รหัสหลักสูตร nk2-course03
เรื่อง การวิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การวิจัยในชั้นเรียน
ยินดีต้อนรับสู่ บทเรียนออนไลน์ เรื่อง วิจัยในชั้นเรียน ขอขอบพระคุณที่ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเราครับ
ทำไมครูต้องทำวิจัย
การวิจัยเป็นเครื่องมือ เป็นกระบวนการที่ทุกงานในทุกสาขาอาชีพใช้ในการหาความรู้ หรือข้อค้นพบในการแก้ปัญหา หรือพัฒนางานได้อย่างเป็นระบบน่าเชื่อถืองานของครูนับเป็นวิชาชีพชั้นสูงที่ต้องการความเชื่อถือได้ในผลงาน ซึ่งถ้าครูใช้การวิจัยในการพัฒนาหรือแก้ปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียนจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นได้ในการทำงานของครูและเป็นการประกันคุณภาพลักษณะหนึ่ง
การวิจัยแบบง่าย: บันใดสู่ครูนักวิจัย
ความเป็นมา
หัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 คือ การปฏิรูป การเรียนรู้และผู้มีบทบาทสำคัญที่สุด ที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนให้การปฏิรูปการศึกษาประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ “ครู” หน้าที่โดยตรงของครู คือการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพของแต่ละคน ดังนั้น ครูจะต้องใช้ความพยายามอยู่ตลอดเวลากับการค้นหาวิธีการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุด ด้วยวิธีการที่เหมาะสมกับความสามารถของตนเองซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า การวิจัยเป็นกระบวนการค้นหาความรู้และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบเชื่อถือได้ ดังนั้น ถ้าครูได้นำหลักการสำคัญการวิจัยมาใช้ในการค้นหาวิธีการจัดการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับผู้เรียนจะช่วยหาคำตอบหรือตอบคำถามที่ต้องการได้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหายแม่บทด้านการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย ได้กล่าวถึงครูผู้สอนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา24(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียนและอำนวย ความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ
มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพรวมทั้งการส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา
จากเหตุผลดังกล่าว ทำให้เห็นว่า พ.ร.บ. การศึกษาฉบับนี้ให้ความสำคัญในการกระบวนการวิจัยมาใช้เป็น แนวทางในการพัฒนาวิธีการจัดการเรียนรู้ของครูด้วยตนเองซึ่งการวิจัยเป็นกระบวนการที่ต้องมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การปฏิบัติจริงของครูมิใช่แยกส่วนจากการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น การวิจัยและพัฒนา การเรียนการสอนจึงเกิดขึ้นพร้อมกันในการปฏิบัติงานการเรียนการสอนตามปกติของครู
การวิจัยในชั้นเรียนแบบง่าย
การวิจัยในชั้นเรียน เป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบของปัญหาที่เกิดขึ้น จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือการจัดการเรียนรู้หรือเป็นข้อค้นพบที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนรู้
การวิจัยในชั้นเรียน กับ การเรียนการสอนถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน กล่าวคือ ครู สามารถทำการวิจัยไปพร้อมกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยปกติได้ตลอดเวลา โดยยึดหลักว่า การสอนนำและการวิจัยตาม ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้สถิติชั้นสูง เหมือนกับการวิจัยทางการศึกษาโดยทั่วไปก็ได้ เช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและการแจกแจงความถี่ เป็นต้น
การวิจัยในชั้นเรียนหรือข้อค้นพบในชั้นเรียน
เป็นวิธีการหนึ่งที่ครูผู้สอนนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้ การวิจัยครูทุกคนจะต้องทำในโรงเรียนจนเกิดวงจร PDCA คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นวิธีการที่ซับซ้อนมาก ใช้สถิติสูงและผู้วิจัยต้องมีความรู้สูงๆ จบปริญญาโทหรือปริญญาเอกมาจึงจะทำได้ ในทางปฏิบัติครูผู้สอนทุกคนสามารถวิจัยระดับชั้นเรียนได้ถ้าได้ศึกษาวิธีการเพิ่มเติมจากเอกสารหรือผู้ปฏิบัติจริง ซึ่งการวิจัยในชั้นเรียน ครูผู้สอนจะต้องทำควบคู่กันไประหว่างการสอนกับการวิจัย หากเก่งสอนแต่ขาดการวิจัย หรือเก่งวิจัยแต่ขาดการจัดการเรียนการสอนไม่ดี ก็เป็นครูนักวิจัยไม่ได้ การจัดการเรียนการสอนครูที่ประสบผลสำเร็จมักจะทำการวิจัยในชั้นเรียนควบคู่ไปกับการจัดการเรียนการสอนหรือเรียกว่า “ครูนักวิจัย”
ความหมาย เป็นการค้นคว้าหาคำตอบอย่างเป็นระบบมีแบบแผน มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนอาศัยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์จนเป็นนักวิจัยแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ
ลักษณะที่ 1 นักวิจัยทางการศึกษา เป็นการวิจัยที่ละเอียด 5 บท ที่ใช้ศึกษาในระดับปริญญาเอก ปริญญาโทมีการจัดอบรมกันทั่วไป 4 วัน 5 วัน และเมื่ออบรมแล้วไม่มีคนวิจัยไจได้ บ่นปวดหัวไปตามๆ กันเพราะต้องใช้สถิติระดับสูงในที่สุดครูที่สอนในโรงเรียนก็ไม่ประสบผลสำเร็จในการวิจัยในชั้นเรียนได้เลย
ลักษณะที่ 2 ครูนักวิจัย เป็นการวิจัยที่ทำควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 จะต้องสอนและวิจัยไปด้วย แต่การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยที่ครูผู้สอนศึกษาค้นคว้าเพื่อ แก้ปัญหาการเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนที่ตนเองรับผิดชอบ ควรมีลักษณะดังนี้
ครูคนเดียวแก้ปัญหา
ครูหลายคนร่วมกันแก้ปัญหา
ครูทั้งโรงเรียนร่วมกันแก้ปัญหา
ขั้นตอนการวิจัยในชั้นเรียนครูแบบง่ายสำหรับครู
เมื่อพบปัญหาหรือเมื่อมีจดหมายเพื่อจะพัฒนาผู้เรียน ควรดำเนินการดังนี้
กำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจน
ออกแบบการสอน
ปฏิบัติการสอน
บันทึกผลการสอน
รายงานผลการสอน
การรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนแบบง่าย
การรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนแบบง่ายไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรูปแบบ เช่นเดียวกันกับการ รายงานผลการวิจัยทางการศึกษาโดยทั่วไป ซึ่งต้องมีการนำเสนอ 5 บท แต่การรายงานผลการวิจัยในชั้นเรียนควรนำเสนอข้อมูลตามสิ่งที่เป็นจริงพร้อมกับมีร่องรอยหลักฐานที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สามารถนำเสนอผลการวิจัยในชั้นเรียนแบบหน้าเดียวหรือแบบ 3-10 หน้าก็ได้ โดยมีส่วนประกอบที่สำคัญในการนำเสนอ ได้แก่
ที่มาและปัญหา
วัตถุประสงค์
วิธีการศึกษา (การออกแบบการสอน)
ผลการศึกษา (ผลการสอน)
อภิปรายผล
ข้อเสนอแนะ
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน
การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียนแบบง่านั้น อาจเลือกเขียนได้ 3 รูปแบบ คือ
รูปแบบที่หนึ่งเป็นแบบลูกทุ่ง เน้นรางานการวิจัย ไม่เน้นวิชาการหรือไม่เป็นทางการโดยเขียนใน 3 ส่วนคือ ปัญหาคืออะไร แก้ไขอย่างไรและผลการแก้ไขเป็นอย่างไร
รูปแบบที่สองเป็นแบบลูกกรุง เป็นรายงานการวิจัยกึ่งวิชาการ โดยเขียนสาระสำคัญตามหัวข้อ ต่อไปนี้ คือ ชื่อเรื่องความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ของการศึกษาตัวแปรที่ศึกษา ประโยชน์ที่คิดว่าจะได้รับวิธีดำเนินการ วิจัยและผลการวิจัยซึ่งอาจมีประเด็นการสะท้อน ความคิดของครูนักวิจัยต่อผลการวิจัยหรือผลการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาการเรียนรู้้เพิ่มเติมอีกก็ได้
รูปแบบที่สามเป็นแบบสากล เน้นรายงานการวิจัยเชิงวิชาการ (Academic report) ที่มีรูปแบบลักษณะเฉพาะกำหนดไว้แล้วที่สามารถศึกษาเรียนรู้ดูตัวอย่างได้เอง
การพัฒนาผู้เรียนเป็นระบบด้วยกระบวนการวิจัย แท้จริงก็คือ การจัดลำดับขั้นตอนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากการกำหนดปัญหาหรือจุดประสงค์ให้ชัดแจ้งออกแบบแผนการสอน ปฏิบัติการสอน การประเมินผลตามสภาพจริง การบันทึกผลการสรุปรายงานอย่างเป็นระบบซึ่งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเสมือนหนึ่งเป็นเกลียวเชือกเส้นเดียวกัน โดยครูควรปฏิบัติให้เป็นวิถีชีวิตประจำวันตามปกติ เพื่อพัฒนาผู้เรียนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น ตลอดจนส่งผลให้ครูกลายเป็นครูมืออาชีพอย่างแท้จริงตลอดไป
สรุปแนวคิด…สู่การวิจัยแบบง่าย
การทำวิจัยในชั้นเรียน ทำได้ 2 วิธี
ปัญหาการเรียนการสอน การแก้ ใช้นวัตกรรมสื่อต่างๆ
ปัญหาด้านพฤติกรรม (Case) การแก้ ใช้กิจกรรม
ลักษณะการทำวิจัยแบบง่าย มี 3 ลักษณะ
ครูคนเดียวแก้ปัญหา เป็นปัญหาที่ครูพบในห้องเรียนที่ตนเองรับผิดชอบ
ครูตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไปร่วมกันแก้ปัญหา เป็นปัญหาที่ต้องให้ครูอื่นช่วยเหลือ
ครูทั้งโรงเรียนร่วมกันแก้ปัญหา เป็นปัญหาที่ครูทุกคนในโรงเรียนเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหา
การวิจัยในชั้นเรียนทำได้ 3 แบบ
แบบลูกทุ่ง เขียนรายงานสั้นๆ คือ ปัญหา วิธีแก้ไข ผลการแก้ไขแล้วแต่รูปแบบของครูแต่ละคนไม่ต้องแนบหลักฐานเก็บไว้ที่ห้องเรียนวิธีการแก้ปัญหาเป็นกลวิธีของแต่ละคนไม่ต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ
แบบลูกทุ่ง เขียนรายงานในประเด็นหลัก ประมาณ 3-10 หน้าอาจแนบเอกสารประกอบหรือเก็บไว้ที่ห้องเรียน
แบบสากล เป็นการเขียนรายงานแบบ 5 บท เชื่อถือ ตรวจสอบเป็นสากลได้
การเขียนรายงานวิจัยแบบง่าย น่าจะประกอบด้วย
ปัญหาที่เกิดขึ้น
หานวัตกรรมมาแก้
วัดผลจากนวัตกรรม
เขียนรายงาน
ดังนั้น การทำวิจัยในชั้นเรียน ตาม พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 24(5) และมาตรา 30 ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เราไปยึดติดกับวิจัย 5 บท ที่เรียนในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ที่ใครๆ เขาว่ายากแต่เปล่าเลยง่ายจริงๆ ขอให้ลงมือทำท่านทำ วิจัยมากมาแล้วแต่ท่านยังไม่รู้จักตนเองว่าได้ทำเนื่องจากกลัวผิด
ความสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยในชั้นเรียนมีความสำคัญต่อวงการวิชาชีพครูเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากครูจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตร วิธีการเรียนการสอน การจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน การพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียน การเพิ่มสัมฤทธิผลการเรียน และการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทดั้งเดิมของครูที่มีความเชี่ยวชาญ
และสนใจเรื่องการสอนโดยเน้นเนื้อหาสาระของบทเรียน จึงทุ่มเทการศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูล ทฤษฎี ที่เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร มากกว่าการศึกษาวิธีการพัฒนาหรือปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียน ผลงานของอาจารย์ส่วนใหญ่จึงเป็นผลงานหนังสือ ตำรา บทความหรือเอกสารทางวิชาการมากกว่าผลงานวิจัย
ปัจจุบัน การวิจัยมีบทบาทเพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวทางการศึกษา ที่เปิดระดับการศึกษาถึงขั้นปริญญาโทและปริญญาเอกในประเทศไทย ทำให้มีการเรียนการสอนระเบียบวิธีวิจัย ตลอดจนการกำหนดให้ทำวิทยานิพนธ์ในระดับบัณฑิตศึกษา จึงมีผู้รู้วิธีการทำวิจัยเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ หรือ การเลื่อนระดับของผู้อยู่ในสายวิชาชีพทางการศึกษา มีข้อกำหนดให้ส่งผลงานวิชาการและงานวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณา ผู้ที่อยู่ในแวดวงการศึกษาจึงต้องหันมาสนใจเรื่องของการวิจัยเพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่กฎหมายได้กำหนดให้มีการส่งเสริมการวิจัยในมาตรา 24 ดังนี้
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้
….(5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อมสื่อการเรียน และอำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งความสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอน และแหล่งวิทยาการต่างๆด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้ครูอาจารย์ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้สอนมาเป็นผู้วิจัยเพื่อมีส่วนร่วมในการพัฒนาการสอน การเรียนรู้ของผู้เรียน และการพัฒนาวิชาชีพครูเพิ่มขึ้น
ความหมายของการวิจัยในชั้นเรียน
การวิจัยในชั้นเรียน หมายถึงการวิจัยที่ทำในบริบทของชั้นเรียน และมุ่งนำผลการวิจัยมาใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนของตน เป็นการนำกระบวนการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาครูให้ไปสู่ความเป็นเลิศ และมีอิสระทางวิชาการ (ทิศนา แขมมณี 2540: 5)
การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความรู้อันเป็นความจริงที่เชื่อถือได้ ในเนื้อหาเกี่ยวกับการพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนในบริบทของชั้นเรียน (สุวัฒนา สุวรรณเขตนิคม 2540: 3)
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน เป็นการศึกษาค้นคว้าของครู ซึ่งจัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติงานในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหา (Problem Solving) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือพฤติกรรมนักเรียนและคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน (ประวิต เอราวรรณ์ 2542: 3)
การวิจัยในชั้นเรียน คือการวิจัยที่ทำโดยครูผู้สอนในห้องเรียน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและนำผลมาใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน เป็นการวิจัยที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว นำผลไปใช้ทันทีและสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของตนเอง ให้ทั้งตนเองและกลุ่มเพื่อนร่วมงาน (สุวิมล ว่องวานิช 2543: 163)
การวิจัยในชั้นเรียน คือกระบวนการแสวงหาความจริงด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ในเนื้อหาที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและพัฒนาความสามารถของผู้เรียนอย่างเป็นระบบ (ประกอบ มณีโรจน์ 2544: 4)
จากที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยที่ครูทำเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนของผู้เรียนบางคน บางกลุ่ม หรือทั้งหมด ซึ่งผลการวิจัยสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงการเรียน การสอน และพฤติกรรมของผู้เรียน โดยมีกระบวนการวางแผน ปฏิบัติตามแผน สังเกตผลที่เกิดขึ้น และการสะท้อนความคิด
ลักษณะสำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน
ลักษณะของการวิจัยในชั้นเรียนมีจุดเด่นที่แตกต่างจากการวิจัยอื่นๆ ดังนี้
1. ครูเป็นผู้วิจัยเอง เพื่อเพิ่มพูนความรู้ให้แก่วงการวิชาชีพครู
2. ผลการวิจัยสามารถแก้ปัญหาผู้เรียนได้ทันเวลา และตรงจุด
3. การวิจัยช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างทฤษฏีและการปฏิบัติ
4. การเพิ่มศักยภาพการคิดสะท้อน(Reflective Thinking) ของครูต่อปัญหาที่เกิดในห้องเรียน
5. การเพิ่มพลังความเป็นครูในวงการการศึกษา
6. การเปิดโอกาสให้ครูก้าวหน้าทางวิชาการ
7. การพัฒนา และทดสอบการแก้ปัญหาในชั้นเรียน
8. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงความคิดเรื่องการเรียนการสอน และทางแก้ปัญหา
9. การนำเสนอข้อค้นพบและการรับฟังข้อเสนอแนะจากกลุ่มครู
10. การวิจัยและพัฒนาเป็นวงจร (Cycle) เพื่อทำให้ข้อค้นพบสมบูรณ์ขึ้น
โดยที่จุดมุ่งหมายของการวิจัยเป็นการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนั้นการเขียนรายงานการวิจัยจึงขึ้นอยู่กับผู้วิจัยว่าจะนำผลวิจัยไปทำอะไร แต่ลักษณะของการวิจัยต้องสอดคล้องตามที่ได้กล่าวแล้ว
การดำเนินการวิจัย
ผู้ที่ไม่เคยชินกับการวิจัยมักจะมองการวิจัยเป็นสิ่งที่ยาก ต้องใช้เวลาในการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง การออกแบบวิจัย การสร้างเครื่องมือสำหรับการวิจัย การใช้สถิติในการวิเคราะห์ การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังนั้นเพื่อให้การวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นจึงขอเสนอแนะแนวทางที่เริ่มจาก
การฝึกวิจัยไปจนถึงการวิจัยที่มีลำดับขั้นตอนยุ่งยากขึ้น โดยพิจารณาวัตถุประสงค์และผลวิจัยที่จะนำไปใช้
การเริ่มต้นการวิจัย
สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การวิจัยในชั้นเรียนมาก่อนจะเริ่มการวิจัยได้โดยการย้อนนึกถึงประสบการณ์ หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ในชั้นเรียนหรือในสถานศึกษา และกำหนดขอบเขตของการวิจัยหรือปรับปรุงก่อนตามความสนใจที่อยากจะค้นคว้าหาคำตอบในเรื่องนั้น
1. กำหนดหัวข้อของการวิจัย
หัวข้อการวิจัยในชั้นเรียนเป็นเรื่องของการปรับปรุง พัฒนางานในวงการวิชาชีพครู เช่นการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นที่ครูอยากได้คำตอบว่า การจัดหลักสูตรอย่างไรจึงสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นควรมีรูปแบบการเรียนการสอนใดที่จูงใจให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียน จะมีวิธีการพัฒนาพฤติกรรมผู้เรียนให้ใฝ่รู้ใฝ่เรียนได้อย่างไร มีวิธีการเพิ่มสัมฤทธิผลการเรียนของ ผู้เรียนได้อย่างไร และการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ แบบใดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพขอบเขตหัวข้อที่สนใจแบ่งเป็นด้านต่างๆ ดังนี้
1.1 ด้านผู้เรียน ขอบเขตที่ค้นคว้าวิจัย เกี่ยวกับผู้เรียนแยกเป็นด้านย่อยๆ อีกได้คือ
1) เรื่องการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนอาจเป็นประเด็นที่ผู้วิจัยอยากได้คำตอบว่าทำไมนักเรียน คนนี้หรือกลุ่มนี้จึงมี สัมฤทธิ์ผลทางการเรียนสูง มีปัจจัยอะไรบ้างที่เสริมความสามารถในการเรียนของผู้เรียนในทางตรงกันข้ามอาจารย์อาจเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมผู้เรียนคนนี้หรือกลุ่ม นี้จึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ต่ำวิชาเดียวที่อาจารย์สอนหรือต่ำทุกวิชา มีปัจจัยใดที่ทำให้ผู้เรียน มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนต่ำทำไมผู้เรียนจึงไม่ตั้งใจเรียน ไม่ยอมทำแบบฝึกหัด ไม่ยอมส่งงาน มีปัญหาอะไร ผู้เรียนต้องการอะไร ทำไมจึงไม่ยอมพูดในชั้นเรียน หรือไม่ยอมทำงานกลุ่มกับเพื่อน
2) เรื่องพฤติกรรมผู้เรียน อาจารย์อาจสนใจแก้ปัญหาพฤติกรรมผู้เรียนที่ชอบแกล้งเพื่อน เกเรชอบทะเลาะวิวาท ชกต่อยกับเพื่อน พฤติกรรมที่เป็น ปฏิปักษ์กับอาจารย์ การเข้าชั้นเรียนสายการปฏิเสธการเรียน การหนีเรียน การติดเกมส์ การไม่เข้าห้องเรียนการแอบหนีไปสูบบุหรี่ ในห้องน้ำการประพฤติผิดระเบียบของโรงเรียน การพูดจาก้าวร้าว การไม่ช่วยเหลืองานของโรงเรียน
1.2 ด้านวิธีการสอน ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสอน อาจารย์อาจจะสนใจว่าการสอนแบบใดที่ผู้เรียนพึงพอใจการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญทำให้ผู้เรียนพัฒนาด้านใดบ้าง ครูส่วนใหญ่ใช้วิธีการสอนแบบใด การสอนแบบใดที่ผู้เรียนอยากเรียนและเรียนได้ผลดีที่สุด การสอนที่ให้แบบฝึกเป็นรายบุคคลกับแบบฝึกเป็นกลุ่ม จะทำให้ผู้เรียน เรียนรู้แตกต่างกัน หรือไม่การใช้สื่อแบบใดจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดียิ่งขึ้น ทำอย่างไรผู้เรียนจะมีความสุขในการเรียน การเปรียบเทียบการสอน แบบการให้อิสระในการเลือกหัวข้อการเรียนตามลำดับก่อนหลังตามความสนใจของผู้เรียนกับการสอนปกติ หรือผลการสอนแบบต่างๆ ที่ครูทดลองใช้
1.3 ด้านผู้สอน อาจารย์อาจสนใจว่าผู้เรียนต้องการการสอนที่มีคุณลักษณะอย่างไร ผู้เรียนต้องการให้ผู้สอนปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างไร พฤติกรรมแบบใดของอาจารย์ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างดีที่สุด อาจารย์ผู้สอนดีเด่นต้องมีพฤติกรรมอย่างไร ผู้เรียนชอบให้ผู้สอน ปฏิบัติต่อผู้เรียนอย่างไรผู้เรียนต้องการให้ผู้สอนดูแลอย่างไรนอกชั้นเรียน
1.4 ด้านแหล่งเรียนรู้ วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการต่างๆ สำหรับด้านนี้ อาจารย์ควรมีคำถามปัญหา หรือข้อที่อาจารย์อยากทราบว่าแหล่งเรียนรู้ประเภทใด กระตุ้นความสนใจของผู้เรียน การใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการสอนแบบใด จึงทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างดี การจัดกิจกรรมหรือโครงการ มีผลต่อสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนของผู้เรียนหรือไม่ การจัดตารางเรียนช่วงเช้าและบ่ายมีผลต่อพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือไม่ การศึกษายัง แหล่งเรียนรู้มีปัญหาอุปสรรค และได้ผลดีต่อการเรียนอย่างไร เมื่ออาจารย์สำรวจความสนใจของตนเองได้แล้วว่าอยู่ในขอบเขตใด ก็ลองพิจารณา ลึกลงไปแต่ละด้านว่ามีข้อมูลมีความรู้ และมีความสนใจจริงหรือไม่ เลือกเรื่องที่สนใจ อยากได้คำตอบหรือแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง อาจารย์ต้องแน่ใจ 2 ประการ คือ
1. หาเหตุผลที่จะทำ คือ เป็นปัญหาที่สำคัญ จำเป็นต้องได้คำตอบ มีเวลาที่จะทำ ผลจะเป็นประโยชน์ต่อลูกศิษย์ และวงการวิชาชีพครู
2. ความชัดเจนของหัวข้อ อาจารย์ต้องพิจารณาว่าหัวข้อกว้างไป หรือแคบไป พอที่จะศึกษาได้ในกำหนดเวลาของท่าน
2. การฝึกสังเกตและบันทึก
ผู้เริ่มวิจัย ต้องฝึกฝนการสังเกต และการจดบันทึกโดยเริ่มจากเหตุการณ์ประจำวันในชั้นเรียนผู้วิจัยฝึกการจดง่ายๆทุกวันหลักจากเลิกการสอน
ตัวอย่าง วันนี้สังเกตเห็นนายพันพร นั่งหลับในชั้นเรียน ครูได้เดินไปปลุก เพื่อนๆ ในชั้นเรียนหัวเราะชอบใจครูไม่ได้ดุนักเรียนที่หัวเราะ และไม่ได้ดุ พันพรที่หลับอยู่การสะท้อนความคิดของครูในวันนี้ ครูน่าจะให้พันพรมาพบตอนเลิกเรียนแล้ว เพื่อคุยกันถึงสาเหตุการหลับในชั้นเรียน อีกประการหนึ่ง ครูน่าจะหาหนังสือมาอ่านที่เกี่ยวกับเรื่องเด็กหลับในห้องเรียน หรือคุยกับอาจารย์ท่านใดดี ต้องไปถามเพื่อนอาจารย์ทำไม เมื่อครูเดินไปปลุกพันพร เพื่อนๆ ในชั้นเรียนหัวเราะ ครูน่าจะดุนักเรียนที่หัวเราะหรือเปล่าว่าเป็นมารยาทที่ไม่ดี แต่ครูไม่ได้สอนผู้เรียน เมื่อสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นครูควรฝึกการสังเกต และจดบันทึกสิ่งที่สังเกตได้ทุกวัน เพื่อให้เคยชินกับการมองสถานการณ์หรือผู้เรียน อย่างวิเคราะห์ทุกครั้งที่จดเหตุการณ์ ต้องพยายามคิดสะท้อน เพื่อหาเหตุผล หรือวิธีการตลอดจนทฤษฏีทางการศึกษา
3. วางแผนการทำวิจัย
หลักจากการฝึกสังเกต จดบันทึกข้อมูลได้ระยะหนึ่งผู้วิจัยจะค่อยๆ เคยชินกับการวิเคราะห์ และการเขียนจนแน่ใจว่าอาจารย์สนใจจริงในเรื่องที่อาจารย์มักจะสังเกตและจดบันทึกเรื่องได้มากว่าเรื่องอื่นอาจารย์คงคิดว่าสิ่งที่อาจารย์จะทำนั้นเป็นแนวคิดใหม่ที่ตอบคำถามของอาจารย์หรือเปล่า และจะพัฒนาไปอย่างไรการศึกษาของอาจารย์จะเป็นที่จุดใด มีขอบเขตเพียงใด และใช้เวลาในการศึกษาเท่าใด
ตัวอย่างแผนการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียนอย่างง่ายๆ เริ่มต้นดังนี้
1. เดือนแรก ซึ่งอาจจะเริ่มเดือนพฤษภาคม ในภาคเรียนที่ 1 หรือเดือนพฤศจิกายน ในภาคเรียนที่ 2 เริ่มสำรวจข้อมูลทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับนักเรียน ทะเบียน ระเบียนสะสม ลักษณะของผู้เรียน
คะแนนเฉลี่ยที่ผ่านมา ตารางเรียน ห้องเรียน ป้ายประกาศ สิ่งแวดล้อมรอบห้องเรียน ลักษณะการเรียน
การสอนของอาจารย์ พฤติกรรมของผู้เรียน อาจารย์ใช้การสำรวจนี้เป็นการกำหนดความสนใจของ
อาจารย์ และยืนยันความคิดของอาจารย์
2. เดือนที่ 2 หลังจากสำรวจสภาพหรือปัญหาในชั้นเรียนของอาจารย์แล้ว ให้จับประเด็นที่
อาจารย์คิดว่าสำคัญที่สุดเขียนอธิบายในเรื่องนั้นว่าเป็นปัญหาอย่างไร น่าสนใจเพียงใด มีประโยชน์ใน
การวิจัยเพียงใด มีข้อมูลเพียงพอหรือไม่จะใช้เวลาศึกษาในเรื่องนั้นมากน้อยเพียงใด
3. เดือนที่ 3 ตั้งคำถามที่ต้องการอยากรู้มากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่า อยากศึกษาจริงๆ จะมีข้อมูล
อยู่ที่ใดบ้าง นักเรียนเป็นผู้ให้ข้อมูลและมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้อย่างไร จะทำอะไรกับข้อมูลที่ได้
4. เดือนที่ 4 พิจารณาว่าเมื่อศึกษาเบื้องต้นเรียนรู้อะไรบ้าง ทบทวนประเด็นที่สังเกตไว้ใน 3
เดือนที่ผ่านมา จะศึกษาทฤษฏีทางการศึกษาเพิ่มเติมเพียงใด จะปรึกษาใคร แน่ใจว่าทำเรื่องนั้นจริง
5. เดือนที่ 5 กำหนดแผนการทำวิจัยให้ชัดเจน เช่น จะต้องทำแบบเรียนใหม่หรือไม่ ใช้เวลาทำ
นานเท่าใด จะเริ่มทดลองเมื่อใด เวลาที่ทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ เช่นการเก็บข้อมูลใกล้สอบปลายภาค
อาจไม่สะดวกหรือการทดลองสอนโดยวิธีการใด หากใช้เพียงครั้งเดียวอาจจะสรุปไม่ได้ ควรจะใช้การ
สังเกตด้วยตนเองหรือให้ใครสังเกต แผนควรกำหนดให้ชัดเจน
6. เดือนที่ 6 เลือกช่วงเวลาที่วิจัยอย่างเหมาะสมเช่น ควรเลือกการสังเกต หลังจากเปิดภาค
การศึกษาได้ประมาณ 1 เดือน ที่ผู้เรียนต้องไม่มีการสอบหรือไม่มีกิจกรรมเสริมหลักสูตร กีฬาสี ที่ทำ
ให้การสังเกตหรือการทดลองบทเรียนในชั้นเรียนไม่สามารถทำได้
7. เดือนที่ 7 เขียนข้อค้นพบที่ได้ และเขียนสะท้อนความคิด ที่ได้จากข้อค้นพบการเขียนให้
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าจะนำข้อเขียนไปทำอะไร กรณีที่นำข้อเขียนนำเสนอในวงวิชาชีพครูอาจนำเสนอ
ในรูปของบทความที่มีหัวข้อ มีวัตถุประสงค์วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อค้นพบ ความคิดสะท้อนจากข้อ
ค้นพบ และข้อเสนอแนะกรณีที่จะนำส่งเป็นผลงานเพื่อขอเลื่อนระดับ วิธีการเขียนจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของหน่วยงานซึ่งส่วนใหญ่ ใช้รูปแบบของการวิจัยทั่วไป
หมายเหตุ ตัวอย่างระยะเวลาอาจจะเลื่อนได้เหลือเพียง ๓ เดือน ตั้งแต่สำรวจปัญหา จนถึงการ
นำเสนอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับหัวข้อและการออกแบบการวิจัยของผู้นั้น
4. การดำเนินการวิจัย
การดำเนินการวิจัย ผู้วิจัย จะต้องพิจารณาว่าจะเก็บข้อมูลประเภทใด จึงตอบคำถามการวิจัยที่กำหนดไว้ได้แหล่งข้อมูลมาจากไหน จะได้กรอบคำถาม อย่างไรจึงช่วยให้คิดวิเคราะห์ได้ถูกต้องการเก็บข้อมูลได้แล้ว ท่านเรียนรู้อะไรใหม่จากข้อมูลที่ได้ ผลจากการเรียนรู้ให้ประโยชน์ต่อผู้เรียน ของท่านหรือสำหรับวงการวิชาชีพครูอย่างไรท่านมีหลักทางการศึกษาในการวิเคราะห์ข้อมูลท่านวิจัยได้หรือไม่ สิ่งท่านพบเป็นการปิดช่องว่าง ระหว่างทฤษฏี และการปฏิบัติหรือเปล่า
การกำหนดหัวข้อการวิจัยชั้นเรียน
แนวคิด หลักการหรือทฤษฎี
ปัญหาที่นำมาเป็นหัวข้อการวิจัยควรอยู่ในความสนใจของผู้วิจัย เหมาะสมกับงานและความสามารถในการทำเครื่องมือ การเก็บข้อมูล กำลังเงิน ระยะเวลาและผลที่จะได้รับ การตั้งชื่อหัวข้อวิจัยควรกะทัดรัด ให้มองเห็นลักษณะ ของตัวแปรที่จะศึกษาอย่างชัดเจน จะต้องครอบคลุมลักษณะของสิ่งที่จะศึกษาเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา การเรียนการสอนในชั้นเรียนได้
หัวข้อการวิจัยถ้าอยู่ในกรอบของความมุ่งหมายของการศึกษา ค้นคว้า ขอบเขตของการวิจัย และคำจำกัดความของปัญหา จะทำให้หัวข้อของการวิจัยมีความเหมาะสม ตลอดจนสามารถตอบคำถามหลัก และคำถามรองที่เราต้องการทราบได้เป็นอย่างดี
ชื่อเรื่องการวิจัยต้องตรงกับปัญหาการวิจัย มีความชัดเจนทางด้านภาษา ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าจะทำอะไร โดยไม่ต้องตีความอีก ชื่อเรื่องที่ดีควรระบุว่าจะทำอะไร (ตัวแปร) กับใคร (กลุ่มตัวอย่าง) ที่ไหน (สถานที่) อย่างไร (วิธีดำเนินการ) เมื่อไร (เวลา) แต่ชื่อเรื่องการวิจัยต้องไม่ยาวเกินไป ชื่อเรื่องควรขึ้นต้นด้วยคำนาม และชื่อเรื่องควรระบุประเภทการวิจัยหรือจุดมุ่งหมายการวิจัย
การตั้งชื่อเรื่องในการวิจัยควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
1. ตัวแปรที่จะศึกษา หรือตัวแปรตามที่สนใจในการวิจัย เช่น ความพึงพอใจ บทบาท ปัญหา การรับรู้ เป็นต้น
2. ประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษา เช่น นักศึกษาสถาบันราชภัฏลำปาง สมาชิกสภาเทศบาล กรรมการกองทุนหมู่บ้าน นักเรียน
3. วิธีในการวิจัย เช่น การสำรวจ การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ การศึกษา เป็นต้น
4. สถานที่ศึกษา เช่น สถาบันราชภัฏอุดรธานี เทศบาลนครอุดรธานี บานโคกตะเคียน โรงเรียน………….. เป็นต้น
ในการกำหนดชื่อเรื่องโครงการวิจัยไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง 4 ประเด็น อาจจะขาดรายการใดรายการหนึ่งก็ได้ แต่รายการที่ขาดไม่ได้ คือ การระบุตัวแปร
การเขียนชื่อโครงการควรมีลักษณะ ดังนี้
1. การตั้งชื่อเรื่องไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์ อาจเป็นวลี หรือข้อความก็ได้
2. ชื่อควรกะทัดรัด ไม่ยาวหรือสั้นเกินไป
3. ควรมีความเฉพาะเจาะจงในสิ่งที่ศึกษา ไม่กว้าง ไม่แคบเกินไป
4. ควรเร้าความสนใจของผู้อื่น
ตัวอย่างชื่อโครงการวิจัยในชั้นเรียน
สภาพปัญหา : ครูใช้วิธีสอนแบบยึดครูเป็นศูนย์กลางโดยวิธีบรรยาย และอธิบายเป็นส่วนใหญ่
ชื่อโครงการวิจัย : การศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้ชุดการสอนชุดมินิคร์อสกับเรียนโดยการสอนตามคู่มือครูของ สสวท.
สภาพปัญหา : นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนบ้านไร่ชายทุ่งมีจำนวนผู้ติดยาเสพติดมากขึ้น
ชื่อโครงการวิจัย : การศึกษาศึกษาทัศนคติต่อการป้องกันสิ่งเสพติดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนบ้านไร่ชายทุ่ง
สภาพปัญหา : นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคลองใหญ่ อ่านคำที่ใช้อักษร ร ล ว ควบกล้ำผิดมาก
ชื่อโครงการวิจัย : การสร้างแบบฝึกการอ่านคำที่ใช้อักษร ร ล ว ควบกล้ำ สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคลองใหญ่
สภาพปัญหา
1. ระดับตัวป้อน :ไม่มีแบบฝึกทักษะการอ่านคำควบกล้ำ
2. ระดับกระบวนการ : นักเรียนอ่านคำที่ใช้อักษร ร ล ว ควบกล้ำผิดพลาดเสมอ
3. ระดับผลผลิต : ผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
4. ระดับผลกระทบ : นักเรียนอ่านคำควบกล้ำภาษาไทยไม่ถูกต้อง
หัวข้อการวิจัย
การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านคำที่ใช้อักษร ร ล ว สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
เค้าโครงการเขียนวิจัยหน้าเดียว
ตัวอย่าง
“การแก้ปัญหานักเรียนไม่เก็บอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้เป็นระเบียบ”
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การศึกษาวิชา …. เป็นวิชาเลือกเสรี ที่นักเรียนส่วนใหญ่ จะต้องใช้เวลาในการปฏิบัติติดต่อกัน เมื่อหมดเวลาแล้วนักเรียนส่วนใหญ่มักจะไม่เก็บอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน ประกอบกับห้องเรียนเป็นห้องโล่ง เมื่อถึงเวลาเรียนจะต้องเตรียมอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอน เช่น จัดโต๊ะสำหรับทำงานและอุปกรณ์ต่างๆ ในการปฏิบัติงาน ผู้วิจัยมีความคิดเห็นว่านักเรียนที่เรียนวิชา…. ควรจะมีความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมในการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ก่อนที่จะออกจากห้องเรียนไปเมื่อหมดคาบเรียบแล้วจึงได้ดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว
วัตถุประสงค์
เพื่อแก้ปัญหานักเรียนที่ไม่เก็บอุปกรณ์ในการจัดการเรียนการสอนให้เป็นระเบียบ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
อุปกรณ์ ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้รับการจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
นักเรียนมีความรับผิดชอบและมีระเบียบมากขึ้น
ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียนในรุ่นต่อไป
วิธีดำเนินการวิจัย
กลุ่มประชากรเป้าหมายคือ นักเรียนชั้น…. ที่เลือกเรียนวิชาเลือกเสรี…. จำนวน 17 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามปลายเปิด
การเก็บรวบรวมข้อมูล จากแบบสอบถามนักเรียน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่… มกราคม ถึง …. กุมภาพันธ์
การวิเคราะห์ข้อมูล จากค่าร้อยละ
ผลการวิจัย พบว่า นักเรียน ร้อยละ 70 มีความคิดเห็นว่าการเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อยหลังจากหมดคาบเรียนทำให้เสียเวลาในคาบต่อไป ร้อยละ 20 ไม่ต้องการเรียนในห้องเรียนที่ต้องเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่จากเลิกเรียนแล้วและร้อยละ 10 ไม่ได้รับความร่วมมือจากเพื่อนในการช่วยกันเก็บทำให้ไม่อยากทำ หลังจากนั้นผู้วิจัยทดลองแก้ปัญหาโดยปล่อยก่อนเวลา 10 นาที โดยให้นักเรียนร่วมกันรับผิดชอบเป็นกลุ่ม โดยผู้วิจัยเป็นผู้เช็ครายชื่อนักเรียนที่ให้ความร่วมมือ พบว่านักเรียนมีความรับผิดชอบดีขึ้น และให้ความร่วมมือในการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อยดี
ข้อเสนอแนะ ครูผู้สอนภาคปฏิบัติ ซึ่งมีการใช้อุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ควรปล่อยนักเรียนก่อนเวลาเล็กน้อย เพื่อมิให้นักเรียนต้อกังวลในการเรียนคาบต่อไป และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการเก็บอุปกรณ์เข้าที่อย่างเรียบร้อย
- โหลดตัวอย่างผลงานการวิจัยในชั้นเรียน กว่า 100 เรื่องได้ที่นี้ คลิก
***ขอขอบคุณคุณครูเจ้าของผลงานทุกท่านที่เผยแพร่ผลงานเป็นวิทยาทานกับเพื่อนครูครับ***
- การวิจัยในชั้นเรียน โดย มณนิภา ชุติบุตร คลิก
- สรุปองค์ความรู้ วิจัยในชั้นเรียน เริ่มอย่างไร ดร กัญจน์ จันทร์ศรีสุคต คลิก
- การวิจัยในชั้นเรียน รวบรวมโดย วิไลภรณ์ ปั้นทิม คลิก
:ที่มา https://etraining2012.wordpress.com