Research Gate

Writer, อารียา แพ่งกลิ่น, Editor || กวินธร เสถียร

May 18, 2018

ประชากรเต่าทะเลในมหาสมุทรทั่วโลก มีอยู่ 7 สายพันธุ์ คือ 1) เต่าตนุ (Green Sea Turtles, en) 2) เต่ากระ (Hawksbill, cr) 3) เต่าหญ้า (Olive Ridley, vu) 4) เต่าหญ้าแอตแลนติค (Kemp's Ridley, cr) 5) เต่าหัวค้อน (Loggerhead, vu) 6) เต่าหลังแบน (Flatback, dd) และ 7) เต่ามะเฟือง (Leatherback, vu) โดยเต่า 6 สายพันธุ์อยู่ในภาวะถูกคุกคามหรือเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ุจากกิจกรรมของมนุษย์ [1] ยกเว้นเต่าหลังแบนที่ยังมีข้อมูลไม่มากพอจะประเมินสถานภาพ ซึ่งก็อาจมีชะตากรรมไม่ต่างจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์ (สายพันธุ์เต่าทะเล เรียงตามลำดับ 1) เต่าตนุ บนซ้าย - 7) เต่ามะเฟือง ล่างขวา) 

หมายเหตุ: บัญชีแดงของสหภาพสากลเพื่อการอนุรักษ์ (IUCN Redlist) cr (critically endangered) เสี่ยงขั้นวิกฤติต่อการสูญพันธ์ุ, en (endahgered) เสี่ยงสูงต่อการสูญพันธ์ุ, vu (vulnerable) อยู่ในข่ายใกล้สูญพันธุ์, dd (data deficient) ข้อมูลไม่เพียงพอต่อประเมินสถานภาพ

ในประเทศไทยเป็นถิ่นอาศัยของเต่าถึง 4 สายพันธุ์ ฝั่งอ่าวไทยพบ “เต่าตนุ“ และ “เต่ากระ“ ขึ้นมาวางไข่ตลอดปี มีช่วงชุกชุมระหว่างเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ส่วนฝั่งอันดามันพบ “เต่าหญ้า“ “เต่ามะเฟือง“ และ “เต่าตนุ“ มีฤดูวางไข่ตั้งแต่เดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์ แต่จะชุกชุมมากระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กลางมกราคม แหล่งวางไข่หลักๆ ได้แก่ หมู่เกาะพระทอง อำเภอคุระบุรี, หาดท้ายเหมือง อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา, หาดในยาง จังหวัดภูเก็ต และหมู่เกาะต่างๆ อาทิ เกาะสิมิลัน เกาะสุรินทร์ เป็นต้น ส่วน เต่าหัวค้อน มีรายงานว่าเคยพบในฝั่งทะเลอันดามัน แต่ 20 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่เคยพบเต่าหัวค้อนขึ้นมาวางไข่อีกเลย จนเชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กรณีพบเป็นข่าวถูกจับด้วยเครื่องมือประมง หรือพบตายเกยตื้นทั้ง 2 ฝั่งทะเล อาจเป็นเต่าทะเลของ (ประเทศ) เพื่อนบ้านเสียมากกว่า 

โดยทั่วไป เต่าทะเลจะขึ้นมาวางไข่บนหาดทรายในช่วงค่ำ แม่เต่าจะขุดหลุมเหนือบริเวณน้ำขึ้นสูงสุด และวางไข่เพียงปีละ 1-3 ครั้ง [2] เต่าทะเลจะมีอายุราวๆ 100 ปี ช่วงชีวิตที่ยาวนาน เนื่องจากเต่ามีความสามารถในการแพร่พันธุ์ต่ำ [3] ดังนั้น หากมีช่วงชีวิตยาวนาน โอกาสที่จะขยายพันธุ์ย่อมมีมากขึ้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการดำรงชีวิตของเต่าคือ อุณหภูมิ 

งานศึกษาชิ้นหนึ่ง ซึ่งดำเนินการร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยสวอนซี (Swansea University), สหราชอาณาจักร และมหาวิทยาลัยเดอคิน (Deakin University), ออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ภาวะโลกร้อน (global warming) ส่งผลต่อถิ่นอาศัยของประชากรเต่าทะเลบางแห่ง และเป็นไปได้ที่จะเกิดการสูญพันธุ์ [4]

งานวิจัยนี้เผยแพร่ในวารสาร Global Change Biology [5] เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 นักวิจัยรายงานว่า แม้อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตตามธรรมชาติของประชากรเต่าเพศเมีย แต่ในทางกลับกันก็อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความล้มเหลวทั้งรัง (Nest Failure) ต่อการฟักเป็นตัว 

Jacques-Olivier Laloë หัวหน้าทีมวิจัยเล่าในงานแถลงข่าว [6] ของมหาวิทยาลัยสวอนซี ว่า “ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แหล่งวางไข่ของเต่าทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งอย่าง ฟลอริด้า มีรายงานอัตราการรอดชีวิตของลูกเต่าต่ำกว่าในอดีต เป็นสัญญาณเตือนว่า “เราจำเป็นต้องติดตามอุณหภูมิการฟักเป็นตัว และอัตราการรอดชีวิตของเต่าทะเลอย่างใกล้ชิด หากต้องการประสบผลสำเร็จต่อการปกป้องคุ้มครองประชากรเต่าทะเล“

นักวิจัยรายงานว่า เพศของเต่าทะเล จะแปรเปลี่ยนไปตามอุณหภูมิในช่วงระยะฟักไข่ เรียกว่า ช่วงอุณหภูมิกำหนดเพศ (Temperature Dependent Sex Determination: TSD) หากอุณหภูมิอยู่ที่ 29C° โอกาสที่จะเป็นลูกเต่าเพศผู้หรือเพศเมียนั้นเท่าๆ กัน ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 29C° จะเพิ่มโอกาสเป็นเพศเมีย แต่ถ้าต่ำกว่าจะมีแนวโน้มเป็นเพศผู้

อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เต่าทะเลเพศเมียมีมากขึ้น และเต่าเพศผู้สามารถจับคู่กับเพศเมียได้หลายตัว เมื่อมีเต่าเพศเมียมากขึ้น ย่อมหมายถึงจำนวนไข่ตามชายหาดที่จะถูกวางไว้มากขึ้นเช่นกัน แต่ในทางตรงข้าม หากเพศเมียมีมากเกินไป เพศผู้น้อยเกินไป สถานภาพของเต่าทะเลย่อมอยู่ในภาวะเสี่ยงจากความไม่สมดุลของประชากรได้

แม้ว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อเต่าทะเล โดยเฉพาะการเพิ่มประชากรเพศเมีย แต่ในระยะยาวอาจส่งผลต่อความล้มเหลวในระยะบ่มไข่ (Incubation) ได้ นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่า อุณหภูมิที่เหมาะสมในการบ่มจะอยู่ระหว่าง 25C° -35C° ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้ ตัวอ่อนจะไม่พัฒนา และหากว่าอุณหภูมิสูงเกินไปการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนก็จะไม่เกิดขึ้น

ในปี 2022 ชาวเกาะอีสเตอร์ และประชากรชาวชิลี อาจได้เฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 300 ปี นับจากที่ร็อกเกอวีนค้นพบสะดือโลก ซึ่งครั้งนั้นผืนดินมีแต่ความโล่งเตียน ปราศจากไม้ยืนต้น [8] แต่ปัจจุบัน รัฐบาลและชุมชนต้องพยายามอย่างหนักที่จะฟื้นคืน (reforestation) สภาพป่าไม้ดั้งเดิมในแถบโพลีนีเซียน ด้วยการปลูกไม้เนื้อแข็ง (ironwood) ที่ทนต่อสภาพความเค็ม ทนกระแสลมแรง แทนการทำสวนป่ายูคาลิปตัส เพื่อให้ไม้ใหญ่ได้ปกคลุมดิน รักษาความชุ่มชื้น และความอุดมสมบูรณ์ของหน้าดิน...อีสเตอร์วันนี้อาจยังไม่ล่มสลาย แต่จำเป็นต้องใช้เวลา และสร้างความเข้าใจต่อชุมชนท้องถิ่น

จาเร็ด ไดมอนด์ (Jared Diamond) [6] ผู้เขียนหนังสือ “collapse” กล่าวว่า อารยธรรมบนเกาะนั้นล่มสลายไปแล้ว แต่รูปสลักหินโมไอ และฐานหินก็ยังพบเห็นได้จนทุกวันนี้ กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดความสนใจผู้คนทั่วโลกมาเที่ยวชม แต่ละเลยการเรียนรู้ความผิดพลาดเบื้องหลังการสร้างโมไอ...เรื่องของชาวราปานุย เป็นบทเรียนสำหรับชนพื้นเมือง ผู้คนบนเกาะอื่นๆ รวมถึงผู้คนบนแผ่นดินใหญ่ ต่อการสูญไปของผืนป่าอย่างแจ่มชัด ไดมอนด์เปรียบเทียบให้เห็นว่า ชาวเกาะอีสเตอร์ที่มีเพียงเครืองมือยุคหิน อาศัยแค่แรงกายเพียงไม่กี่พันคน ยังสามารถทำลายสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือสรุปง่ายๆ คือ พังบ้านของตนเอง แล้วผู้คนหลายพันล้านคนในทุกวันนี้ ซึ่งมีเทคโนโลยี และจักรกลอันทันสมัย จะไม่ทำอะไรร้ายแรงมากไปยิ่งกว่าเดิมหรือ?...

ราปานุย ดินแดนโพ้นทะเลซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเราหลายพัน หลายหมื่นไมล์ แต่ดูเหมือนหายนะที่ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นที่นั่น กำลังคืบใกล้เราเข้ามาทุกที

[1] SEE Turtles. (n.d). Sea Turtle Species.

[2] สุพจน์ จันทราภรณ์ศิลป์. (ม.ป.ป). เต่าทะเลไทย: ชนิด ชีววิทยา การศึกษาและการอนุรักษ์. ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง.

[3] Sanook guru. (26 พฤศจิกายน 2556). ทำไมเต่าถึงมีอายุยืน.

[4] John Raphael. (June 23, 2017). Rising Temperatures Could Drive Sea Turtles to Extinction. Nature World News.

[5] Laloë, J., Cozen, J., Renom, B., Taxonera, A., and Hays, G. (June 16, 2017). Climate change and temperature‐linked hatchling mortality at a globally important sea turtle nesting site. Global Change Biology. Wiley online library.

[6] Delyth Purchase. (June 19, 2017). Warming temperatures threaten sea turtles. Swansea University. 

[7] Turtle Foundation. (n.d). Rampant poaching of nesting females threatens the world’s third largest nesting population of loggerhead turtles with extinction.     Project Cape Verde.