ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย
ในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย
ในการพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน
1. สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
ประเด็นท้าทายเรื่อง
การนำศาสตร์พระราชามาใช้ในการบริหารจัดการชั้นเรียนพร้อมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
สภาพปัญหาของผู้เรียนและการจัดการเรียนรู้
เนื่องด้วยนโยบายของรัฐบาลที่เร่งขับเคลื่อนโดยบูรณาการน้อมนำเอาแนวทางพระราชดำริศาสตร์พระราชามาปรับใช้ สร้างโรงเรียนต้นแบบคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บ่มเพาะเด็ก เยาวชน อย่างต่อเนื่องจริงจัง นั่นก็คือการน้อมนำเอาแนวทางพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรมาปรับใช้ คือ “ศาสตร์พระราชา กับพัฒนาการทางการศึกษา” มาเป็นโจทย์สำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาสู่วงการศึกษาในทุกระดับตามความเหมาะสมให้มากขึ้น และผลจากการบันทึกหลังแผนการเรียนรู้พบว่า การจัดการเรียนการรู้ เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมะขามสรรเสริญ ยังไม่บรรลุผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง นักเรียนไม่สามารถเข้าใจ เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต ได้ดีเท่าที่ควรและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต อยู่ในระดับปรับปรุงเป็นจำนวนมาก ทำให้คุณครูผู้สอนจึงมีความสนใจเพื่อเพิ่มทักษะกระบวนการสืบค้นและผลสัมฤทธิ์ในการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 4 ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
ระยะที่ 1 ขั้นวางแผน
1.1 การวางแผนโดยการศึกษาข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียน กำหนดเป้าหมาย และวิธีการในการพัฒนา
1.1.1 สังเกตการณ์การเรียนการสอนเพื่อดูบริบทของผู้เรียนภายในห้องเรียน
1.1.2 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและสอบถามปัญหาเพิ่มเติมจากครูผู้สอนรายวิชาอื่น
1.2 การวางแผนปฏิบัติการการจัดการเรียนรู้และดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้และตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ
1.2.1 รวบรวมข้อมูลของผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ศาสตร์พระราชา
1.2.2 ออกแบบเครื่องมือเพื่อพัฒนาทักษะทางการเรียนในบทเรียนโดยใช้วิธีสอนแบบ Active learning
1.2.3 จัดทำแผนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะทางการเรียนในบทเรียนตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ศาสตร์พระราชา
1.2.4 จัดทำแบบทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียน โดยใช้วิธีสอนแบบ Active learning
ระยะที่ 2 ขั้นลงมือปฏิบัติตามแผน
2.1 ทำการทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียน ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ศาสตร์พระราชา
2.2 จัดการเรียนการสอนตามแผนการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ศาสตร์พระราชา เพื่อพัฒนาทักษะทางการเรียนในบทเรียน
2.3 ทำการทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียน หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้สอนแบบ Active learning
ระยะที่ 3 ขั้นสังเกตและรวบรวมข้อมูล
3.1 สังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้จากการสอนและการทำกิจกรรมที่ผู้สอนดำเนินการ
3.2 รวบรวมข้อมูลจากการสอนและการทำกิจกรรมที่ผู้สอนดำเนินการ
ระยะที่ 4 ขั้นสะท้อนผลปฏิบัติการ
4.1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในบทเรียน ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการโดยใช้วิธีสอนแบบ Active learning
4.2 นำข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้ความรู้ทางสถิติ
4.3 สะท้อนผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลว่าได้ข้อมูลตามที่คาดการณ์หรือตรงตามจุดประสงค์หรือไม่ หากได้ผลไม่ตรงต้องย้อนกลับไปดูข้อผิดพลาดหรือมีอุปสรรคในขั้นตอนใด แล้วดำเนินการแก้ไข แต่หากได้ผลตรงตามที่คาดการณ์ไว้จึงดำเนินการขั้นต่อไป
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ
3.1.1 นักเรียนโรงเรียนมะขามสรรเสริญ อําเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาต้านทุจริตศึกษา ผ่านเกณฑ์ที่สถานศึกษากําหนด ร้อยละ 70 ขึ้นไป
3.1.2 ผู้เรียนร้อยละ 80 มีความพึงพอใจต่อการนำศาสตร์พระราชามาใช้ในการบริหารจัดการชั้นเรียนพร้อมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต
3.2 เชิงคุณภาพ
3.2.1 นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมินตัวชี้วัด รายวิชาต้านทุจริตศึกษา เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต
3.2.2 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาต้านทุจริตศึกษา เรื่อง ความไม่ทนและความอายต่อการทุจริต สูงขึ้นตามที่โรงเรียนกำหนด
3.2.3 นักเรียนมีการพัฒนาทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ คิดแยกแยะ และคิดเชิงนามธรรมดีขึ้น
ศาสตร์พระราชา กับพัฒนาการทางการศึกษา
ศาสตร์พระราชา ในด้านการศึกษามุ่งเน้นการพัฒนาผู้เรียน 4 ด้าน ได้แก่ การมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง มีงานทำ มีอาชีพ
และเป็นพลเมืองดี ซึ่งการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณสมบัติเหล่านี้เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
1. มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง:
ผู้เรียนต้องมีความรู้ความเข้าใจต่อชาติบ้านเมือง มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รวมถึงมีความเอื้ออาทรต่อครอบครัว
และชุมชน
2. มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง - มีคุณธรรม:
ผู้เรียนต้องรู้จักแยกแยะความดีความชั่ว ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ดีงาม และปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง รวมถึงมีคุณธรรม จริยธรรม และมีวินัยในตนเอง
3. มีงานทำ - มีอาชีพ:
ผู้เรียนได้รับการฝึกฝนให้มีความขยัน อดทน ทำงานสำเร็จ และมีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้
4. เป็นพลเมืองดี:
ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อสังคม มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น
วิดีโอการสอน และผลลัพธ์ของผู้เรียน
แบบข้อตกลงในการพัฒนางาน (PA)
รายงานผลการปฏิบัติงาน
(PA)