ความลึกของดินมีผลต่อการเลือกชนิดพืชที่จะปลูก การยึดเกาะของรากและการทรงตัวของลำต้นพืช ปริมาณความชื้น ธาตุอาหาร และอุณหภูมิดิน
ความลึกของดินแบ่งเป็น 5 ระดับ
ดินตื้นมาก มีระดับความลึกของดินภายใน 25 ซม.
ดินตื้น มีระดับความลึกของดินระหว่าง 25-50 ซม.
ดินลึกปานกลาง มีระดับความลึกของดินระหว่าง 50-100 ซม.
ดินลึก มีระดับความลึกของดินระหว่าง 100-150 ซม.
ดินลึกมาก มีระดับความลึกของดินมากกว่า 150 ซม.
สีของดินขึ้นอยู่กับชนิดแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบในดิน สภาพแวดล้อมในการเกิดดิน ระยะเวลาพัฒนาของดิน และวัสดุในดิน
สีของดินแบ่งออกเป็น 5 สี
ดินสีดำ, สีน้ำตาลเข้ม หรือคล้ำ
ดินที่มีปริมาณอินทรียวัตถุมาก มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีระยะเวลาพัฒนาไม่นาน เช่น ดินที่เกิดจากการผุสลายของหินภูเขาไฟ
ดินสีเหลืองหรือสีแดง
ดินที่ผ่านการย่อยสลายมานาน มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ มีออกไซด์ของโลหะเช่นเหล็กและอลูมิเนียมเป็นองค์ประกอบ
ดินสีขาวหรือสีเทาอ่อน
ดินที่เกิดจากผุสลายของหินที่มีแร่สีจาง เช่น แกรนิต หรือผ่านการชะล้างอย่างรุนแรง มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
ดินสีเทาหรือสีน้ำเงิน
ดินที่อยู่ในสภาวะน้ำแช่ขังมาเป็นเวลานาน ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศไม่ดี ทำให้เกิดสารประกอบของเหล็กสีเทาหรือสีน้ำเงิน
ดินที่มีสีจุดประ
ดินที่อยู่ในสภาะน้ำแช่ขังสลับกับแห้ง เกิดจากการเปลี่ยนสีของสารประกอบออกไซด์ของเหล็ก
เนื้อดินบ่งบอกถึงความละเอียดของดิน มีผลต่อการดูดซับน้ำ การดูดยึดแร่ธาตุ และปฏิกิริยาในดิน
เนื้อดินแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มดินทราย
มีอนุภาคทรายเป็นองค์ประกอบมากกว่า 85% แตกออกจากกันได้ง่าย ให้ความรู้สึกสาก ระบายน้ำและอากาศดีมาก แต่ความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ
กลุ่มดินร่วน
มีสัดส่วนอนุภาคทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวเท่าๆกัน ให้ความรู้สึกนุ่ม ระบายน้ำและอากาศดี เหมาะสำหรับเพาะปลูก มีความอุดมสมบูรณ์ดี
กลุ่มดินเหนียว
มีอนุภาคดินเหนียวเป็นองค์ประกอบมากกว่า 40% สภาพแห้งจะจับเป็นก้อนแข็ง เปียกน้ำแล้วจะยืดหยุ่น มีทั้งระบายน้ำและอากาศดีและไม่ดี
เป็นสมบัติทางกายภาพ เกิดจากการเกาะจับกันของอนุภาคดิน มีผลต่อการซึมผ่านของน้ำ การอุ้มน้ำ การระบายน้ำและถ่ายเทอากาศ
โครงสร้างของดินแบ่งออกเป็น 5 ประเภท
แบบก้อนกลม มักพบในดินชั้นบน มีช่องว่างขนาดใหญ่ ทำให้ดินมีความพรุนมาก ระบายน้ำและอากาศได้ดี
แบบก้อนเหลี่ยม มักพบในดินชั้นล่าง น้ำและอากาศซึมได้ในเกณฑ์ปานกลาง
แบบแผ่น มักพบในดินชั้นบนที่ถูกบีบอัดจากการบดไถ ขัดขวางการไหลซึมของน้ำ การระบายอากาศและการชอนไชของรากพืช
แบบแท่งหัวเหลี่ยม มักพบในดินชั้นล่างของดินบางชนิด โดยเฉพาะดินเค็ม เรียงตัวกันในแนวตั้ง ส่วนบนมีรูปร่างแบบราบ
แบบแท่งหัวมน พบในดินชั้นล่าง ของดินในเขตแห้งแล้ง มีการสะสมของโซเดียมสูง มีสภาพการซึมน้ำน้อยถึงปานกลาง
เรียกกันว่าค่า "pH" เป็นค่าปฏิกิริยาดิน ถ้าดินมี pH ไม่เหมาะสมจะทำให้พืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอ หรือได้รับธาตุบางชนิดมากเกินไป
ค่า pH มีค่าตั้งแต่ 1-14 ในส่วนค่า pH ของดินปกตินั้นจะอยู่ในช่วง 5-8
ค่า pH น้อยกว่า 7 แสดงว่าดินเป็นกรด
ค่า pH มากกว่า 7 แสดงว่าดินเป็นด่าง
ค่า pH เท่ากับ 7 แสดงว่าดินเป็นกลาง
เป็นสมบัติของดินที่มีความสำคัญต่อการสำรองและปล่อยธาตุอาหารต่างๆในดิน เพื่อให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ เนื่องจากแร่ธาตุที่พืชต้องการส่วนใหญ่เป็นประจุบวก คุณสมบัตินี้ยังเกี่ยวข้องกับการต้านเปลี่ยนแปลงความเป็นกรดในดินโดยการดูดยึดประจุบวกที่เป็นกรดไว้
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม
พืช
ทำหน้าที่กักเก็บแสงอาทิตย์มาผลิตสารอินทรีย์ผ่านการสังเคราะห์แสง เมื่อพืชหลุดร่วงหรือตายลง เกิดกระบวนการย่อยสลายเป็นสารอินทรีย์และแร่ธาตุ เป็นแหล่งพลังงานของสิ่งมีชีวิตต่างๆ การเจริญเติบโตของพืชยังช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดิน เช่น การเกิดช่องว่างในดิน การหมุนเวียนแร่ธาตุ เป็นต้น
สัตว์
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดิน เช่น ไส้เดือนชอนไชในดินทำให้เกิดการพลิกดิน การคลุกเคล้าของอินทรียวัตถุในดิน เกิดการถ่ายเทอากาศ รวมถึงการย่อยสลายเศษอาหาร ซากพืชซากสัตว์ในดินให้กลายเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดิน
จุลินทรีย์
มีบทบาทสำคัญในการย่อยสลายอินทรียวัตถุ การแปรสภาพสารอินทรีย์และอนินทรีย์ การสลายสารเคมี ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ และความสมดุลของดิน ตัวอย่างจุลินทรีย์เช่น แบคทีเรีย, รา, โปรโตซัว เป็นต้น