ชื่อ นายอัคร นามสกุล ศรีเมือง
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
บรรจุตำแหน่ง ครูผู้ช่วย วันที่ 5 พฤษภาคม 2560
ปัจจุบันตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
สถานศึกษา โรงเรียนนางรอง
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์
ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 18 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
รายวิชาสังคมศึกษา (ส33101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาประชากรศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ลูกเสือ-เนตรนารี จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ชุมนุม รู้ทันโลก จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำแผนการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำสื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำสารสนเทศในชั้นเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การมีส่วนรวมในชุมชนการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่งานวัดประเมินผล จำนวน 4 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่งานบุคคล จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่งานเว็บไซต์โรงเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
โครงการ No Child Left Behind จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวัง คือ แก้ไขปัญหา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังที่สูงกว่าได้)
1. สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้รายวิชาสังคมศึกษา (ส31101) ในหัวข้อ "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 พบว่ามีสภาพปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากทั้งในส่วนของการจัดการเรียนรู้ที่ยังคงยึดติดกับรูปแบบดั้งเดิมและข้อจำกัดในทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนเอง
1.1 สภาพปัญหาด้านการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ยังคงเน้นวิธีการบรรยายแบบท่องจำและอิงตามตำราเป็นหลัก ทำให้การเรียนรู้ขาดความเชื่อมโยงกับบริบทที่สำคัญในชีวิตจริง ครูผู้สอนมักจะให้ความสำคัญกับการอธิบายเหตุการณ์และปี พ.ศ. ที่เกิดขึ้นตามลำดับเวลามากเกินไป แต่กลับละเลยการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์และตั้งคำถามที่ท้าทายความคิด เช่น การตั้งคำถามที่ว่า "การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อการทำงานของผู้คนในปัจจุบันอย่างไร?" หรือ "เทคโนโลยีในยุคนั้นแตกต่างจากเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลอย่างไร?" การละเลยการตั้งคำถามเหล่านี้ส่งผลให้ผู้เรียนไม่สามารถสร้างโครงสร้างทางความรู้ด้วยตนเองและไม่เห็นคุณค่าของเนื้อหา การใช้สื่อการสอนยังคงจำกัดอยู่เพียงภาพประกอบในตำราเรียน ขาดการนำเครื่องมือหรือสื่อดิจิทัลที่น่าสนใจและหลากหลายเข้ามาใช้ เช่น วิดีโอสารคดีสั้นๆ แผนที่แบบอินเทอร์แอกทีฟ หรือการจำลองสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สมจริงและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียนได้มากขึ้น
1.2 สภาพปัญหาด้านผู้เรียน
ผู้เรียนส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจในเนื้อหาประวัติศาสตร์เชิงลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหัวข้อ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วยข้อเท็จจริงและตัวเลขที่ซับซ้อน ทำให้ผู้เรียนมองว่าเป็นเพียงเรื่องราวในอดีตที่ห่างไกลตัวและไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตในปัจจุบันและอนาคต ส่งผลให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างไม่กระตือรือร้นและไม่เกิดแรงบันดาลใจ นอกจากนี้ ผู้เรียนยังขาดทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์, การเปรียบเทียบ, และการเชื่อมโยงความรู้ข้ามบริบท ทำให้ไม่สามารถนำความรู้จากหัวข้อนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปรากฏการณ์หลายอย่างมีรากฐานมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นเอง
จากสภาพปัญหาดังกล่าว การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้จึงมุ่งเน้นที่การส่งเสริม การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยเปลี่ยนจากการเป็นผู้รับข้อมูลมาเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและคิดวิเคราะห์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับบริบทปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรม และเปลี่ยนการเรียนรู้เรื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรม ให้เป็นการสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้และสามารถนำไปเป็นรากฐานในการทำความเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้ในที่สุด
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
การดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้บรรลุตามเป้าหมายของประเด็นท้าทายนี้ จะใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
2.1 การวิเคราะห์หลักสูตรและสาระการเรียนรู้
วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนนางรอง ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2563 , เพื่อทำความเข้าใจมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของเนื้อหารายวิชาสังคมศึกษา (ส33101) อย่างลึกซึ้ง
2.2 การออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้
ออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Student-Centered Learning) ซึ่งส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยบูรณาการกิจกรรมที่หลากหลายและเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับบริบทในปัจจุบันของผู้เรียน
2.3 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
จัดตั้งชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ร่วมกับครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อร่วมกันตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาและกิจกรรมในแผนการจัดการเรียนรู้ รวมถึงเครื่องมือวัดและประเมินผล เช่น แบบสังเกตพฤติกรรมและแบบฝึกหัด จากนั้นจึงร่วมกันสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อสะท้อนผลและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับบริบทของห้องเรียนและผู้เรียน
2.4 การปรับปรุงและพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้
นำข้อเสนอแนะที่ได้จากคณะครูในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพมาปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมยิ่งขึ้น ก่อนนำไปใช้จริงในชั้นเรียน
2.5 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรม กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยปรับรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละห้องเรียนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงผ่านการศึกษาสถานการณ์หรือการวิเคราะห์คลิปวิดีโอ เพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างแท้จริง
2.6 การประเมินผลและติดตามผู้เรียน
บันทึกและสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อประเมินความก้าวหน้า และแจ้งผลการเรียนรู้ให้ผู้เรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ทราบ เพื่อให้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะผ่านตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
2.7 การประเมินความพึงพอใจ
สอบถามความพึงพอใจของนักเรียนและผู้ปกครองต่อการจัดการเรียนการสอน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป
3. ผลลัพธ์การพัฒนา
ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้พัฒนาขึ้นนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ด้านหลัก ได้แก่ เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ดังนี้
3.1 เชิงปริมาณ
1) นักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" มีคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไว้
2) นักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากถึงมากที่สุด
3) นักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีผลการปฏิบัติงานหรือชิ้นงานที่แสดงให้เห็นถึงทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับดีขึ้นไป
3.2 เชิงคุณภาพ
1) นักเรียนมีความเข้าใจในเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง และสามารถเชื่อมโยงความรู้เรื่อง การปฏิวัติอุตสาหกรรม เข้ากับปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีในปัจจุบันได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
2) นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ การเปรียบเทียบ และการให้เหตุผลเชิงวิพากษ์ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านการอภิปรายในชั้นเรียนและการสร้างสรรค์ชิ้นงาน
3) นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ โดยมองว่าเนื้อหาประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าเบื่อและห่างไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
4) ครูผู้สอนได้องค์ความรู้ใหม่ จากการเข้าร่วมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้ไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในครั้งต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ผลลัพธ์เหล่านี้จะช่วยยืนยันว่าการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ตามที่ได้วางไว้สามารถแก้ไขปัญหาของผู้เรียนและยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ให้เป็นไปตามเป้าหมายของประเด็นท้าทายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ข้อเสนอแนะและปัญหาสำหรับการกำหนดประเด็นท้าทายในครั้งถัดไป
จากการดำเนินโครงการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมในครั้งนี้ ได้เผยให้เห็นถึงประเด็นที่สามารถนำไปพิจารณาเป็นแนวทางในการกำหนดประเด็นท้าทายในครั้งต่อไป เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้ให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนี้
4.1 การประเมินผลทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ
แม้ว่าผลลัพธ์เชิงคุณภาพจะแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดีขึ้น แต่การวัดผลยังคงเป็นแบบภาพรวม ข้อเสนอแนะคือในครั้งถัดไปควรพัฒนา เครื่องมือวัดและประเมินผลทักษะการคิดวิเคราะห์ ที่มีความเฉพาะเจาะจงและเป็นมาตรฐานมากขึ้น เช่น การใช้ Rubric (เกณฑ์การให้คะแนน) ที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนได้อย่างเป็นรูปธรรมในแต่ละองค์ประกอบของทักษะการคิดวิเคราะห์ เช่น การตั้งคำถาม การให้เหตุผล หรือการประเมินแหล่งข้อมูล
4.2 การบูรณาการเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้
แม้จะมีการกล่าวถึงการใช้สื่อดิจิทัล แต่การนำไปปฏิบัติอาจยังไม่ครอบคลุมและลงลึกพอ ในครั้งถัดไป ควรเน้นการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้น การใช้เทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างทักษะในศตวรรษที่ 21 เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning) การสร้างสื่ออินเตอร์แอ็กทีฟ หรือการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่เกี่ยวข้องกับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมมาให้นักเรียนได้วิเคราะห์จริง เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ทันสมัยและสอดคล้องกับยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
4.3 การขยายผลการพัฒนาไปยังรายวิชาหรือระดับชั้นอื่น
ประเด็นท้าทายในครั้งนี้มุ่งเน้นเฉพาะรายวิชาสังคมศึกษาและระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในอนาคตควรพิจารณาขยายผลการพัฒนาไปยังรายวิชาหรือระดับชั้นอื่นที่มีลักษณะปัญหาใกล้เคียงกัน เช่น การสอนประวัติศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือการบูรณาการวิธีการสอนแบบ Active Learning ไปยังกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์หรือภาษาไทย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมของโรงเรียน