ข้าพเจ้าขอแสดงเจตจำนงในการจัดทำข้อตกลงในการพัฒนางานตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ซึ่งเป็นตำแหน่งและวิทยฐานะที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันกับผู้อำนวยการสถานศึกษา ไว้ดังต่อไปนี้
1.1 ชั่วโมงสอนตามตารางสอน รวมจำนวน 18 ชั่วโมง/สัปดาห์ ดังนี้
รายวิชาวิทยาการคำนวณ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาหลักการเขียนโปรแกรม 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 7 ชั่วโมง/สัปดาห์
รายวิชาโปรแกรมกราฟิก ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผู้บำเพ็ญประโยชน์ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ชุมนุม คอมพิวเตอร์กราฟิก จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำแผนการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำสื่อนวัตกรรมการจัดการเรียนการสอน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การจัดทำสารสนเทศในชั้นเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
การมีส่วนรวมในชุมชนการเรียนรู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 3 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่งานบุคคล จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่งานเว็บไซต์โรงเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.4 งานตอบสนองนโยบายและจุดเน้น จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
กิจกรรมลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
โครงการ No Child Left Behind จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
ประเด็นที่ท้าทายในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนของผู้จัดทำข้อตกลง ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ ต้องแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังของวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ คือ การริเริ่ม พัฒนา การจัดการเรียนรู้และการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือมีการพัฒนามากขึ้น (ทั้งนี้ ประเด็นท้าทายอาจจะแสดงให้เห็นถึงระดับการปฏิบัติที่คาดหวังในวิทยฐานะที่สูงกว่าได้)
สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2562 ที่ได้กำหนดให้การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นประเด็นหนึ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เด็ก เยาวชน และคนไทยทุกคนมีพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจและความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. 2562 : 1) ทั้งนี้การจะส่งเสริมพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ จะต้องอาศัยการวางรากฐานทางการศึกษาที่มีคุณภาพ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะยกระดับการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อให้คนไทยทุกคนมีความรู้ความเข้าใจในและเป็นรากฐานในการดำเนินชีวิต รู้เท่าทันและนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning มีแนวทางเพื่อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและศักยภาพความเป็นสากลซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนทักษะการศึกษา ค้นคว้า เลือกใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม สามารถพัฒนาความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) การสื่อสารและการร่วมมือ (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านสารสนเทศ รู้เท่าทันสื่อ และเทคโนโลยี (Communications, Information, and Media Literacy) ซึ่งทักษะเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 ที่ใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคต และสามารถทำงานท่ามกลางความขาดแคลน เป็นการ ท้าทายความสามารถของตนเอง
การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากทฤษฎีคอนสตรัคติวิส ที่เชื่อว่า การเรียนรู้นั้น เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตัวเอง โดยการนำเอาประสบการณ์หรือสิ่งที่พบเห็นมาเชื่อมโยงกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม เพื่อสร้างเป็นความเข้าใจของตนเอง และด้วยความเชื่อนี้ทำให้ทฤษฎีนี้ถูกนำมาเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความรู้ของผู้เรียน การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) เป็นรูปแบบของการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองค์ความรู้ ของตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์ ซึ่งมีครูผู้สอนคอยอำนวยการและสนับสนุน ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้หรือแนวทางแก้ปัญหาได้ตัวเอง และสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นําความรู้ หลักการ แนวคิดหรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ไปเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาที่ผู้เรียนสนใจศึกษา ค้นคว้า และลงมือปฏิบัติ ด้วยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของตนเองอย่างเป็นอิสระ
การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นรูปแบบการเรียนที่พานักเรียนไปสู่การพิจารณาข้อโต้แย้งและ ข้อสงสัยต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นคําถามที่ต้องการสํารวจตรวจสอบ และจะเป็นกระบวนการเช่นนี้ต่อเนื่อง กันไปเรื่อย ๆ จนเรียกได้ว่าเป็น วัฏจักร การสืบเสาะ (Inquiry cycle) ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และ มีทักษะในการหาความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์ จากสภาพการจัดการเรียนการสอน วิชาวิทยาการคำนวณ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 พบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนค่อนข้างต่ำ ผู้เรียนขาดกระบวนการทางวิทยศาสตร์ ข้าพเจ้าจึงมีแนวคิดในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการลงมือทำและการเรียนเชิงรุก (Active Learning) โดยการการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) และการนำรูปแบบการเรียนการสอนที่มีการจัดทำสื่อ โดยนำเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทันสมัยมาใช้และสามารถถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้เข้าใจและมีความรู้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในรูปแบบการเรียนรู้แบบออนไลน์ประกอบกับผู้เรียนบางคนขาดโอกาสในการฝึกปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่เพราะมีเวลาฝึกปฏิบัติในชั่วโมงน้อยกว่าปกติ เรียนไม่ทันเพื่อนในบางเนื้อหา การพัฒนาบทเรียนบนเครือข่าย จึงเป็นการเปิดช่องทางการเรียนรู้อีกทางหนึ่งให้กับผู้เรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่จำกัดเวลา สถานที่ และจำนวนครั้ง เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน แก้ไขปัญหาการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และตอบสนองต่อนโยบายของโรงเรียนและกลยุทธ์หลักในการดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ครูผู้สอนจึงเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน วิชาวิทยาการคำนวณ ต่อไป
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
ออกแบบและสร้างนวัตกรรมที่ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอน โดยเริ่มจากศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระฯ หลักสูตรสถานศึกษา วิเคราะห์ผู้เรียนว่ามีความรู้พื้นฐานเพียงใด และวิเคราะห์เนื้อหารายวิชาวิทยาการคำนวณ 2 เรื่องเทคโนโลยีสื่อสาร ศึกษาการสร้างโปรแกรมบทเรียนบนเครือข่าย เขียนผังงานบทเรียนบนเครือข่าย สร้างบทเรียนบนเครือข่าย เรื่องเทคโนโลยีสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนภัทรบพิตร จำนวน 7 ห้อง ร้อยละ 80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
3.2 เชิงคุณภาพ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนภัทรบพิตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น