้งเป็นประเด็นคำถามยั่วยุให้นักเรียนคิด
- การถามให้คิด จะใช้ระบบกลุ่ม หรือให้คิดเป็นรายบุคคลก็ได้
คำถาม 7 แบบ
กระทรวงศึกษาธิการ รัฐวิคตอร์เรียของประเทศออสเตรเลีย ได้เสนอคำถาม 7 แบบ ที่ใช้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์หรือแก้ปัญหาที่เป็นไปได้
คำถาม 7 แบบ
1. คำถามปริมาณ (Quantity)
2. คำถามการเปลี่ยนแปลง (Change)
3. คำถามการทำนาย (Prediction)
4. คำถามความคิดเห็น (Point of View)
5. คำถามเกี่ยวกับส่วนตัว (Personal Invalvement)
6. คำถามความสัมพันธ์เปรียบเทียบ (Comparative Association)
7. คำถามเกี่ยวกับค่านิยม (Valuing Questioning)
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 – 8 คน
2. นำภาพหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งให้นักเรียนดู / ศึกษา
3. ตั้งคำถามให้นักเรียนได้คิดถึงปริมาณของสิ่งที่ปรากฏในภาพ หรือเหตุการณ์นั้น
4. ตั้งคำถามให้นักเรียนคิดถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปรากฏในภาพ หรือเหตุการณ์นั้น
5. ตั้งคำถามให้นักเรียนคิดทำนาย ถ้า............................อะไรจะเกิดขึ้น
6. ตั้งคำถามให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น ถ้านักเรียนเป็น..................นักเรียนจะทำอย่างไร
7. ตั้งคำถามให้นักเรียนคิดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว นักเรียนจะมีความรู้สึกอย่างไร ถ้านักเรียนเป็น................................
8. ตั้งคำถามให้นักเรียนคิดถึงความสัมพันธ์เปรียบเทียบ โดยเปรียบเทียบภาพหรือเหตุการณ์นั้นกับภาพ หรือเหตุการณ์อื่นที่สมมติขึ้น
9. ตั้งคำถามให้คิดถึงค่านิยม เป็นค่านิยมด้านใดก็ได้ที่เกี่ยวกับภาพหรือเหตุการณ์นั้น
10. ให้นักเรียนประมวลคำตอบจากคำถามทั้ง 7 แบบ มาเขียนเป็นบทความ หรือเรื่องสั้น
ลูกเต๋าสร้างสรรค์
ยุทธศาสตร์การสอน “ลูกเต๋าสร้างสรรค์” เป็นชื่อที่ผู้เขียนตั้งขึ้น จริงๆแล้ว คือ “เทคนิคกอร์ดอน” (The Gordon Technique) ผู้คิด คือ กอร์ดอน (Gordon) เป็นยุทธศาสตร์การสอนที่พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน และช่วยให้นักเรียนคิดสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูกำหนดเรื่องหรือประเด็นที่จะให้นักเรียนคิดสร้างสรรค์ หรือจะให้นักเรียนกำหนดเองก็ได้
2. ให้นักเรียนร่วมกันคิดถึงองค์ประกอบหลักของเรื่องนั้น อย่างน้อย 2 องค์ประกอบ
3. ให้นักเรียนร่วมกันคิดถึงองค์ประกอบย่อยขององค์ประกอบหลัก จะกำหนดองค์ประกอบย่อยกี่องค์ประกอบก็ได้
4. ให้นักเรียนนำเอาองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยมาสร้างเป็นลูกเต๋า
5. ให้นักเรียนร่วมกันคิดเชื่อมโยงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบย่อยของลูกเต๋าด้านต่างๆ
6. ให้นักเรียนสรุปประเด็นความคิดสร้างสรรค์จากการเชื่อมโยงความสัมพันธ์
7. ให้นักเรียนนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ที่ค้นพบต่อที่ประชุม
8. มอบหมายงานให้นักเรียนไปเขียนรายละเอียดความคิดสร้างสรรค์แต่ละอย่าง
ยูเซฟัส (UCEFAS)
ยูเซฟัส เป็นยุทธศาสตร์การสอนที่พัฒนาทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหา เป็นชื่อที่เรียกตามชื่อย่อของคำ 6 คำ ตามขั้นตอนของเทคนิค UCEFAS คือ
U = Ultimate
C = Current
E = Effect
F = Factor
A = Alternative
S = Solution
Ultimate Situation คือ สภาพที่อยากให้เป็น หรือสภาพที่พึงประสงค์ เป็นภาพสุดท้ายที่อยากให้เกิดขึ้น
Current Situation คือ สภาพปัจจุบันที่ปรากฏอยู่
Effect คือ ผลกระทบหรือผลที่เกิดขึ้นของสภาพที่เป็นอยู่
Factor คือ ปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดผลกระทบ ปัจจัยนี้อาจเรียกว่าสาเหตุก็ได้
Alternative คือ ทางเลือกในการแก้ปัญหา ปัญหาหนึ่งอาจมีทางเลือกหลายๆทางที่แตกต่างกันออกไป
Solution คือ การเลือกทางเลือกในการแก้ปัญหาหรือตกลงหาวิธีการใรการแก้ปัญหา
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มๆละ 6 – 8 คน
2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ร่วมกันกำหนดปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน เช่น ปัญหาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันกำหนดสภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากปัญหานั้น
4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายถึงสภาพปัจจุบันของปัญหานั้น
5. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากปัญหานั้น
6. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหานั้น
7. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันคิดหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลายๆทางเลือก
8. ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ปัญหาต่างๆที่ได้นำเสนอ เพื่อคัดเลือกทางเลือกที่เหมาะสม และสามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน เป็นวิธีที่ประหยัด ให้เวลารวดเร็ว ทุกคนในกลุ่มมีความพึงพอใจ
เธอถามฉัน ฉันถามเธอ
หากจะให้ผู้อ่านซึ่งเป็นครูผู้สอนระลึกถึงตอนที่ออกข้อสอบ เพื่อประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียน ทุกข้อคำถามที่จะถามนักเรียน ท่านจะต้องทราบคำตอบ หรือค้นหาคำตอบเอาไว้เสมอดังนั้นกิจกรรมการเรียนรู้ “เธอถามฉัน ฉันถามเธอ” จึงเป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการตั้งคำถาม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูจัดเตรียมใบความรู้ ในเนื้อหาที่จะทำการสอนนักเรียน
2. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆละ 6 – 8 คน หรือให้นักเรียนจับคู่กัน
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ศึกษาใบความรู้
4. ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันเขียนข้อคำถาม เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ กลุ่มละ 15 คำถาม
5. แต่ละกลุ่มนำคำถามของกลุ่มไปให้กลุ่มอื่นหาคำตอบ โดยกำหนดเวลาที่จำกัด
6. แต่ละกลุ่มหาคำตอบจากข้อคำถามของกลุ่มอื่น
7. จัดให้นักเรียนแข่งขันตอบปัญหา โดยใช้คำถามของกลุ่มต่างๆซึ่งทางกลุ่มได้คัดเลือก
เพียงหน้าเดียว
การเรียนรู้ของนักเรียนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน นักเรียนบางคนเรียนรู้ได้เร็ว บางคนเรียนรู้ได้ช้า บางคนเรียนรู้เรื่องที่มีความซับซ้อนได้ดี บางคนต้องแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อช่วยในการเรียนรู้ กิจกรรมเพียงหน้าเดียว เป็นกิจกรรมช่วยนักเรียนที่เรียนรู้ช้า โดยอาศัยเทคนิคเพื่อนช่วยเพื่อน
ก่อนอื่นครูต้องจัดทำบทเรียนหน้าเดียวขึ้นมาก่อน โดยอาศัยขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน 3 ขั้นตอน คือ
- นำ
- สอน
- สอบ
นำ คือ มีข้อความหรือภาพเป็นส่วนนำเข้าสู่บทเรียน
สอน คือ การนำเสนอเนื้อหาหรือกิจกรรมที่จะให้นักเรียนได้เรียนรู้
สอบ คือ ส่วนของการประเมินผลการเรียนรู้อาจใช้ข้อทดสอบหรือเครื่องมือประเมินผล
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆละ 5 – 8 คน
2. แจกบทเรียนหน้าเดียวให้นักเรียนทุกคนในกลุ่ม กลุ่มละ 1 เรื่อง
3. ให้แต่ละกลุ่มศึกษาบทเรียนหน้าเดียวในเรื่องที่รับผิดชอบจนเข้าใจ
4. ให้แต่ละกลุ่มค้นหาคำตอบของคำถาม และตรวจสอบความถูกต้องตามเฉลยที่แจกให้
5. แต่ละกลุ่มนำบทเรียนหน้าเดียวไปปิดที่ข้างฝา
6. แต่ละกลุ่มวางแผนที่จะศึกษาบทเรียนหน้าเดียวของกลุ่มอื่นๆ
7. แต่ละกลุ่มไปศึกษาบทเรียนหน้าเดียวของกลุ่มอื่นตามเวลาที่ครูกำหนด
8. แต่ละกลุ่มร่วมกันทบทวนความรู้ ความเข้าใจ จากการศึกษาบทเรียนหน้าเดียวทั้งหมด
9. ครูทดสอบความรู้
ชัยชนะอยู่ที่เหตุผล
กิจกรรมชัยชนะอยู่ที่เหตุผล เป็นการฝึกการสังเกตและการคิดเชิงวิเคราะห์ โดยอาศัยระบบกลุ่ม การใช้กิจกรรมนี้ครูต้องอาศัยสื่อ อาจจะเป็นโครงสี่สุภาพ กลอนแปด หรือบทความ ข้อความ รูปภาพ อย่างใดอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับจุดประสงค์ในการสอน และครูจะต้องร่วมมือกับนักเรียนสร้างเกณฑ์การให้คะแนน (Scoring Rubric) เพื่อการประเมินการให้เหตุผลของแต่ละกลุ่ม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนร่วมกันคัดเลือกเพื่อนนักเรียน 5 คน เป็นกรรมการ
2. ให้นักเรียนร่วมกันสร้างเกณฑ์การให้คะแนน
3. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 5 – 8 คน
4. ครูชี้แจงการดำเนินงานของกลุ่ม
5. ครูปิดรูปภาพ หรือข้อความที่เตรียมมาบนกระดานดำ หรือให้กับกลุ่มทุกกลุ่ม
6. กลุ่มร่วมกันตั้งข้อสังเกตสิ่งที่ปรากฏนั้น โดยอาจจะตั้งเป็นคำถามขึ้นมาก่อน แล้ววิพากษ์วิจารณ์ โดยใช้เหตุและผล
7. กลุ่มนำเสนอผลการวิเคราะห์ อาจจะช่วยกันเสนอหรือมีตัวแทนกลุ่มนำเสนอ
8. กรรมการพิจารณาเหตุผลของแต่ละกลุ่ม และให้คะแนนไปตามเกณฑ์การประเมิน
สะพานเชื่อมดาว
กิจกรรมสะพานเชื่อมดาว เป็นกิจกรรมที่ใช้แนวคิดของศูนย์การเรียน และฐานการเรียนรู้เป็นหลัก เน้นหนักในการสอนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย แทนที่ครูจะสอนแบบบรรยาย ก็มาใช้กิจกรรมที่จะให้นักเรียนได้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ “สะพานเชื่อมดาว” ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ หรือจัดเป็นกลุ่มเนื้อหา เพื่อจัดไว้เป็นฐานต่างๆ และจัดเตรียมสะพาน (กระดาษชาร์ท) ที่เป็นสะพาน โดยจัดแบ่งเป็นส่วนๆ แล้วนำมาเชื่อมโยงกันเป็นสะพาน คล้ายกับการทำ Mind Mapping
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูจัดแหล่งเรียนรู้ไว้ตามที่ต่างๆ (ควรจะเป็นนอกห้องเรียน)
2. แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 6 – 8 คน
3. จัดให้มีตัวแทนนักเรียนอยู่ประจำแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
4. ชี้แจงนักเรียนในการปฏิบัติกิจกรรม พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์ต่างๆให้ทุกกลุ่ม
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มเดินทางไปปฏิบัติกิจกรรมตามฐานต่างๆ และเมื่อปฏิบัติกิจกรรมในฐานต่างๆแล้ว นักเรียนจะได้รับสะพานแต่ละช่วงจากนักเรียนที่อยู่ประจำฐาน
6. เมื่อนักเรียนแต่ละกลุ่มเข้าสู่ฐานต่างๆจนครบทุกฐานแล้ว ให้นักเรียนเขียนสรุปผลการเรียนรู้ลงในสะพานแต่ละช่วงที่ได้รับจากนักเรียนประจำฐาน
7. ให้นำเอาสะพานแต่ละช่วงที่ได้เขียนสรุปแล้วมาต่อเชื่อมกัน
8. ให้แต่ละกลุ่มทบทวนดูว่า กลุ่มได้ข้อสรุปแต่ละชั้นของสะพานอย่างไรบ้าง
9. แต่ละกลุ่มนำเอาสะพานเชื่อมดาวของตนไปปิดโชว์
10. ผู้สอนอาจใช้ข้อทดสอบเพื่อให้นักเรียนได้กลับไปประเมินผลการเรียนรู้ของตนเอง
เทคนิคหมวก 6 ใบ
เทคนิคหมวก 6 ใบ เป็นยุทธศาสตร์การสอนที่ เอ็ดเวิร์ด เดอโบโน (Edward deBono) เป็นผู้คิดขึ้น เป็นยุทธศาสตร์การสอนการตั้งคำถามโดยใช้หมวกความคิด 6 ใบ ใช้สีเป็นชื่อหมวก หมวกแต่ละสีจะควบคุมทิศทางในการคิดแตกต่างกันไป
หมวกสีขาว แสดงถึงความเป็นกลาง หมายถึง ตัวเลขและข้อเท็จจริงต่างๆ
ตัวอย่างคำถาม
1. เรามีข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้
2. เราต้องการข้อมูลอะไรบ้าง
3. เราได้ข้อมูลที่ต้องการมาโดยวิธีใด
หมวกสีแดง แสดงถึงความโกรธ อารมณ์ หมายถึง การมองทางด้านอารมณ์ ความรู้สึก หมวกสีแดงเป็นการแสดงความรู้สึกของผู้คิด แสดงอารมณ์ สัญชาตญาณ ลางสังหรณ์ ประทับใจ ความโกรธ ความสนุก ความอบอุ่น ความพอใจ
ตัวอย่างคำถาม
1. เรารู้สึกอย่างไร
2. นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ทำ
3. นักเรียนมีความรู้สึกอย่างไรกับความคิดนี้
หมวกสีดำ แสดงความมืดครึ้ม จึงหมายถึงเหตุผลด้านลบ เหตุผลในการปฏิเสธ หมวกสีดำเป็นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดแบบหมวกสีดำช่วยป้องกันไม่ให้เราคิดหรือตัดสินใจที่เสี่ยง ช่วยให้เราหาข้อบกพร่อง หรือจุดอ่อนได้ สามารถมองปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า หมวกสีดำจึงเป็นหัวใจสำคัญของการคิด
ตัวอย่างคำถาม
1. อะไรคือจุดอ่อน
2. อะไรคือสิ่งที่ยุ่งยาก
3. อะไรคือสิ่งที่ผิดพลาด
4. เรื่องนี้มีจุดอ่อนตรงไหน
หมวกสีเหลือง แสดงถึงความสว่างไสวและด้านบวก จึงหมายถึงเหตุผลทางบวก เหตุผลในการยอมรับหมวกสีเหลือง ทำให้เรามองด้านบวกโดยไม่ต้องมีเหตุผลจูงใจต่างๆ เราใช้หมวกสีเหลืองเป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน แล้วจึงใช้หมวกสีดำ
ตัวอย่างคำถาม
1. จุดที่ดีคืออะไร
2. ผลดีคืออะไร
หมวกสีเขียว แสดงถึงความเจริญเติบโต ความสมบูรณ์ จึงหมายถึงความคิดสร้างสรรค์และความคิดใหม่ๆ เป็นการหลบหลีกความคิดเก่ามุมมองเก่า แต่เป็นการเปลี่ยนแปลง เป็นการสร้างสรรค์ทุกชนิด ทุกวิธีการอย่างจูงใจ
ตัวอย่างคำถาม
1. นักเรียนจะนำความคิดนี้ไปทำ..........สร้าง..........ปรับปรุง..........พัฒนาอะไรได้
2. ถ้าจะให้สิ่งนี้..........(ดีขึ้น)..........จะต้องเปลี่ยนอย่างไร
หมวกสีฟ้า แสดงถึงความเยือกเย็นท้องฟ้า ซึ่งอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง จึงหมายถึงการควบคุมและจัดระเบียบกระบวนการ และขั้นตอนการใช้หมวกสีอื่นๆใช้ในการควบคุมกลุ่ม หรือควบคุมตนเอง ติดตามความผิดพลาดหรือความเชื่อผิดๆของตนเอง เพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเป็นตัวแทนของการควบคุมกระบวนการคิด ให้ประสานกันอย่างดี
ตัวอย่างคำถาม
1. การคิดอะไรที่ต้องการ
2. ขั้นตอนต่อไปคืออะไร
3. การคิดอะไรที่ทำไปก่อนแล้ว
ข้อคำถามของหมวกแต่ละใบ ผู้ถามคือใครกัน
- นักเรียนถามตนเอง
- ประธานกลุ่มถามสมาชิกในกลุ่ม
- ครูถามนักเรียน
หรือ
- เป็นประเด็นคำถามที่กำหนดในใบงาน
หมวก 6 ใบ กับยุทธศาสตร์การสอน 3 วิธี
วิธีที่ 1 ใช้กำหนดทิศทางการคิดของกลุ่ม
วิธีนี้ใช้กับการสอนที่แบ่งนักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม เช่น เป็นโครงงานหรือโครงการในการคิด หรือวางแผนการทำงานของกลุ่มจะให้นักเรียนสวมหมวกสีเดียวกันทีละใบ
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆละ 6 – 8 คน
2. มอบหมายงานให้นักเรียนไปดำเนินการ เช่น โครงงาน โครงการ หรือให้ร่วมกันแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการทำงานโดยใช้หมวก 6 ใบ
4. นักเรียนซึ่งเป็นประธานกลุ่ม อาจนำหมวกสีใดสีหนึ่งวางบนโต๊ะ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสมาชิกจะแสดงความคิดเห็นในทิศทางใด
5. นักเรียนประธานกลุ่ม ตั้งประเด็นคำถามตามสีของหมวกแต่ละใบที่วางไว้แต่ละครั้ง จนได้ข้อสรุปในการวางแผนของกลุ่ม
6. กลุ่มสรุปแผนการดำเนินงานโครงการ โครงงาน หรือแผนการดำเนินการแก้ปัญหาตามที่กลุ่มได้รับมอบหมายภาระงาน
วิธีที่ 2 ใช้พัฒนาทักษะการคิดตามสีของหมวก
ในการใช้หมวกความคิดวิธีที่ 2 ผู้สอนจะต้องกำหนดทักษะที่ต้องการจะพัฒนาผู้เรียนขึ้นมาก่อน ซึ่งทักษะที่กำหนดนั้นจะเกี่ยวโยงกับหมวก 6 ใบ ผู้สอนจะต้องคิดค้นคำถามตามสีหมวกเพื่อพัฒนาทักษะที่กำหนด แล้วนำคำถามเหล่านั้นไปบรรจุในใบงาน เพื่อให้นักเรียนคิดค้นคำตอบ จะเป็นการคิดในระบบกลุ่ม หรือคิดเดี่ยวๆก็ได้ และสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้ได้กับทุกวิชา
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูจัดเตรียมสื่อ เช่น บทความ คำประพันธ์ รูปภาพ เพลง หรืออื่นๆ ซึ่งตรงกับเรื่องที่จะทำการสอน
2. ครูกำหนดทักษะที่จะพัฒนานักเรียนในการสอนครั้งนั้น
3. ครูกำหนดข้อคำถามที่จะพัฒนาทักษะของนักเรียนโดยใช้คำถามตามสีของหมวก
4. ครูจัดเตรียมใบงานเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรม
5. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 8 คน
6. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติตามใบงาน
7. นักเรียนร่วมกันสรุปความคิดตามประเด็นคำถามในใบงาน
วิธีที่ 3 ใช้พัฒนาทักษะการคิดที่ซับซ้อน
เอ็ดเวิร์ด เดอโบโน ได้นำหมวกแต่ละสีมาจัดเรียงลำดับ เพื่อให้การคิดซับซ้อนขึ้น แล้วตั้งคำถามเรียงตามลำดับ ตามเป้าหมายที่ต้องการพัฒนา
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 – 8 คน
2. ครูกำหนดสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น แล้วกำหนดทักษะที่จะให้นักเรียนคิด เช่น
- อธิบายเหตุการณ์นั้น
- ทางเลือกที่ควรใช้ในการแก้ปัญหาตามสถานการณ์นั้น
- ประเมินผลเหตุการณ์
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดเรียงหมวกความคิดของทักษะแต่ละทักษะ พร้อมทั้งตั้งคำถามตามสีของหมวกที่นำมาเรียงแต่ละทักษะ
4. แต่ละกลุ่มร่วมกันคิดหาคำตอบจากคำถามของหมวกแต่ละใบ
5. แต่ละกลุ่มสรุปความคิดของกลุ่ม
เทคนิคการสำรวจความรู้สึก
เทคนิคการสำรวจความรู้สึก เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นพัฒนาการคิด และกระบวนการคิดของนักเรียน เหมาะสำหรับการสอนในเนื้อหาที่มีความขัดแย้งทางความคิด หรือสภาพที่ต้องการความคิดเห็นที่แตกต่างกัน
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูนำเสนอสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง อาจเป็นการเล่าเรื่อง จัดทำเอกสารให้นักเรียนอ่าน หรือให้ดูภาพ หรือวิดีทัศน์
2. แบ่งกลุ่มนักเรียน กลุ่มละ 6 – 8 คน
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มระบุข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (อาจให้ลำดับเหตุการณ์)
4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวินิจฉัยเกี่ยวกับความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์
5. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มให้เหตุผลถึงพฤติกรรม หรือความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์
6. ให้นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มบรรยายประสบการณ์เดิมของตนที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์
7. ให้นักเรียนแต่ละคนเปรียบเทียบความรู้สึกของตนเอง กับความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์
เทคนิคการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ในชีวิตประจำวันของนักเรียนย่อมพบกับปัญหาความขัดแย้งมากมาย ทั้งปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น แต่นักเรียนได้รับทราบปัญหาความขัดแย้งนั้นจากบุคคลอื่น หรือสื่อสารมวลชนต่างๆ ดังนั้นบทบาทของครูจึงน่าจะฝึกทักษะในการแก้ปัญหาความขัดแย้งให้กับนักเรียน เพื่อจะได้เป็นทักษะพื้นฐานที่นักเรียนจะได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันจริงต่อไป
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูนำเสนอสถานการณ์ที่เป็นความขัดแย้ง อาจเป็นการเล่า เอกสาร รูปภาพ หรือให้ดูวิดีทัศน์
2. ให้นักเรียนระบุข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ที่ยกมา หรืออาจให้ลำดับเหตุการณ์
3. ให้นักเรียนวินิจฉัย หรือวิเคราะห์ถึงความรู้สึกของบุคคลในเหตุการณ์ (เป็นงานรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ได้)
4. ให้นักเรียนเสนอวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งของเหตุการณ์นั้นตามความคิดของตนเอง
5. ให้นักเรียนเลือกวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่คิดว่าดีที่สุด พร้อมทั้งให้เหตุผล
6. ให้นักเรียนบรรยายประสบการณ์เดิมของตน (หรือที่เคยพบเห็น) ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์
7. ให้นักเรียนบรรยายความรู้สึกอื่นๆเกี่ยวกับเหตุการณ์อันเป็นประสบการณ์ที่เล่ามา
8. ให้นักเรียนประเมินสถานการณ์ที่เล่ามา โดยอาจมองไปที่สาเหตุ ผลกระทบ หรือเหตุการณ์ในภายภาคหน้า
9. ให้นักเรียนเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ของตนเองที่ยกมา
10. ให้นักเรียนพิจารณาทางเลือก และให้เหตุผลในการเลือกทางเลือก เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง
11. ให้นักเรียนสรุปเป็นหลักการในประเด็นต่อไปนี้
- สถานการณ์เป็นเช่นไร
- เรามีความรู้สึกเช่นไร
- เหตุการณ์ในภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร
- การแก้ปัญหาความขัดแย้งควรเป็นเช่นไร
เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมมือ เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถแตกต่างกัน แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในการเรียนรู้ และในความสำเร็จของกลุ่ม โดยที่ในกลุ่มจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แบ่งปันทรัพยากร ให้กำลังใจแก่กันและกัน คนเก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่าสมาชิกในกลุ่มไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อผลการเรียนของตนเองเท่านั้น แต่จะต้องร่วมรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของบุคคล คือ ความสำเร็จของกลุ่ม
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ขั้นเตรียม แบ่งกลุ่มนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 2 – 6 คน แนะนำทักษะในการเรียนรู้ร่วมกัน
2. ขั้นสอน ครูนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล และมอบหมายภาระงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยใช้ใบงาน
3. ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม นักเรียนแต่ละกลุ่มปฏิบัติกิจกรรมตามใบงาน โดยแต่ละคนจะมีบทบาทหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย เพื่อร่วมกันรับผิดชอบต่อผลงานของกลุ่ม
ในขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม ครูอาจใช้เทคนิคการจัดกิจกรรม รูปแบบต่างๆที่เป็นการทำกิจกรรมแบบร่วมมือ เช่น ผึ้งแตกรัง, ลูกเสือจำแลง, จิ๊กซอ, TGT, STAD เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเลือกใช้กิจกรรมใดแล้ว ขั้นตอนการทำกิจกรรมของนักเรียนจะปรากฏในใบงาน
4. ขั้นสำรวจผลงานและทดสอบ เป็นการตรวจสอบว่า ผลงานของกลุ่มเป็นอย่างไร และตรวจสอบว่า ผลงานรายบุคคลของสมาชิกในกลุ่มเป็นอย่างไร ในการตรวจสอบจะตรวจสอบทั้งผลสัมฤทธิ์และกระบวนการทำงานของกลุ่ม บางครั้งอาจจะต้องมีการซ่อมเสริมให้กับบางกลุ่ม สุดท้ายก็จะทำการทดสอบ
5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทเรียน ช่วยกันประเมินผลการปฏิบัติงานของกลุ่ม พิจารณาถึงจุดเด่นจุดด้อย
เทคนิคจิ๊กซอ (Jigsaw)
เทคนิคจิ๊กซอ เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งในการเรียนแบบร่วมมือ และเหมาะสำหรับการเรียนเนื้อหาใหม่
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูจัดแบ่งเนื้อหาที่จะเรียนเป็นเนื้อหาย่อยๆเท่ากับจำนวนสมาชิกในกลุ่มของนักเรียน อาจจัดทำเป็นบทเรียนหน้าเดียวก็ได้
2. จัดกลุ่มนักเรียน กลุ่มละประมาณ 4 คน โดยให้สมาชิกแต่ละกลุ่มมีความรู้ความสามารถที่คละกัน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มประจำ (Home group)
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนให้สมาชิกในกลุ่มรับผิดชอบในการศึกษาหัวข้อย่อยของเนื้อหาคนละ 1 หัวข้อ ให้เวลาในการอ่านตามความยาวของเนื้อหา (แต่ไม่ควรให้เวลามากเกินไป)
4. ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อเรื่องเดียวกันมารวมเป็นกลุ่มชั่วคราว หรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert groups) เพื่อร่วมกันอภิปราย ซักถาม และทำกิจกรรมร่วมกันให้มีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อเรื่องนั้นที่ชัดเจนยิ่งขึ้น (อาจใช้ใบงานเพื่อแนะนำการทำกิจกรรมของกลุ่มนี้ก็ได้)
5. นักเรียนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ วางแผนมอบหมายภารกิจที่กลุ่มจะต้องทำ เช่น
- ใครเป็นประธาน
- ใครอ่านคำสั่ง คำชี้แจง คำถาม
- ใครจดบันทึกข้อมูล
- ใครหาคำตอบ / เหตุผล / คำอธิบาย
- ใครสรุป / ตรวจสอบคำถาม
6. นักเรียนกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแยกตัวกลับไปกลุ่มเดิมของตน (กลุ่มประจำ) แล้วผลัดกันอธิบายความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรมในข้อ 5 ให้เพื่อนฟัง
7. นักเรียนทุกคนในกลุ่มทำแบบทดสอบย่อยเพื่อวัดความรู้ความเข้าใจทุกหัวข้อย่อย แล้วนำคะแนนของสมาชิกกลุ่มแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม
8. ประกาศยกย่องชมเชยกลุ่มนักเรียนที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด อาจปิดประกาศที่บอร์ด หรือบันทึกเป็นสถิติ เพื่อมอบรางวัลต่อไป
เทคนิค STAD (Student Teams Achievement Divisions)
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค STAD เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมืออีกรูปแบบหนึ่ง Slovin แห่งมหาวิทยาลัย John Hopkins เป็นผู้พัฒนาขึ้น เป็นเทคนิคการจัดกิจกรรมที่เหมาะกับการสอนเนื้อหาความรู้ความเข้าใจ อาจใช้หนังสือเรียน หรือใบความรู้เป็นสื่อการเรียนรู้ของนักเรียน
องค์ประกอบ 5 ประการ ของ STAD
1. การเสนอเนื้อหา ครูสอนเนื้อหาใหม่หรือความคิดรวบยอดใหม่ และทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว
2. การทำงานเป็นกลุ่ม จัดนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 4 คน เรียกว่า Student team สมาชิกกลุ่มมีความสามารถคละกัน ชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มที่จะต้องช่วยกัน เรียนร่วมกัน เพราะผลการเรียนของแต่ละคนจะส่งผลต่อผลการเรียนของกลุ่ม
3. การทดสอบย่อย นักเรียนทุกคนทำแบบทดสอบย่อย (Quiz) เป็นรายบุคคลหลังจากครูสอนเนื้อหาและนักเรียนได้ทำกิจกรรมกลุ่มแล้ว
4. คะแนนการพัฒนาของนักเรียน หลังการทดสอบย่อย นักเรียนจะต้องหาคะแนนพัฒนาของตนเอง โดยเอาคะแนนจากการทดสอบไปเทียบกับคะแนนฐาน (Base Score) ซึ่งคะแนนฐานอาจเป็นคะแนนการสอบย่อยที่ผ่านมา หรือคะแนนผลการเรียนของเทอมที่แล้ว
ในการหาคะแนนการพัฒนา ครูอาจกำหนดเกณฑ์ขึ้นมาก็ได้ เช่น
5. รับรองผลงานและเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่ม จะมีการประกาศผลงานของกลุ่มให้ทราบ พร้อมทั้งยกย่องชมเชยในรูปแบบต่างๆ เช่น ปิดประกาศหน้าห้อง ให้เกียรติบัตร ลงจดหมายข่าว เป็นต้น
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูนำนักเรียนทบทวนบทเรียนที่เรียนมาแล้ว
2. ครูสอนเนื้อหาใหม่ โดยจัดกิจกรรมให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเอง อาจใช้ใบความรู้ หรือให้จับคู่กันเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามเนื้อหาใหม่
3. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆละ 4 คน โดยให้สมาชิกของกลุ่มมีความสามารถที่คละกัน
4. นักเรียนแต่ละกลุ่ม แบ่งภาระหน้าที่กัน เช่น เป็นผู้อ่าน เป็นผู้หาคำตอบ เป็นผู้สนับสนุน เป็นผู้จดบันทึก เป็นผู้ประเมินผล เป็นต้น
5. นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาเนื้อหา และทำกิจกรรมตามใบงาน
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มประเมิน เพื่อทบทวนความรู้ความเข้าใจเนื้อหาของสมาชิกกลุ่ม
7. นักเรียนแต่ละคนทำการทดสอบย่อย เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาจากข้อสอบของครู
8. นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดทำคะแนนการพัฒนาของสมาชิกแต่ละคน และคะแนนการพัฒนาของกลุ่ม โดยอาจจัดทำเป็นตาราง ดังนี้
9. ให้แต่ละกลุ่มนำคะแนนการพัฒนารวมของกลุ่มไปเทียบกับเกณฑ์ เพื่อหาระดับคุณภาพ
10. ครูประกาศยกย่องชมเชยนักเรียนกลุ่มที่มีคะแนนการพัฒนาอยู่ในระดับคุณภาพดีเลิศ เช่น ติดบอร์ดหน้าห้องเรียน ให้เกียรติบัตร หรือออกเสียงตามสาย เป็นต้น
เทคนิค TGT (Team – Games – Tournament )
เทคนิคการจัดกิจกรรม TGT เป็นเทคนิครูปแบบหนึ่งในการสอนแบบร่วมมือและมีลักษณะของกิจกรรมคล้ายกันกับ STAD แต่เพิ่มเกมและการแข่งขันเข้ามาด้วย เหมาะสำหรับการจัดการเรียนการสอนในจุดประสงค์ที่มีคำตอบถูกเพียงคำตอบเดียว
องค์ประกอบ 4 ประการ ของ TGT
1. การสอน เป็นการนำเสนอความคิดรวบยอดใหม่หรือบทเรียนใหม่ อาจเป็นการสอนตรงหรือจัดในรูปแบบของการอภิปราย หรือกลุ่มศึกษา
2. การจัดทีม เป็นขั้นตอนของการจัดกลุ่ม หรือจัดทีมของนักเรียน โดยจัดให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถ และทีมจะต้องช่วยเหลือกันและกัน ในการเตรียมความพร้อม และความเข้มแข็งให้สมาชิกทุกคน
3. การแข่งขัน การแข่งขันมักจัดในช่วงท้ายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียน ซึ่งจะใช้คำถามเกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาในข้อ 1 และผ่านการเตรียมความพร้อมของทีมมาแล้ว การจัดโต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของกลุ่ม / ทีมแต่ละทีมมาร่วมแข่งขัน ทุกโต๊ะการแข่งขันควรเริ่มดำเนินการพร้อมกัน แข่งขันเสร็จแล้ว จัดลำดับผลการแข่งขันแต่ละโต๊ะ เพื่อนำไปเทียบหาค่าคะแนนโบนัส (Bonus point)
4. การยอมรับความสำเร็จของทีม ให้นำคะแนนโบนัสของแต่ละคนในทีมมารวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด จะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ โดยอาจเรียกชื่อทีมที่ได้ชนะเลิศ กับรองลงมา โดยใช้ชื่อเก๋ๆก็ได้ หรืออาจให้นักเรียนตั้งชื่อเอง และควรประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะด้วย
ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. ครูสอนความคิดรวบยอดใหม่ หรือบทเรียนใหม่ โดยอาจใช้ใบความรู้ให้นักเรียนได้ศึกษา หรือใช้กิจกรรมการศึกษาหาความรู้รูปแบบอื่นตามที่ครูเห็นว่าเหมาะสม
2. แบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆละ 4 – 5 คน เพื่อปฏิบัติตามใบงาน
3. นักเรียนแต่ละกลุ่มเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจในบทเรียน และพร้อมที่จะเข้าสู่สนามแข่งขัน
4. แต่ละกลุ่มประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในกลุ่ม โดยอาจตั้งคำถามขึ้นมาเอง และให้สมาชิกกลุ่มทดลองตอบคำถาม
5. สมาชิกกลุ่มช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในจุดที่บางคนยังไม่เข้าใจ
6. ครูจัดให้มีการแข่งขัน โดยใช้คำถามตามเนื้อหาในบทเรียน
7. จัดการแข่งขันเป็นโต๊ะ โดยแต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของทีมต่างๆร่วมแข่งขัน อาจให้แต่ละทีมส่งชื่อผู้แข่งขันแต่ละโต๊ะมาก่อน และเป็นความลับ
8. ทุกโต๊ะแข่งขันจะเริ่มดำเนินการแข่งขันพร้อมๆกัน โดยกำหนดเวลาให้
9. เมื่อการแข่งขันจบลง ให้แต่ละโต๊ะจัดลำดับผลการแข่งขัน และให้หาค่าคะแนนโบนัส (Bonus point)
10. ผู้เข้าร่วมแข่งขันกลับไปเข้ากลุ่มเดิมของตน พร้อมด้วยนำคะแนนโบนัสไปด้วย
11. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนของทีม (Team score) และ หาค่าเฉลี่ยที่ได้ค่าเฉลี่ย (อาจใช้คะแนนโบนัสรวมก็ได้) สูงสุด จะได้รับการยอมรับเป็นทีมชนะเลิศ และรองลงไป
12. ให้ตั้งชื่อทีมชนะเลิศ และรองลงมา
13. ครูประกาศผลการแข่งขันในที่สาธารณะ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ หรือประกาศหน้าเสาธง