ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ คือ
ได้แก่ พันธุกรรม (Genetic) คือลักษณะที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน
สภาพแวดล้อม (Environment) คือ ดิน น้ำ แสงสว่าง อุณหภูมิ อากาศ ธาตุอาหาร และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม หมายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ พืชและมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืชทั้งสิ้น ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะปัจจัยที่เกิดจากภายนอกของพืช ได้แก่
คือวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติรวมกันเป็นชั้นๆ จากส่วนผสมการสลายตัวของหินและแร่รวมกับอินทรียวัตถุที่สลายตัวเน่าเปื่อยพุพังรวมกันเป็นชั้นบางๆ ห่อหุ้มผิวโลกเมื่อมีน้ำและอากาศในปริมาณที่เหมาะสม วัตถุที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้พืชเจริญเติบโต โดยทั่วไปแล้วดินจะประกอบด้วยของแข็ง ของเหลว และก๊าซซึ่งสามารถแยกส่วนประกอบต่าง ๆได้ดังนี้คือ อนินทรีย์วัตถุ อินทรียวัตถุ น้ำ และอากาศ
ดินที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชจะมีสัดส่วนประกอบของ น้ำ 25% อากาศ 25% อนินทรีย์วัตถุ 45% และอินทรียวัตถุ 5%
ความสำคัญของดินที่มีต่อพืชมีดังนี้
1. เป็นแหล่งให้รากพืชอาศัยและหยั่งลึกทำให้พืชยืนต้นอยู่ได้
2. เป็นแหล่งให้อากาศแก่รากพืชใช้ในการหายใจ
3. เป็นแหล่งให้น้ำแก่พืช
4. เป็นแหล่งให้ธาตุอาหารแก่พืช
1. ดินเหนียว คือ ดินที่มีดินเหนียวอยู่มากกว่า 50% เม็ดดินจับตัวกันอย่าง เหนียวแน่น มีช่องว่างระหว่างเม็ดดินน้อย สามารถอุ้มน้ำได้ดี
2. ดินทรายร่วน มีดินเหนียวปนอยู่ 10-20% นอกนั้นเป็นทราย
3. ดินร่วนทราย มีดินเหนียวปนอยู่ 20-30% นอกนั้นเป็นทราย
4. ดินร่วน หมายถึง ดินที่มีดินเหนียวปนอยู่ 30-50% ที่เหลืออาจจะเป็นดินทราย และดินตะกอนปนอยู่ ดินร่วนมีช่องว่างระหว่างเม็ดดินมาก น้ำจึงซึมผ่านได้ดี อุ้มน้ำได้น้อยกว่าดินเหนียว แต่เหมาะกับพืชมากชนิด
5. ดินทราย คือดินที่มีทรายปนอยู่มากกว่า 70% ทำให้ดินหยาบ เม็ดดินไม่เกาะกัน ระบายน้ำได้ดีมาก แต่ไม่สามารถจะเก็บน้ำและปุ๋ยไว้ได้นาน ๆ เหมาะที่จะปลูกพืชที่จะเก็บน้ำไว้ในรากและต้นได้มากเช่นกระบองเพ็ชร
6. ดินปูน คือดินที่มีปูน (แคลเซียม Calcium) อยู่ประมาณ 20% หรือมากกว่า ดินชนิดนี้จะเป็นดินร่วน ดินเหนียว หรือดินทรายก็ได้
7. ดินอินทรีย์วัตถุ คือ ดินที่มีซากพืช/สัตว์ปนอยู่ประมาณ 5% หรือมากกว่า เป็นดินที่พบในป่าทึบ ตามก้นหนอง คลอง บึง แม่น้ำ หรือตามสันดอนที่น้ำพัดพาพืชวัตถุมาทับถมกันเป็นแรมปี
8. ดินกรด คือ ดินที่มีความเป็นกรดมาก (pH ต่ำกว่า 7) ดินและน้ำ ณ ที่ นี้อาจมีลักษณะเปรี้ยว บางทีก็เรียกว่าดินเปรี้ยว พบมากในแถบที่มีฝนตกชุกหรือแอ่งน้ำไหล
9. ดินด่างดินเกลือ เป็นดินที่มีความเป็นด่างมาก (pH สูงกว่า 7 ) พบมากเช่น ดินตามบริเวณชายทะเล และดินที่เกิดเกี่ยวข้องกับหินปูน หรือดินที่มีความแห้งแล้งจัด เช่น ดินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นต้น
น้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเจริญเติบโตของพืชผัก เนื่องจากพืชผักเป็นพืชที่มีเปอร์เซ็นต์น้ำประกอบอยู่สูง เกือบทุกส่วนของต้นพืชจะอวบน้ำ ตั้งแต่ส่วนใบ ลำต้น ดอก ผลและราก นอกจากนี้น้ำยังเป็นตัวทำละลายธาตุอาหารในดิน มีบทบาทที่สำคัญในการเกิดปฏิกิริยาทางชีววิทยา รักษาความเย็นของต้นพืช ลำเลียงอาหารและธาตุอาหารต่าง ๆ พืชต้องการธาตุไฮโดรเจน ซึ่งได้มาจากน้ำ (H2O) ทั้งนี้ เพราะพืชไม่สามารถใช้ธาตุไฮโดรเจนจากอากาศได้ ในแปลงที่ใช้ปลูกจำเป็นต้องมีความชื้นอย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ซึ่งถ้าผักขาดน้ำจะทำให้ผลผลิตลดลงคุณภาพต่ำหรือไม่ได้เลย และถ้ามีน้ำมากเกินไปจนดินแฉะทำให้รากเน่าเนื่องจากขาดออกซิเจนในการหายใจ ต้นผักอาจตายหรือชะงักการเจริญเติบโตได้
แหล่งน้ำที่นำมาใช้เพื่อการเพาะปลูกพืชผักมาจากหลายแหล่งด้วยกัน คือ
1. ธาร
2. บ่อน้ำ
3. แหล่งน้ำที่กักเอาไว้
4. น้ำจากคลองชลประทาน
แสงที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของพืช จะมีการศึกษาด้วยกัน 3 ด้านคือ
1) ความเข้มของแสง
2) คุณภาพของแสง
3) ความยาวของแสง
ต้องการความเข้มของแสงต่ำ เช่น เห็ดต่าง ๆ
พืชผักที่ต้องการแสงปานกลาง เช่น กระชาย สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง
พืชต้องการความเข้มของแสงสูง เช่น เช่น กุหลาบ เข็ม ยี่โถ ดาวเรือง ดาวกระจาย ชวนชม เฟื่องฟ้า เป็นต้น
พืชวันสั้น ( short-day-plant) หมายถึงพืชที่ต้องการเวลากลางวันสั้นจึงจะออกดอก หรือต้องการแสงน้อยกว่า 13 ชั่วโมงต่อวัน ได้แก่ มันเทศ (ภาพ a.)
พืชวันยาว ( long-day-plant) หมายถึงพืชที่ต้องการเวลากลางวันยาวหรือต้องการมากกว่า 13 ชั่วโมงต่อวันในการออกดอก ได้แก่ แครอท ผักกาดหอม (ภาพ b.)
พืชไม่ขึ้นกับช่วงแสง (day-neutral plant) หมายถึงพืชที่ออกดอกตามปกติ ไม่ต้องการกลางวันสั้นหรือยาวเหมือนสองพวกแรก ได้แก่ มะเขือเทศ แตงกวา พริก
อุณหภูมิเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งต่อการเจริญเติบโตของพืชผักเริ่มตั้งแต่ การงอกของเมล็ด การสังเคราะห์แสง การหายใจ จนกระทั้งการเก็บเกี่ยวผลผลิต ติดเมล็ด ซึ่งพืชผักแต่ละชนิดต้องการอุณหภูมิสำหรับการเจริญเติบโตแตกต่างกัน เช่น แตงโม แตงเทศ แตงกวา มะเขือ พริก เจริญได้ดีในอุณหภูมิสูง ส่วนผักกาดต่าง ๆ กะหล่ำต่าง ๆ หอม กระเทียม ถั่วลันเตา เจริญได้ดีในอุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้อุณหภูมิยังมีอิทธิพลต่อสรีระของพืชในขบวนการหายใจ และสังเคราะห์แสง ในขณะที่อุณหภูมิต่ำพืชจะเจริญเติบโตช้าเกิดการสะสมน้ำตาลมากทำให้พืชมีเส้นใยน้อย และมีรสชาติมากขึ้น เช่น หอม กระเทียม กะหล่ำปลี จะมีกลิ่นแรงขึ้น
พืชผักที่ต้องการอุณหภูมิเฉลี่ย 15-30 องศาเซลเซียส เช่น ถั่วแขก ถั่วฝักยาว มะเขือเปราะ ข้าวโพดหวาน แตงกวา มะเขือเทศ ฯลฯ
พืชผักที่ต้องการอุณหภูมิเฉลี่ย 13-18 องศาเซลเซียส เช่น หอมหัวใหญ่ กะหล่ำปลี กะหล่ำปม แครอท ผักกาดหอม มันฝรั่ง กะหล่ำดอก ฯลฯ
การเคลื่อนย้ายของอากาศทำให้เกิดลม ในอากาศมีพวกก๊าซต่างๆ อยู่มาก เช่น ก๊าซออกซิเจนซึ่งเป็นวัตถุดิบต่อการหายใจของพืชและ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จะเป็นตัวสำคัญในการปรุงอาหารของพืช
มีผลต่อขบวนการสังเคราะห์แสง
มีผลต่อขบวนการหารใจ
มีผลต่อขบวนการคายน้ำของพืช
มีผลต่อการผสมเกสรของพืช
มีผลต่อการแพร่พันธุ์ของพืช
ธาตุอาหารเป็นปัจจัยหนึ่งในการเจริญเติบโตของพืช ธาตุอาหารที่ให้กับพืชเรียกว่า “ปุ๋ย” ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชซึ่งจะขาดไม่ได้มีทั้งหมด 16 ธาตุ ซึ่งพืชได้รับจากน้ำและอากาศ 3 ธาตุ ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ส่วนธาตุอาหารอีก 13 ธาตุพืชได้รับจากดินทั้งสิ้น โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มธาตุอาหารหลัก (primary nutrient elements) คือ ธาตุอาหารพืชที่ต้องการในปริมาณมาก 3 ธาตุ ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K)
กลุ่มธาตุอาหารรอง (secondary nutrient elements) คือ ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อยกว่ากว่ากลุ่มแรก 3 ธาตุ ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S)
กลุ่มธาตุอาหารเสริม หรือจุลธาตุ (micronutrient elements) คือ ธาตุอาหารที่พืชต้องการในปริมาณน้อย 8 ธาตุ ได้แก่ เหล็ก (Fe), แมงกานีส (Mn), สังกะสี (Zn), ทองแดง (Cu), โบรอน (B), โมลิบดีนัม (Mo), คลอรีน (Cl) และนิเกิล (Ni) นอกจากนั้น พืชบางชนิดยังต้องการธาตุอาหารอื่นๆอีก เช่น โคบอลต์ (Co), โซเดียม (Na), อะลูมิเนียม (Al), แวนาเดียม (Va), ซิลิเนียม (Se), ซิลิก้า (Si) และอื่นๆ
สูญเสียไปกับผลผลิตของพืชที่เก็บเกี่ยวไป
สูญเสียเนื่องจากการชะล้างโดยน้ำ
สูญเสียไปกับการพังทลายของดิน
สูญเสียในรูปของก๊าซ โดยการระเหยออกไปจากดิน
สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ พืช ทั้งบนดินและในดินสามารถแบ่งออกได้ 4 พวกคือ
พวกที่เกาะกินกับพืช (Parasite) ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกับพืชด้วยการเกาะกินพืชที่ปลูกถือว่าเป็นการทำลายพืช สามารถทำให้พืชตายได้ เช่น กาฝาก แมลงศัตรูพืช โรคพืช ไส้เดือนฝอย
พวกที่อยู่ร่วมกับพืชแบบแก่งแย่งกัน ได้แก่ พวกที่แก่งแย่ง น้ำ อาหาร และบังแสง เช่น วัชพืช
พวกที่อยู่อย่างเป็นอิสระต่อพืช พวกนี้ไม่มีผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของพืช แต่มีผลทางอ้อมเช่น จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ
พวกที่อยู่กับพืชแบบพึ่งพาอาศัยกัน ได้แก่ พวกที่อาศัยอาหารจากรากพืชและให้แสงที่มันสังเคราะห์ได้เองแบ่งให้พืชใช้ เช่น แบคทีเรียพวกไรโซเบียมในปมรากถั่วจะสังเคราะห์ก๊าซไนโตรเจนในเซลล์ของมันและแบ่งไนโตรเจนให้พืชใช้ การอยู่ร่วมกันเช่นนี้ ไรโซเบียม จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชที่มันอาศัยอยู่
กาฝาก
วัชพืช
จุลินทรีย์ที่ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ
ไรโซเบียมในปมรากถั่ว