Author: กวินธร เสถียร
August 2, 2025
ภาพ Earthrise ในปี 1968 สร้างการตระหนักรู้ต่อการรักษาบ้านหลังเดียวของมนุษย์ชาติ
ความทะเยอทะยานของมนุษยชาติล้ำหน้าไปอีกขั้น เมื่อนาซา (NASA) ประสบความสำเร็จในภารกิจส่ง 2 นักบินอวกาศ โรเบิร์ต เบห์นเคน (Robert Behnken) และ ดั๊ก เฮอร์ลีย์ (Doug Hurley) ขึ้นสู่วงโคจรและเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติได้สำเร็จในโครงการ “Crew Dragon Demo-2” เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2020 เวลา 02:22 (เวลาไทย) [1] เริ่มปฐมบทใหม่ในหน้าประวัติศาสตร์ ปูทางสู่การขนส่งอวกาศเชิงพาณิชย์ของบริษัทเอกชน
เป็นไปได้หรือไม่ว่า โรเบิร์ตและดั๊กจะได้มองโลกและนึกถึง “Earthrise” ภาพถ่ายในอดีต ซึ่งกลายเป็นกระจกสะท้อนให้มนุษย์ปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อดาวเคราะห์หนึ่งเดียวในระบบสุริยะ ด้วยยังมีอีกหลายชีวิตดำรงและพึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกัน
ขณะที่สายตาของเราจับจ้องที่ดวงดาว ด้วยเพราะการสำรวจอวกาศเป็นพัฒนาการสำคัญของมนุษยชาติ แต่เมื่อสองเท้ายังคงติดดิน มนุษย์ควรหันกลับมาตั้งคำถามด้วยว่า เรารู้จักทุกแง่มุมหรือเข้าใจสถานภาพอันเปราะบางของบ้านหลังนี้แล้วหรือไม่ การสำรวจโลกจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน และเราสามารถเรียนรู้ผ่านเรื่อง 'One Planet'
แนวชายฝั่งประเทศเปรูจะยังคงอุดมสมบูรณ์ ตราบเท่าที่ฮัมโบล์ดไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
ดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน (One Planet) เป็นหนึ่งในสารคดีชุด “โลกของเรา” (Our Planet) อยู่ในหมวดสารคดีธรรมชาติ/สิ่งแวดล้อม ผลิตโดยความร่วมมือของเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) ซิลเวอร์แบ็คฟิล์ม (Silverback Films) และกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (World Wildlife Fund for Nature: WWF) [2] เป็นผลงานกำกับของ อลาสเท เฟอเธอกลิว (Alastair Fothergill) และ คีธ สคอร์เล่ (Keith Scholey) ทั้งสองเป็นผู้สร้างสารคดีธรรมชาติของสถานีโทรทัศน์อังกฤษหรือ BBC จากเรื่อง ปฐพีชีวิต (Planet Earth), พิภพน้ำแข็ง (Frozen Planet) และดาวเคราะห์สีน้ำเงิน (The Blue Planet) ส่วนผู้สร้างดนตรีประกอบเร้าอารมณ์ไปตามจังหวะชีวิตธรรมชาติ เป็นผลงานของ สตีเวน ไพรซ์ (Steven Price) เจ้าของรางวัลออสการ์ สาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเรื่อง Gravity (2013)
สำหรับ Our Planet (มีค่าคะแนน IMDB 9.2) ใช้เวลาถ่ายทำนานถึง 4 ปี ใน 50 ประเทศทั่วโลก มีทีมงานเกี่ยวข้องมากกว่า 600 ชีวิต สารคดีชุดนี้เผยแพร่บน Netflix เมื่อ 5 เมษายน 2019 เป็นช่วงเดือนที่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Program: UNEP) กำหนดให้วันที่ 22 เมษายน ของทุกปี เป็นวันคุ้มครองโลก (Earth Day) [ส่วนวันสิ่งแวดล้อมโลก - World Environmental Day คือวันที่ 5 มิถุนายน] นอกจากนี้ Netflix ยังเปิดให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกรับชมฟรีผ่าน YouTube ช่อง Netflix โดยเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2020
สารคดีชุด Our Planet มีจำนวน 8 ตอน ความยาวไม่เกิน 1 ชั่วโมง ประกอบด้วย
1) One Planet - ดาวเคราะดวงเดียวกัน
2) Frozen Worlds - อาณาจักรเยือกแข็ง
3) Jungles - ป่าดิบชื้น
4) Coastal Seas - ทะเลชายฝั่ง
5) Grasslands - จากทะเลทรายสู่ทุ่งหญ้า
6) High Seas - ทะเลหลวง
7) Fresh Water - แหล่งน้ำธรรมชาติ
8) Forest - ผืนป่า
และในปีเดียวกันมีการเผยแพร่เบื้องหลังการถ่ายทำผ่านตอน Our Planet - Behind the Scenes
ความน่าสนใจของ Our Planet คือ การเลือกสถานที่ถ่ายทำซึ่งแสดงถึงความสำคัญด้านความหลากหลายในถิ่นอาศัย (diversity of habitat) ของสิ่งมีชีวิตทั่วโลก เช่น ทวีปอาร์กติก น่านน้ำตามแนวชายฝั่งของประเทศเปรู ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของทวีปแอฟริกา รวมถึงป่าดิบชื้นในอเมริกาใต้ ประกอบกับเสียงบรรยายอันทุ้มนุ่มเป็นเอกลักษณ์ของ เดวิด แอทเทนเบอเรอห์ (David Attenborough) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ทั้งยังเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์เชิงสารคดีที่มีประสบการณ์กว่า 60 ปี ย่อมเป็นแรงดึงดูดให้ผู้ชมติดตามสารคดีชุดนี้
เนื้อหาตอนที่ 1 One Planet
ดาวเคราะดวงเดียวกัน กำกับโดย อดัม แชพเมน (Adam Chapman) ความยาว 49 นาที มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหลากหลายทางธรรมชาติของถิ่นอาศัยต่างๆ ตั้งแต่นกทะเลดิ่งทิ้งตัวลงในมหาสมุทรเพื่อจับปลา ขณะที่โลมาด้านล่างไล่ต้อนฝูงปลาขึ้นสู่ผิวน้ำ ส่วนพื้นแผ่นดิน นกฟลามิงโก และวิลเดอร์บีสต์ ต้องพึ่งพาทุ่งหญ้าและแหล่งน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด ท่ามกลางเขี้ยวสังหารของหมาป่า ความร้อนของแอ่งเกลือ และความแร้งแค้นในเขตทุ่งหญ้าเซเรนเกติ (Serengeti)
One Planet เปิดเรื่องด้วยการฉายภาพโลกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ค่อย ๆ ลอยผ่านพื้นผิวดวงจันทร์ นี่เป็นครั้งแรกที่มนุษยชาติมองเห็นบ้าน (Home) ของตัวเองเป็นครั้งแรกจากห้วงอวกาศ ผ่านการบันทึกด้วยกล้องถ่ายภาพโดย วิลเลี่ยม แอนเดอร์ (William Anders) นักบินอวกาศในโครงการอพอลโล 8 (Apollo 8) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 1968 กลายเป็นภาพจำที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งภาพนั้นเรียกว่า “Earthrise” [3]
เมื่อโลกหมุนโคจรไป ด้านหนึ่งฉาบทาบด้วยห้วงมหาสมุทรสีน้ำเงิน ขณะที่เงามืดอีกด้านกลับมีกระจุกแสงจากพื้นดิน ด้วยมนุษย์ขยายถิ่นฐานไปยังดินแดนต่าง ๆ กลายเป็นเมืองมหานครกระจายอยู่ทั่วโลก...52 ปีผ่านไป นับแต่ภาพ Earthrise โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ถึงช่วงอายุคนประชากรมนุษย์เพิ่มเป็นสองเท่า และในทางตรงข้าม สัตว์ป่ากลับลดลงกว่า 60% แต่โลกก็มีวิธีปรับสมดุลของตนเอง (resilient) เนื้อหาสารคดีต่อจากนี้จึงชวนตั้งคำถามว่า เรายังคงมองโลกและสิ่งแวดล้อมในภาวะคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนั้นหรือ? เรายังหลงเหลือระบบนิเวศที่สมดุล และสิ่งมีชีวิตใดบ้างที่ไม่สูญสิ้นสายพันธุ์ไป? แล้วเราจะสงวนรักษาสิ่งเหล่านั้นให้คงอยู่ได้อย่างไร?
One Planet เริ่มลำดับความเชื่อมโยงของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์อันซับซ้อนในแต่ละถิ่นอาศัยของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ดังนี้
น่านน้ำตามแนวชายฝั่งประเทศเปรู - (Peruvian coast) ทวีปอเมริกาใต้ ได้รับอิทธิพลจากกระแสน้ำเย็นฮัมโบลต์ (Humboldt current) ซึ่งนำพาเอาสารอาหารมาจากทะเลลึกของทวีปแอนตาร์กติก (Antarctic) จนเขตน้ำตื้นแถบนี้กลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญของนกทะเลชนิดต่าง ๆ อย่าง นกกาน้ำ (cormorant) นกบูบี (boobies) นกจมูกหลอด (shearwater) และโลมา (dolphin) ซึ่งต่างออกล่าฝูงปลากะตักหรือปลาไส้ตัน (enchovy) และปลาแมคเคอเรล (mackerel) 90% ของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรอาศัยอยู่ในเขตน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง แต่ในแง่มุมหนึ่ง ต้นทางสารอาหารกลับมีต้นกำเนิดในทะเลทรายที่ห่างออกไปหลายร้อยไมล์ ซึ่งลมจะพัดหอบเอาฝุ่นผงทิ้งลงในห้วงมหาสมุทร กลายเป็นห่วงโซ่อาหารแก่สิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วอย่างกุ้งเคย หรือตัวคริลล์ (krill)...ความมั่นคงทางอาหารของสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรไม่ได้ขึ้นกับระบบนิเวศเฉพาะตัวเท่านั้น แต่ยังขึ้นกับความมั่นคงของระบบนิเวศอื่นเช่นกัน
ทวีปแอฟริกาใต้ - แม้เนื้อหาไม่ได้ระบุที่ตั้งแน่ชัด แต่เดวิดบรรยายถึง แอ่งเกลือ (salt pan) ร่องรอยทะเลสาบยุคโบราณที่ยังหลงเหลือจนทุกวันนี้ ภูมิอากาศของแอ่งเกลือมีสภาพแห้งแล้ง แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน แอ่งกระทะนี้เจิ่งนองไปด้วยน้ำ สัตว์ป่าอย่างนกฟลามิงโก จึงอพยพเข้ามาหาแหล่งอาหาร แต่ทุกชีวิตก็ต้องเผชิญบททดสอบของธรรมชาติ หากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้เขียนคาดว่า พื้นที่แล้งสุดขั้วบริเวณนี้ คือ “แอ่งกระทะมากาดิคกาดิ” (Makgadikdagi pan) แอ่งเกลือที่ใหญ่ที่สุดของโลก ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบอตสวานา (Botswana) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,200 ตารางไมล์ [4] ขณะที่ด้านตะวันออกของที่ราบเซเรนเกติ ประเทศเทนซาเนีย (Tanzania) สภาพอากาศมีความคงที่ตามฤดูกาลมากกว่า จึงเหมาะต่อการเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าทั้งผู้ล่าและผู้ถูกล่า เช่น หมาป่ากับวิลเดอบีสต์ (wilderbeest, gnu - หรือวัวป่า ญาติห่าง ๆ ของวัวและควาย จัดเป็นกลุ่มแอนทีโลปขนาดใหญ่ วงศ์ Bovidae) อย่างไรก็ตาม การอพยพย้ายถิ่นครั้งใหญ่ (great migration) ของฝูงวิลเดอบีสต์ แต่ละปีก็ยังเกิดขึ้น ด้วยปริมาณน้ำฝนเป็นปัจจัยกำหนดที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของทุ่งหญ้า
ป่าเขตร้อน (tropical forest) หรือ ป่าฝนเขตร้อน (tropical rainforest) ปกคลุมพื้นที่เพียง 7% ของพื้นดินบนโลก กระจายตัวอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรในทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอุณหภูมิคงที่ราว 20-27 องศาเซลเซียส ทั้งในฤดูฝนและฤดูแล้ง ความอุดมสมบูรณ์ในป่าเขตร้อน เป็นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์สัตว์กว่าครึ่งหนึ่งของสายพันธุ์สัตว์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนบก ทุกวันนี้มนุษย์ยังคงค้นพบสัตว์สายพันธุ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เนื้อหาตอนนี้สะกดสายตาผู้ชม ด้วยลีลาการร่ายรำของนกมานาคิน (manakin) เพศผู้ต่างสายพันธุ์ ที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดึงดูดความสนใจของเพศเมีย เช่น นกมานาคินแถบคอทอง (golden-collared manakin) จะเก็บกวาดลานป่าก่อนการแสดง และมีท่วงท่าเฉพาะคือ การตีลังกากลับหลัง, นกมานาคินหมวกแดง (red-capped manakin) จะขยับตัวไปมาบนกิ่งไม้สลับกับการตีปีก แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ นกมานาคินสีน้ำเงิน (blue manakin) พวกมันทำงานร่วมกันเป็นทีม ด้วยการเต้นสลับไปมา ก่อนที่ผู้นำกลุ่มจะบินโฉบเหนือตัวเมียปิดท้ายการแสดง
ป่าเขตหนาว (boreal forest) ป่าไทกา (taiga) หรือป่าหิมะ (snow forest) (ส่วนใหญ่เป็นไม้สน ไม้ไพน์) มีอาณาเขตกว้างไกลกว่าป่าเขตร้อน ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ทวีปอเมริกาเหนือจนถึงทวีปยูเรเซีย (ยุโรปและเอเชีย) แม้สภาพภูมิอากาศจะหนาวสุดขั้ว (อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีราว 6 องศาเซลเซียส) แต่สิ่งมีชีวิตบางชนิดก็ปรับตัวอยู่รอดได้ เช่น กวางคาริบู (caribou) ที่หากินอยู่บนเขตทุนดรา (tundra) ทางเหนือจะมุ่งหน้าลงใต้เพื่อหาแหล่งอาหารและที่กำบังจากสภาพอากาศอันเลวร้าย ซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำจนติดลบ 40 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และพวกมันจะอพยพขึ้นไปทางเหนือ เดินทางกว่า 600 กิโลเมตร อีกครั้งเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ แต่ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ประชากรคาริบูกลับลดลงกว่า 70%
ทวีปอาร์กติก (Arctic) และทวีปแอนตาร์กติกา (Antarctica) สุดขอบโลกที่ปกคลุมไปด้วยผืนน้ำแข็ง แม้สภาพภูมิประเทศดูมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความมั่นคงนั้นเป็นเพียงภาพลวง ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา เขตขั้วโลกอุ่นขึ้นเร็วกว่าส่วนอื่น ๆ ของโลก และหมีขั้วโลก (polar bear) ก็รับรู้ถึงผลกระทบนั้น เมื่อผืนน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าของมันละลายและแตกตัวออกจากธารน้ำแข็ง (glacier) อย่างรวดเร็ว ฤดูล่าแมวน้ำของพวกมันจึงหดสั้นลง หากมีลูกหมีเกิดใหม่ แต่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ โอกาสรอดชีวิตก็จะลดลงเช่นกัน นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ภายในชั่วอายุของหมี (ประมาณ 25 ปี) พื้นที่ส่วนใหญ่ของอาร์กติกในฤดูร้อนอาจไม่มีน้ำแข็งอีกต่อไป
เกาะกรีนแลนด์ (Greenland) เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลกในการปกครองของประเทศเดนมาร์ก อยู่ระหว่างทวีปอาร์กติกและมหาสมุทรแอตแลนติก เป็นเกาะที่พื้นดินปกคลุมไปด้วยธารน้ำแข็ง ช่วยปกป้องโลกไม่ให้ร้อนเกินไป โดยสะท้อนรังสีที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ แต่เมื่อพื้นที่แถบนี้อุ่นขึ้น ก็ส่งผลกระทบต่อธารน้ำแข็งด้วย เช่น สโตร์กลาเซีย (Store glacier) ธารน้ำแข็งที่เชื่อว่า คงอยู่อย่างมั่นคง แต่มันก็เคลื่อนตัวไปไกลราว 45 เมตร/วัน บริเวณปลายขอบธารน้ำแข็งที่จรดกับทะเล พืดน้ำแข็งจะสูงขึ้นไปจากระดับน้ำทะเล 100 เมตร และจมลึกลงไปใต้ผิวน้ำกว่า 400 เมตร และธารน้ำแข็งก็พังทลายอย่างต่อเนื่อง การเซาะกร่อนผิวหน้าแม้เพียงน้อยนิด ส่งผลกระทบต่อธารน้ำแข็งที่ยาวต่อเนื่องกันกว่า 1 กิโลเมตร การแตกตัวแม้เพียงแค่ 20 นาที แต่ขนาดก็เทียบเท่าตึกระฟ้า และน้ำแข็ง 75 ล้านตัน ก็แตกตัวสู่มหาสมุทร สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นเร็วเป็นสองเท่ากว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว...และทั่วทุกมุมโลก น้ำแข็งถูกเร่งการละลาย เพิ่มเติมน้ำในมหาสมุทร จนระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น (global sea level rise) เกิดการเปลี่ยนแปลงค่าความเค็ม และส่งผลกระทบต่อการไหลของกระแสน้ำในมหาสมุทร
ถิ่นอาศัย (habitat) ของสิ่งมีชีวิตบางส่วนที่ปรากฏในตอนที่ 1 One Planet
ในตอนท้ายของ One planet เดวิด ขมวดปมการสูญเสียธารน้ำแข็ง ย้อนกลับไปยังเนื้อหาตอนต้น ซึ่งกล่าวถึงน่านน้ำตามแนวชายฝั่งประเทศเปรู โดยตั้งคำถามว่า หากฮัมโบลต์เกิดการเปลี่ยนแปลง สารอาหารไม่หมุนเวียนมาอย่างที่เคยเป็น เราจะยังเห็นภาพนกทะเลต่อไปหรือไม่? สายใยที่เชื่อมโยงสิ่งมีชีวิตในถิ่นอาศัยต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังถูกทำลาย ทั้งที่ผู้คนจำเป็นต้องพึ่งพาเสถียรภาพจากสายใย (food web) เหล่านั้น สิ่งที่เราทำในวันนี้จะเป็นปัจจัยกำหนดความมั่นคงในอนาคต
หน้าที่ของ One Planet คือการแสดงถึงความหลากหลายในถิ่นอาศัยที่ยังหลงเหลือ หล่อเลี้ยง และสนับสนุนการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์พืช สัตว์ รวมถึงมนุษย์...การเรียนรู้ เข้าใจ และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของระบบนิเวศ เป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างความตระหนักรู้ (awareness) ด้านธรรมชาติ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่คุกคามโลก และเรียนรู้วิธีการฟื้นคืน (recover) การสงวนรักษา (preserve) และการอนุรักษ์ (conservation) ซึ่งเราทุกคนมีส่วนช่วยให้โลกกลับคืนสู่ความสมดุลได้อีกครั้ง เพราะไม่ว่าระบบนิเวศแต่ละเขตพื้นที่จะต่างกันเพียงใด แต่ทั้งเรา เขา และสรรพชีวิตต่างก็อาศัยบน “ดาวเคราะห์ดวงเดียวกัน”
"...But the natural world is resilient.
Great riches still remain.
And with our help, the planet can recover.
Never has it been more important to understand how the natural world works,
and how to help it.
อ้างอิง
[1] James Cawley. (2020). NASA and SpaceX Complete Certification of First Human-Rated Commercial Space System.https://bit.ly/3gPVd5V
[2] Ourplanet. (2019). This is Our Planet. https://www.ourplanet.com/en/explore/one-planet
[3] Yvette Smith. (2018). Apollo 8: Earthrise. https://www.nasa.gov/image-feature/apollo-8-earthrise
[4] NGThai. (2560). 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติในแอฟริกา. https://bit.ly/3EXGQo4