by || กวินธร เสถียร
December 15, 2020
รูปสลักหิน “โมไอ” ยืนตระหง่านหันหน้าเฝ้ามองแผ่นดินบนเกาะอีสเตอร์ [1]
ในจำนวนหมู่เกาะต่างๆ กว่า 1,000 เกาะในแถบโพลีนีเซียน (Polynesian) อีสเตอร์ คงเป็นเกาะที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางความเวิ้งว้างของมหาสมุทรทะเลใต้ (South Pacific Ocean)...แผ่นดินที่ใกล้ที่สุดและมนุษย์สามารถลงหลักปักฐานอยู่ได้คือ หมู่เกาะพิตคาร์น (Pitcairn) ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกราว 1,200 ไมล์ (1,931 กิโลเมตร) [2]
แม้จะตั้งอยู่ไกลโพ้น แต่เกาะอีสเตอร์กลับเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก เมื่อยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เกาะแห่งนี้เป็นมรดกโลกในปี 1995 [3] ย้อนหลังไปเพียง 1 ปี ความเข้าใจของผู้คนต่อชนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะอีสเตอร์ การสร้างรูปสลักหิน ความขัดแย้งของสองชนเผ่า และตำนานพื้นบ้านว่าด้วยการเก็บไข่นก ก็เป็นที่รู้จักอยู่บ้าง ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ถูกนำเสนอบนโลกภาพยนตร์ผ่าน “ราปานุย” (Rapa Nui)
|| ราปานุยบนแผ่นฟิล์ม (มีการเปิดเผยเนื้อหา)
ราปานุย เข้าฉายที่สหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายน ปี 1994 ผลิตโดยวอร์เนอร์บราเธอร์ส (Warner Bros.) จัดในหมวดภาพยนตร์แอ็คชั่น/ผจญภัย ปนดราม่า ความยาว 107 นาที นำแสดงโดย เจสัน สก็อต ลี (Jason Scott Lee), ไซ มอราเรส (Esai Morales) และ ซาดรีน โฮล์ท (Sandrine Holt) กำกับโดย เควิน เรย์โนลล์ (Kevin Reynolds) อำนวยการสร้างโดย เควิน คอสเนอร์ (Kevin Costner) และ จิม วิลล์สัน (Jim Wilson) มีค่าคะแนนในฐานข้อมูลออนไลน์ภาพยนตร์ (IMDb) เท่ากับ 6.4 [4] ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสมาคมภาพยนตร์การเมืองประเทศสหรัฐอเมริกา (Political Film Society) ในปี 1995
เรื่องราวของราปานุยเป็นความขัดแย้งของชนพื้นเมืองสองตระกูล ระหว่างกลุ่มหูสั้น (ชนชั้นแรงงาน) และกลุ่มหูยาว (ชนชั้นปกครอง) โดยมี อาริคิ-เมา (Ariki-mau) มีสถานภาพเป็น “มนุษย์ปักษา” (birdman) หรือ กษัตริย์ผู้ปกครองเกาะมากว่า 19 ปี อาริคิ-เมาเชื่อว่า สักวันเทพเจ้าจะส่งเรือแคนูสีขาวมายังเกาะ นำพาผู้คนไปยังแดนสวรรค์ แต่การทำให้เทพเจ้าพอใจต้องแลกมากับการสร้าง “โมไอ” (moai) หรือรูปสลักหิน ซึ่งเดิมมีขนาดความสูงราว 6.1 เมตร ให้ใหญ่ขึ้นกว่านี้ และเพิ่มหินสีแดง หรือที่เรียกว่า “ปูเกา” (pukao) บนศีรษะของโมไอ คนหูสั้นจึงถูกใช้แรงงานอย่างหนัก ภายใต้สภาพขาดแคลนอาหาร การตัดต้นไม้บนเกาะจนสิ้น เพื่อใช้เป็นไม้ซุงและทำเชือกชักลาก
ทูปา (นักบวช), อาริคิ-เมา (หัวหน้าเผ่า) และโนโร
ในความขัดแย้งของตระกูล ยังมีเรื่องรักดราม่าเข้ามาเป็นตัวดำเนินเรื่อง ระหว่างโนโร (สก็อต ลี) กลุ่มหูยาว และรามาน่า (ซาดรีน โฮล์ท) กลุ่มหูสั้น โดยมี มาร์ เค (มอราเรส) เพื่อนสนิทของโนโรที่เป็นกลุ่มหูสั้น ก็หวังในตัวรามาน่าเช่นกัน...ความสัมพันธ์ของโนโรและรามาน่าเป็นไปอย่างหลบซ่อน ทั้งคู่ไม่เป็นที่ยอมรับในตระกูลตนเองมากนัก ด้วยพ่อของรามาน่าปฏิเสธสร้างเรือแคนู ทั้งที่เขาเป็นช่างทำเรือ ส่วนพ่อของโนโร ซึ่งอาจเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อกลับขโมยเรือหนีออกไปจากเกาะ
แม้ขนาดสั้นยาวของรูปทรงหูจะเป็นอุปสรรค แต่ก็ไม่อาจพรากรักของคนทั้งสอง เมื่ออาริคิ-เมา ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของโนโร สั่งให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันมนุษย์ปักษา (birdman cult) เทศกาล/พิธีกรรมประจำปี เฉพาะคนหนุ่มในตระกูลหูยาว ซึ่งผู้ชนะจะได้สิทธิ์เสนอชื่อผู้นำของตระกูลปกครองเกาะ โนโรจึงต่อรองว่า หากเขาชนะจะเสนอให้ปู่สืบทอดอำนาจต่อ และขอแต่งงานกับรามาน่าด้วย อาริคิ-เมา ตอบรับเงื่อนไข แต่เธอต้องถูกจองจำในถ้ำพรหมจรรย์เป็นเวลา 6 เดือน จนกว่าจะมีงานแข่งขัน
ขณะที่กลุ่มหูยาวนำโดย มาร์ เค กลายมาเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด เมื่อเขาร้องขอแบบเดียวกับโนโรเช่นกัน แต่พวกหูสั้นจะได้สิทธิ์ ต่อเมื่อโมไอขนาดใหญ่ยักษ์ตั้งตระหง่านแล้วเท่านั้น...การผล่าผลาญทรัพยากรเพื่อสร้างโมไอเป็นไปอย่างสุดขั้ว กระทั่งเกิดการขาดแคลนอาหาร แต่ไม่มีใครคำนึงถึงหายนะอันใกล้ โนโรเป็นเพียงคนเดียวที่ห่วงกังวลต่อการล้มลงของไม้ใหญ่ต้นสุดท้ายบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ที่จริงคือเสียดายไม้ที่เป็นพยานรักเสียมากกว่า
กลุ่มหูสั้นทุ่มเทสุดกำลังจนโมไอแล้วเสร็จ และมาร์เคได้สิทธิ์เข้าแข่งขันมนุษย์ปักษาที่เขตโอรองโก (Orongo) ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ โดยมีตัวแทนแต่ละตระกูลเข้าร่วม หนุ่มฉกรรจ์เหล่านี้ต้องไต่ลงจากหน้าผาสูง ว่ายน้ำข้ามทะเลฝ่าดงฉลามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อเก็บไข่นกนางนวล (sooty tern) ฟองแรกของฤดูวางไข่ในปีนั้น และว่ายน้ำกลับมายังโอรองโก (เฉพาะว่ายน้ำไป-กลับราว 2 ไมล์) โดยไข่นกต้องไม่ปริแตก
การแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือด คนหนุ่มหลายคนเอาชีวิตไปทิ้ง แต่หนังก็คือหนัง พระเอกได้รับชัยชนะเป็นมนุษย์ปักษาในปีนั้น แต่อาริคิ-เมา ก็ไม่ได้ปกครองอีสเตอร์ต่อ เมื่อชาวเกาะพบก้อนหินสีขาวขนาดใหญ่ ลอยเขว้งอยู่ใกล้เกาะ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามันคือ แคนูสีขาวในตำนานที่เทพเจ้าส่งมาให้ (ทั้งที่เป็นเพียงชิ้นส่วนก้อนน้ำแข็งที่ลอยมาจากขั้วโลกใต้)...อาริคิ-เมา กับผู้คนบางส่วนเดินทางไปกับแคนูขาว ทิ้งนักบวชให้เป็นผู้ดูแลเกาะ แต่พวกหูสั้นไม่อาจทนถูกกดขี่ได้อีกต่อไป จึงก่อกบฎฆ่าล้างบางกลุ่มหูยาว และทำลายโมไอทั้งหมด
โนโรหนีรอดมาได้ และเห็นว่าอีสเตอร์ไม่เหลืออนาคตแล้ว เขาจึงพารามาน่าขึ้นเรือที่พ่อของเธอขุดไว้ ล่องตามกระแสน้ำออกไปยังเวิ้งมหาสมุทร...แม้เนื้อเรื่องไม่ได้บอกว่า ทั้ง 3 เอาชีวิตรอดหรือไม่ ฉากสุดท้ายของเรื่องเห็นเพียงตะวันที่กำลังลับฟ้า และเรือมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น...เป็นไปได้ว่า กระแสน้ำอาจพัดพาไปถึงพิตคาร์น เกาะแรกที่พวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ท่ามกลางทรัพยากรธรรมชาติที่ยังอุดม เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เกาะอีสเตอร์เคยมี...
|| ประเด็นพิจารณา
แม้ว่าราปานุยจะถ่ายทอดเกร็ดประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม แต่ผู้ชมควรเข้าใจว่า เป้าหมายของภาพยนตร์คือ ให้ความบันเทิงเป็นหลัก ไม่ได้กำหนดตัวเองเป็นภาพยนตร์สารคดี (Documentary Film) เนื้อหาในเรื่องย่อมจะมีข้อถกเถียงต่อความถูกต้อง การศึกษาข้อเท็จจริงต่างๆ จึงต้องพิจารณาจากแหล่งข้อมูลอื่นประกอบ เช่น หนังสือ/บทความวิชาการ ประเด็นที่ควรพิจารณามีดังนี้
ราปานุย เป็นชื่อดั้งเดิมที่ผู้คนในแถบโพลีนีเซียนรู้จัก หมายถึง กลุ่มคนที่ชาวยุโรปนำไปเป็นแรงงานทาสในช่วงต้นทศวรรษ 1860 ส่วนชื่อเกาะอีสเตอร์ เดิมเรียกว่า “Te Pito te Henua” (the Navel of the World/the belly-button of the world) [5] หมายถึง สะดือโลก ส่วนคำว่า อีสเตอร์ เป็นชื่อที่ จาค็อบ ร็อกเกอวีน (Jacob Roggeveen) นักเดินเรือชาวดัทซ์เรียกเกาะแห่งนี้ เมื่อเขาค้นพบในวันที่ 8 เมษายน 1722 ซึ่งตรงกับวันอีสเตอร์
<< ภาพวาดชนพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์และโพรา (pora) พาหนะที่ใช้เพื่อว่ายน้ำ โดย Radiguet, อ้างใน Du Petit Thouars, 1984) [5]
การล่มสลายของอารยธรรม - ภาพยนตร์ได้ย่นย่อเรื่องปรัมปราในกลุ่มคนหูยาว (Hanau epe) เกี่ยวกับความขัดแย้งของคนสองกลุ่ม ถึงขั้นกินเนื้อเผ่าพันธุ์ตนเอง (cannibalism) [6] คนหูยาวเกือบทั้งหมดถูกสังหารโดยคนหูสั้น (Hanau momoko) เหลือเพียง 1 ราย อย่างที่เห็นในเรื่อง แต่การตีความดังกล่าว นักวิชาการเชื่อว่า เป็นเพียงตำนานท้องถิ่น (oral traditions) ข้อเท็จจริงซึ่งใกล้เคียงกับตำนานคือ เกิดการต่อสู้ระหว่างชนพื้นเมืองกับชาวตะวันตกที่เข้ามาหาประโยชน์บนเกาะ โดยมีคำเรียกผู้บุกรุกต่างถิ่นซึ่งมี ผิวขาว ร่างเล็ก (lighter skinned) ใบหูมีของประดับตกแต่งว่า คนหูยาว (long ears) และเรียกคนพื้นเมืองที่มีร่างกำยำ (stocky) ไม่เปิดรับวัฒนธรรมต่างถิ่นว่า คนหูสั้น (short ears) [7] หนังได้รวบสองเหตุการณ์เข้าด้วยกันคือ ช่วงการสร้างโมไอ (ปี 1000-1600) และความเชื่อในเทศกาลมนุษย์ปักษา (พิธีกรรมครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1867) [6] ซึ่งหากความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเป็นจริง จะต้องเกิดขึ้นมาก่อนพิธีมนุษย์ปักษา แต่เนื้อหาดังกล่าวไม่ถูกกล่าวถึงในพิธีกรรมนั้น
การตัดไม้ทำลายป่า (deforestation) - มีการตั้งสมมติฐานว่า หนูประจำถิ่นในแถบโพลีนีเซียนเป็นตัวการสำคัญต่อการลดลงของป่า [7] แต่สมมติฐานที่ยอมรับในวงกว้างคือ คนท้องถิ่นบนเกาะอีสเตอร์โชคไม่ดีที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่โดดเดี่ยว สภาพภูมิอากาศแห้งแล้ง ฯลฯ แต่สาเหตุหลักคือ การใช้ทรัพยากรอย่างสุดโต่ง (overexploitation) ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล ไม่สามารถทำการเกษตรได้ จนเกิดการขาดแคลนอาหาร แต่ละเผ่าขัดแย้งแก่งแย่งกันเพื่ออ้างสิทธิ์ควบคุมทรัพยากร หรือผืนดินที่ยังเหลือความสมบูรณ์พอจะดำรงชีพ
|| บทสรุป
ในปี 2022 ชาวเกาะอีสเตอร์ และประชากรชาวชิลี อาจได้เฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 300 ปี นับจากที่ร็อกเกอวีนค้นพบสะดือโลก ซึ่งครั้งนั้นผืนดินมีแต่ความโล่งเตียน ปราศจากไม้ยืนต้น [8] แต่ปัจจุบัน รัฐบาลและชุมชนต้องพยายามอย่างหนักที่จะฟื้นคืน (reforestation) สภาพป่าไม้ดั้งเดิมในแถบโพลีนีเซียน ด้วยการปลูกไม้เนื้อแข็ง (ironwood) ที่ทนต่อสภาพความเค็ม ทนกระแสลมแรง แทนการทำสวนป่ายูคาลิปตัส เพื่อให้ไม้ใหญ่ได้ปกคลุมดิน รักษาความชุ่มชื้น และความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน...อีสเตอร์วันนี้อาจยังไม่ล่มสลาย แต่จำเป็นต้องใช้เวลา และสร้างความเข้าใจต่อชุมชนท้องถิ่น
จาเร็ด ไดมอนด์ (Jared Diamond) [6] ผู้เขียนหนังสือ “collapse” กล่าวว่า อารยธรรมบนเกาะนั้นล่มสลายไปแล้ว แต่รูปสลักหินโมไอ และฐานหินก็ยังพบเห็นได้จนทุกวันนี้ กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจผู้คนทั่วโลกมาเที่ยวชม แต่ละเลยการเรียนรู้ความผิดพลาดเบื้องหลังการสร้างโมไอ...เรื่องของชาวราปานุย เป็นบทเรียนสำหรับชนพื้นเมือง ผู้คนบนเกาะอื่นๆ รวมถึงผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ ต่อการสูญไปของผืนป่าอย่างแจ่มชัด ไดมอนด์เปรียบเทียบให้เห็นว่า ชาวเกาะอีสเตอร์ที่มีเพียงเครืองมือยุคหิน อาศัยแค่แรงกายเพียงไม่กี่พันคน ยังสามารถทำลายสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือสรุปง่ายๆ คือ พังบ้านของตนเอง แล้วผู้คนหลายพันล้านคนในทุกวันนี้ ซึ่งมีเทคโนโลยี และจักรกลอันทันสมัย จะไม่ทำอะไรร้ายแรงมากไปยิ่งกว่าเดิมหรือ?...
ราปานุย ดินแดนโพ้นทะเลซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเราหลายพัน หลายหมื่นไมล์ แต่ดูเหมือนหายนะที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่นั่น กำลังคืบใกล้เราเข้ามาทุกที
|| อ้างอิง
[1] Jim Barlow. (2019). Study suggests fresh water was key to Easter Island’s.
[2] Bright Side. (2017). Scientists Finally Discovered the Truth About Easter Island.
[3] UNESCO. (1995). Rapa Nui National Park.
[4] IMDb. (1994). Rapa Nui (1994).
[5] Patricio M. Arana. (2014). Ancient Fishing activities developed in Easter Island. Lat. Am. J. Aquat. Res. 42(4), 673-689.
[6] จาเร็ด ไดมอนด์. (2552). ล่มสลาย: ไขปริศนาความล่มจมของสังคมและอารยธรรม. Oh My God.
[7] Hunt, T. and Lipo, C. (2001). The Statues That Walked: Unraveling the Mystery of Easter Island. Free Press.
[8] Michael Marek. (2015). Bringing the trees back to Easter Island. DW.Com