การเก็บเกี่ยวพืชผักเป็นปัจจัยและขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะนำผลผลิตออกจำหน่าย ดังนั้นผู้ปลูกก็จะต้องมีความรู้ความชำนาญถึงขั้นตอนและวิธีการเก็บเกี่ยวพืชผักแต่ละชนิดเพื่อให้มีคุณภาพและยังสามารถเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้น เช่นการบรรจุหีบห่อ การคัดขนาด คัดเกรด หรือการแปรรูปผลผลิต การเก็บเกี่ยวพืชผักจะต้องเก็บเกี่ยวตามจุดประสงค์ของการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านการบริโภคสดหรือทำผลิตภัณฑ์ เพราะจะทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ มีคุณค่าทางอาหาร ดังนั้นการเก็บเกี่ยวจะต้องมีความระมัดระวัง เพื่อช่วยลดปัญหาการสูญเสียผลผลิตและคุณภาพ
โดยทั่วไปมีดังนี้
1.1.1 พืชผักกินราก เช่น ผักกาดหัว มันเทศ แครอท บีท ต้องเก็บเกี่ยวตามอายุ และขนาดที่กำหนดไว้ อย่าปล่อยให้แก่จนฟ่ามหรือมีเสี้ยน และต้องไม่ขุดให้เกิดแผลหรือรอยช้ำ
1.1.2 พืชผักพวกลำต้นใต้ดิน เช่น มันฝรั่ง เผือก ควรปล่อยให้ใบแห้งก่อนเก็บเกี่ยวเพื่อให้หัวมีเปอร์เซ็นต์ความชื้นต่ำ การใช้เครื่องทุนแรงเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องระวังปัญหาการถูกทำลายของหัว
1.1.3 พืชผักกินใบและกินต้น เช่น ผักคะน้า ผักกาด กะหล่ำต่าง ๆ เก็บเกี่ยวเมื่อต้นเจริญได้คุณภาพเต็มที่ โดยใช้มีดคมๆ ตัด ให้ถึงโคนใกล้ชิดรากมากที่สุด และควรเก็บเกี่ยวให้เสร็จภายในครั้งเดียว ควรเก็บเกี่ยวในเวลาเช้าตรู่ ต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง เพราะจะทำให้เกิดปัญหาการหักของใบ รอยแผลตัดควรทาสารป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อจุลินทรีย์ โดยการทาปูนแดง หรือยาฆ่าเชื้อต่างๆ
1.1.4 พืชพวกหอมกระเทียม เก็บเกี่ยวเมื่อโคนโต (core) แห้งหรือโคนใบโค้งงอลง โดยการขุดขึ้นมาทั้งต้นแล้วทิ้งไว้ในแปลง 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ต้นและหัวแห้ง ก่อนที่จะทำการเก็บรักษาต่อไป
1.1.5 พืชผักกินดอก เช่น บร๊อคโคลี่ และกะหล่ำดอก เก็บเกี่ยวเมื่อดอกอัดแน่นและขยายใหญ่เต็มที่ โดยการตัดที่โคนต้นให้มีใบติดมาด้วยประมาณ 3-4 ใบ เพื่อใช้ห่อดอกป้องกันการถูกกระทบกระเทือนในการขนย้าย และอาจใช้แผ่นพลาสติกบางๆห่อหุ้มดอกเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ ผักจะได้มีความสดอยู่เสมอ
1.1.6 พืชผักกินผลและเมล็ด เช่น ข้าวโพดหวาน ถั่วต่าง ๆ แตงต่าง ๆ ควรเก็บในตอนเช้า จะทำให้เปอร์เซ็นต์น้ำตาลสูงกว่าเก็บในตอนบ่าย การเก็บเกี่ยวควรใช้มีดตัดอย่างระมัดระวังอย่าให้ตกลงพื้นดินเพื่อพืชผักนั้นจะไม่ช้ำเสียหาย
การเก็บพืชผักเร็วเกินไป จะทำให้คุณภาพไม่ดี แต่ถ้าชะลอเก็บเกี่ยวช้าไปจะทำให้พืชผักเน่าเสียหาย ดังนั้นจึงมีการคิดหาวิธีเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องชี้บอกอายุการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม ซึ่งเรียกว่า ดัชนีในการเก็บเกี่ยว (harvest index)
มันฝรั่ง
บร๊อคโคลี่
ผักคะน้า
ข้าวโพดหวาน
ผักกาดหัว
หัวหอม
การสังเกตด้วยสายตา แบ่งได้หลายลักษณะดังนี้
การเปลี่ยนแปลงของสี เช่นมะเขือเทศ เมื่ออายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม จะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอมแดง มากน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และพริกหวานที่เปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีเขียวอมแดงและจนถึงสีแดง
ขนาด พิจารณาจากขนาดของใบและผล ว่าได้ขนาดตามต้องการ เช่นแตงกวาเก็บเกี่ยวเมื่อหนามยังไม่หลุด มะเขือเก็บเกี่ยวเมื่อขั้วกลีบเลี้ยงของผลยังไม่ลัดแน่น ผักกินใบเก็บเกี่ยวเมื่อใบอวบใหญ่ ผักกินดอกเก็บเกี่ยวเมื่อดอกยังไม่บานหรือดอกอัดเบียดกันแน่น เช่น บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก
การใช้วิธีการทางกายภาพ เป็นการพิจารณาดูการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของพืชผัก เช่นผักกินใบต่าง ๆ ใบจะอวบมีนวลได้แก่คะน้า ผักกินผล เช่น ฟักแฟงจะมีเกิดนวลที่ผล หรือแตงเทศจะเกิดรอยแตกที่ขั้วผล
การใช้ประสาทสัมผัส ได้แก่ การชิมรส การฟังเสียง การดมกลิ่นและอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากการสังเกตด้วยสายตา
การชิมรส ใช้กับพืชผักกินผลและกินรากเช่น แตงโม ข้าวโพดหวาน แครอท มันเทศ
การฟังเสียง ใช้กับแตงโมเป็นส่วนใหญ่
การดมกลิ่น ใช้กับ แตงเทศ แตงไทย
การประมาณอายุหลังจากวันปลูกถึงวันเก็บเกี่ยว ภายใต้การเจริญเติบโตที่เหมาะสม โดยอายุการเก็บเกี่ยวขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ว่าเป็นพันธุ์หนักหรือพันธุ์เบา และจะต้องพิจารณาถึงสภาพภูมิอากาศและฤดูกาลด้วย โดยการปลูกผักภายใต้สภาพอุณหภูมิต่ำ เช่น ในช่วงฤดูหนาว อายุการเก็บเกี่ยวพืชผักมักจะยืดยาวออก ไปมากน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของผัก แต่เมื่อปลูกในสภาพปกติที่เหมาะสม จะสามารถประมาณอายุของพืชผักแต่ละชนิดได้ (ตามตาราง) (คลิกเพื่อเปิดตาราง)
การประมาณอายุจากวันที่ดอกได้รับการผสมเกสรจนถึงวันแก่เก็บเกี่ยว ซึ่งสามารถประมาณอายุเก็บเกี่ยวพืชผักชนิดต่าง ๆ (ตามตาราง) (คลิกเพื่อเปิดตาราง)
การวิเคราะห์ทางเคมี เป็นการวิเคราะห์สารเคมีภายในผลิตผล เช่น ปริมาณน้ำตาล ปริมาณกรด ปริมาณแป้ง ตัวอย่างได้แก่ การตรวจสอบปริมาณน้ำตาลกับถั่วลันเตาพันธุ์หวาน และข้าวโพดหวาน การตรวจสอบปริมาณกรดกับมะนาว การตรวจสอบปริมาณแป้งกับพืชผักประเภทลำต้นใต้ดิน
การวัดปริมาณน้ำ ใช้เป็นดัชนีกำหนดอายุความแก่-อ่อน ของพืชผักเกือบทุกชนิด แต่ใช้ได้ดีกับข้าวโพดหวาน
การวัดปริมาณเสี้ยน (fiber content) ใช้บอกความแก่อ่อนของพืชผักได้ ผักที่อ่อนจะมีปริมาณเสี้ยนน้อยกว่าผักที่แก่ โดยพิจารณาว่าผักที่แก่พอเหมาะในการเก็บเกี่ยว ไม่ควรมีเสี้ยนเกินร้อยละ 1
การคำนวณ เนื่องจากการวัดจำนวนวันหลังจากปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวอาจผิดพลาดได้ เนื่องจากสภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่แน่นอน และฤดูกาลต่างกัน จึงใช้วิธีคำนวณระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมจากการสะสมความร้อน (heat units) ซึ่งได้จากการสะสมอุณหภูมิที่สูงกว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่พืชผักชนิดนั้น ๆ ต้องการในการเจริญเติบโตในแต่ละวันมีหน่วยเป็น degree days
หมายถึงการปฏิบัติการหลังการเก็บเกี่ยวพืชผักแล้ว ถ้าการปฏิบัติการขั้นนี้ไม่ดีพอ ก็จะทำให้ผลผลิตมีคุณภาพลดลง ซึ่งการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวดังกล่าวได้แก่
การทำความสะอาดพืชผัก ได้แก่การล้างทำความสะอาด โดยเฉพาะผักกินใบ กินรากและกินหัว หรือผักกินผลบางชนิด ซึ่งการล้างทำความสะอาดจะทำให้ผักขายได้มีราคา และช่วยให้ผักมีสภาพสด
การตัดแต่ง เป็นการตัดแต่งภายนอกเพื่อให้ผักมีคุณภาพดีเป็นที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้ซื้อ เช่นผักพวกกะหล่ำ ผักกินรากต่าง ๆ ควรตัดแต่งส่วนที่เน่าเสียและเป็นโรคออก
การคัดขนาดหรือคัดชั้น (grade) ผักทุกชนิดควรได้รับการคัดแยกขนาดและคุณภาพออกจากกันโดยทันทีในขณะเก็บเกี่ยวหรือหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งราคาขายให้กับผู้ซื้อ และสะดวกต่อผู้ซื้อว่าต้องการราคาและคุณภาพของผักอย่างไร ซึ่งการคัดขนาดและคุณภาพของผัก นิยมคัดจาก ขนาด รูปทรง ความสม่ำเสมอ สี ความสุกแก่ของผัก
การมัด พืชผักบางชนิดหลังจากตัดแต่ง ล้าง คัดขนาดแล้วควรจะต้องมีการมัดเพื่อสะดวกในการขนส่ง และจัดจำหน่าย และต้องทำการชั่งน้ำหนักเสียก่อนให้เท่า ๆ กัน เช่น ถั่วฝักยาว หอม กระเทียม
การบรรจุหีบห่อ ภาชนะที่ใช้บรรจุหีบห่อควรคำนึงถึงความสามารถรักษาคุณภาพของพืชผักได้ ประเภทของภาชนะบรรจุ มี 4 ชนิดคือ
เข่ง เป็นภาชนะบรรจุที่ใช้กันมาก เพราะมีราคาถูก หาซื้อได้ง่าย บรรจุได้มาก ระบายอากาศได้ดี และเปียกน้ำได้ แต่ข้อเสียคือโครงสร้างไม่ค่อยแข็งแรง อาจมีน้ำหนักมากเกินไปเพราะทำจากไม้ไผ่ที่เกษตรกรในชนบทสานขึ้นมาเพื่อเป็นรายได้เสริมในครอบครัว ผู้ซื้อในต่างประเทศบางรายไม่ยอมรับ
พลาสติก เป็นสารสังเคราะห์พวกโพลีเมอร์ มีความแข็งแรงและเหนียว ระบายอากาศได้ดี และเปียกน้ำได้ สามารถนำไปใช้ในการบรรจุหีบห่อได้หลายลักษณะ เช่นตะกร้า ถาดพลาสติก ฟิลม์พลาสติก มีข้อเสียคือต้องผลิตเป็นจำนวนมาก หากผลิตจำนวนน้อยหรือเปลี่ยนรูปแบบจะเสียค่าใช้จ่ายสูง
ลังไม้ เป็นภาชนะบรรจุที่มีความแข็งแรง ระบายอากาศได้ดี ข้อเสียคือผิวไม้แข็งและไม่เรียบ อาจทำความเสียหายต่อพืชผัก น้ำหนักมาก
กล่องกระดาษ เป็นภาชนะที่ผิวเรียบ สามารถพิมพ์ชื่อสินค้าให้สวยงาม เพื่อดึงดูดผู้ซื้อได้ง่าย มีรูปแบบให้เลือกมากมาย ป้องกันการกระแทก ไม่กินเนื้อที่ในการขนส่ง การทำลายเมื่อไม่ใช้ทำได้ง่าย ไม่มีปัญหาและมลพิษและเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ ข้อเสียคือ ช่องระบายอากาศของกล่องมีจำกัด เสียความแข็งแรงได้ง่ายเมื่อถูกน้ำ
การนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปจะช่วยป้องกันการล้นตลาดของผลิตผลสด ซึ่งช่วยยกระดับราคาผลิตผล ไม่ให้ตกต่ำ การเพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตรมาแปรรูปเป็นอาหารระดับอุตสาหกรรม ที่สามารถรับวัตถุ ดิบเพื่อผลิตเป็นอาหารจำนวนมากได้ การผลิตอาหารให้ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค การส่งเสริม ให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปอาหารให้เป็นที่ยอมรับ และสามารถขยายตลาดการค้าออกไปสู่ต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มพูน รายได้ให้แก่ประเทศได้เป็นอย่างดี
การเก็บรักษาและแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เป็นการนำเอาผลผลิตทางการเกษตรมาผ่านกระบวนการต่าง ๆ เพื่อให้เก็บรักษาผลผลิตทางเกษตรไว้ได้นานก่อนถึงตลาดและผู้ซื้อ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเก็บรักษาผลผลิตทางการเกษตร ได้แก่ สภาพของผลผลิตความสะอาด ความชื้น อุณหภูมิ การถ่ายเทอากาศ
ผลผลิตทางการเกษตร หมายถึง สิ่งที่ได้มาจากการทำเกษตรกรรม ได้แก่ การปศุสัตว์ การป่าไม้ การประมง การกสิกรรม และผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ได้จากการแปรรูปไปเป็นอย่างอื่น เช่น อาหารกระป๋อง เครื่องหนัง ไม้อัด ผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
1. ผลผลิตที่ใช้ในการอุปโภค เช่น ฝ้าย ปอ ป่าน ไหม ยาง ไม้อัด เป็นต้น
2. ผลผลิตที่ใช้ในการบริโภค เช่น ข้าว ข้าวโพด ผลไม้ อ้อย ผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น
ผลผลิตทางเกษตรที่สำคัญของประเทศไทย เช่น ข้าว ข้าวโพด ยางพารา มันสำประหลัง กุ้งแช่แข็ง ไก่แช่แข็ง เป็นต้น
เทคนิคในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร มีหลายขั้นตอน แต่ที่สำคัญจะเป็นแรงจูงใจสามารถทำผลิตภัณฑ์ ต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า คุ้มราคา และผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องมีความอร่อย ไม่ใช่ทำครั้งแรกอร่อยทุกคน ติดใจในรสชาติ สามารถทำรายได้ให้มากมาย พอเริ่มมีคนรู้จัก คุ้นตา ชินต่อรสชาติ ก็จะเริ่มทำผลิตภัณฑ์เพื่อให้มี ผลกำไรมาก ๆ ความสำคัญของรสชาติอาจด้อยไป จะทำให้ทุกคนเสื่อมความศรัทธาได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ จะต้องคำนึงถึง
ความซื่อสัตย์ต่อตนเองและลูกค้า
ต้องมีการวางแผนผลิตสินค้านั้นล่วงหน้า และเหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อสินค้านั้นจะมีต้นทุนต่ำขายได้ ราคาสูง
ต้องมีความสนใจ และตั้งใจต่อการทำผลิตภัณฑ์นั้น เพื่อให้มีความสม่ำเสมอของรสชาติและคุณภาพที่ดี
ต้องคำนึงถึงความสะอาดความปลอดภัยเสมอ
ต้องมีความรู้ในสารปรุงแต่งอาหารที่ใช้อย่างแม่นยำ
การคัดเลือกวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปจะต้องมีลักษณะและคุณภาพตรงตามชนิดของอาหาร และต้องคำนึง ถึงเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการเตรียมวัตถุดิบด้วย
การแปรรูปอาหารโดยการทำให้แห้ง คือ การลดความชื้นของอาหารจนถึงระดับที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโต ของเชื้อจุลินทรีย์ได้ คือ มีค่าวอเตอร์แอกติวิตี้ (water activity : Aw) ต่ำกว่า 0.70 ทำให้เก็บอาหารได้นาน อาหารแห้งแต่ละชนิดจะมีความชื้นในระดับที่ปลอดภัยไม่เท่ากัน เช่น ผลไม้แช่อิ่มเก็บที่ความชื้น ร้อยละ 15-20 ถ้าเป็นเมล็ดธัญชาติความชื้นระดับนี้จะเกิดรา การทำแห้งอาหารโดยทั่วไปจะอาศัยความร้อนส่งผ่านเข้าไปให้น้ำในอาหาร เพื่อให้น้ำในอาการเคลื่อนที่และ ระเหยออกจากผิวอาหาร และประสิทธิภาพในการเคลื่อนของน้ำมาที่ผิวอาหาร ธรรมชาติของอาหาร ถ้าเป็นผักก็จะ แห้งเร็วกว่าผลไม้ เพราะผลไม้มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย การทำให้แห้งโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ในสมัยโบราณมักจะตากแดด ซึ่งไม่สามารถควบคุมความร้อน และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้ จึงมีการสร้างตู้อบโดยใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ ประกอบด้วยแผงรับแสงอาทิตย์ ซึ่งทำด้วยวัสดุใส แสงอาทิตย์ตกลงบนแผงรับแล้วทะลุผ่านไปยัง วัสดุสีดำภายในตู้ และเปลี่ยนเป็นรังสีความร้อน ไปกระทบอาหาร ความชื้นระเหยออกจากอาหารจะระบายไปโดยการหมุนเวียนของอากาศทางช่องลม นอกจากนี้ยังมี กระบวนการทำให้แห้งได้อีกหลายวิธี คือ
การทำให้แห้งโดยใช้ลมร้อน (ตู้อบลมร้อน)
การทำให้แห้งโดยใช้ลูกกลิ้ง
การทำให้แห้งแบบเยือกแข็ง
การทำให้แห้งโดยใช้ไมโครเวฟ
การทำให้แห้งโดยใช้วิธีออสโมซิส
2. การดอง เป็นการทำให้ผลผลิตมีรส กลิ่น เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น
การดองเค็ม โดยใช้เกลือ ( โซเดียมคลอไรด์ ) ไม่น้อยกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผลผลิตที่จะดอง เช่นการดองมะนาว ผักกาดดอง ไข่เค็ม เป็นต้น สามารถฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดการเน่าเสีย
การดองหวาน ( การแช่อิ่ม ) โดยใช้น้ำตาลไม่น้อยกว่า 68 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผลผลิตที่จะนำมาดอง เช่นมะม่วงแช่อิ่ม มะดันแช่อิ่มเป็นต้น
3. ใช้ความเย็น เป็นวิธีที่สะดวก ช่วยในการเก็บรักษาผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ต่างๆให้สด และยังมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีอยู่ แต่ไม่สามารถทำลายจุลินทรีย์ได้ทุกชนิด เช่น
การแช่เย็นธรรมดา ใช้อุณหภูมิ 5-10 องศาเซลเซียล
การแช่แข็ง ใช้อุณหภูมิ -40 องศาเซลเซียล สามารถเก็บรักษาผลผลิตบางชนิดได้นานเป็นปี
4. การใช้รังสี โดยใช้รังสีแกมมา ซึ่งได้จากสารกัมมันตรังสี ที่ใช้กันมากก็คือ โคบอลต์-60 เช่น ถ้าใช้ 1 กิโลเกรย์ ใช้ชะลอการสุกของมะม่วง และควบคุมการแพร่พันธุ์ของแมลงในระหว่างการเก็บรักษา หรือถ้าใช้ 0.15 กิโลเกรย์ ใช้ยับยั้งการงอกของมันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ เป็นต้น
5. การแปรรูปเพื่อถนอมอาหารแบบใช้ความร้อนสูง จะช่วยทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค ซึ่งทำให้ อาหารเน่าเสีย ทำลายเอนไซม์ สารพิษ พยาธิที่ไม่ทนต่อความร้อน การแปรรูปโดยใช้ความร้อน กระทำได้ 2 วิธี คือ
การพาสเจอร์ไรซ์ คือ วิธีที่ถนอมอาหาร โดยใช้ความร้อนที่อุณหภูมิไม่สูงมากนักเพื่อทำลายแบคทีเรีย พวกที่ไม่สร้างสปอร์ และพวกที่ก่อให้เกิดโรคแก่คน ส่วนจุลินทรีย์อื่น ๆ ที่ทนความร้อนระดับพาสเจอร์ไรซ์ จะเป็น สาเหตุทำให้อาหารเสียได้ ดังนั้น อาหารที่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ต้องอาศัยความเย็นช่วยเก็บรักษา วิธีการพาสเจอร์ไรส์มี 2 วิธีคือ
วิธีใช้ความร้อนต่ำ - เวลานาน (LTLT : Low Temperature - Long Time) วิธีนี้ใช้ความร้อนที่อุณหภูมิ 62.8 - 65.6 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 30 นาที เมื่อผ่านความร้อนโดยใช้เวลาตามที่กำหนดแล้ว ต้องเก็บอาหารไว้ในที่เย็นซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 7.2 องศาเซลเซียส กรรมวิธีการนี้นอกจากจะทำลายแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคแล้วยังยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ย่อยไขมันชนิดไลเปส (Lipase) ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดกลิ่นหืนในน้ำนมด้วย
วิธีใช้ความร้อนสูง - เวลาสั้น (HTST : High Temperature - Short Time) วิธีนี้ใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่าวิธีแรก แต่ใช้เวลาน้อยกว่าคืออุณหภูมิ 71.1 องศาเซลเซียสคงไว้เป็นเวลา 15 วินาที อาหารที่ผ่านความร้อนแล้วจะได้รับการบรรจุลง กล่องหรือขวดโดยวิธีปราศจากเชื้อแล้วนำไปแช่เย็นที่อุณหภูมิ 7.2 องศาเซลเซียส
การสเตอริไลซ์ คือ การสเตอริไลซ์ เป็นการใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงกว่า 100 °C ภายใต้ความดัน ในกรณีของเครื่องฆ่าเชื้อภายใต้ความดันที่ใช้ไอน้ำเป็นตัวกลางในการให้ความร้อนที่ 121.1 °C มีค่าความดันประมาณ 15 psi (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค และ จุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสีย ซึ่งโดยทั่วไปการใช้อุณหภูมิสูงๆ เป็นเวลานานๆ ย่อมสามารถทำลายจุลินทรีย์ได้มาก สำหรับอาหารนั้นเราไม่สามารถใช้ความร้อนปริมาณสูงมากๆ ได้ เนื่องจากจะทำให้สูญเสียคุณภาพของผลิตภัณฑ์
กระบวนการ UHT (Ultra high temperature) นิยมใช้อุณหภูมิ 135 - 150องศาเซลเซียส นาน 1-4 วินาที ซึ่งมีวิธีให้ความร้อน 2 แบบ คือ
ทางอ้อม เป็นการให้ความร้อนผ่านแผ่นแลกเปลี่ยนความร้อน
ทางตรง เป็นการใช้ไอน้ำร้อนจัด เป็นตัวกลางให้ความร้อน โดยอัดลงไปในอาหารโดยตรง แล้วจึงผ่านไปยัง เครื่องระเหยน้ำส่วนที่เกินออกไปภายใต้ภาวะสุญญากาศ