PAST
ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่ไม่เคยลดละในการสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนก็ยังเป็นสิ่งเดิม ๆ ที่เรียกว่า "การจัดการ" ไม่ว่าเครื่องมือจะดีขึ้นสักเพียงใด แต่ผู้คน เมื่อเข้ามาอยู่ในสมการ ความวุ่นวายก็ย่อมจะเกิดขึ้นเสมอ สาเหตุหลัก ๆ แห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้เพราะ"เทคโนโลยีการจัดการโครงสร้าง" ของเรายังอยู่เพียงในระยะเริ่มต้น มันจึงไม่แปลกที่หลาย ๆ ครั้งการทำงาน ไม่ว่าจะทำงานมากเพียงใด แต่ในเมื่อไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมได้ ทุกอย่างที่ทำมาก็ย่อมเป็นได้เท่ากันเพียงการโยนก้อนหินทิ้งลงในแม่น้ำเท่านั้น
ผู้คนที่ยอดเยี่ยม สร้างเครื่องมือที่เยี่ยมยอด น่าเสียดายที่เราไม่สามารถที่จะเก็บเกี่ยว เรียกใช้ข้อมูลจากวิทยาการอันแสนวิเศษเหล่านั้นได้ เมื่อเรามีองค์ความรู้ที่มีขนาดมหึมา เมื่อเรามีความรู้ใหญ่โตจนไม่อาจติดตามได้ว่าวิทยาการต่าง ๆ ที่เราสร้างขึ้นมานั้น ปัจจุบันมีความเป็นไปอย่างไร เมื่อนั้นความสับสนจึงบังเกิดขึ้น เมื่อความสับสนบังเกิด ชุดความรู้ที่เรามีก็ถูกปิดตายและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้การได้
คงไม่เกินไปนักที่จะบอกว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างฟรี ๆ อย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดในความเป็นจริงนี้มันมีราคาชนิดหนึ่ง มันเป็นราคาชนิดที่ทุก ๆ คนต้องจ่ายไม่ว่าจะใครก็ตาม ราคาดังกล่าวเป็นสิ่งสัมบูรณ์ เป็นความตายตัว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ราคาที่กล่าวมานี้เรารู้จักกันในนามที่เรียกว่า "เวลา" เวลาคืออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างจักรวาลและการกระทำ เวลาเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แม้ในเวลาไม่ต้องการ แต่ตัวตนของเวลาก็ยังมีอยู่เสมอ ปัญหาคือ "ในเวลาที่เท่า ๆ กัน เราจะแลกกิจกรรมต่าง ๆ จากจักรวาลอันว่างเปล่านี้ให้มากขึ้นได้อย่างไร?
PRESENT
เราเชื่อว่าสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุดก็คือการสร้างเครื่องมือ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ถูกห้อมล้อมด้วยเครื่องมือทั้งสิ้น มองในแง่มุมหนึ่ง เครื่องมือต่าง ๆ ล้วนมีเพื่อให้มนุษย์ได้ประหยัดเวลาได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถประหยัดเวลาได้อย่างเท่าทวี เราจึงมีแนวคิดที่จะสร้างเครื่องมือของเครื่องมือขึ้นมาอีกขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้เราสามารถควบคุมเครื่องมือที่เรามีหลากหลายไว้ในที่ที่ เดียวกัน ด้วยการผสานของหลากหลายวิทยาการ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี AI / IoT / Virtualization / Cloud Algorithm / Big Data ผนวกกันการวิจัยไม่ไม่หยุดยั้ง ในที่สุด เราก็ได้เทคโนโลยีที่เราเรียกว่า Mission Control ออกมา
เราต้องการสร้างสภาพแวดล้อมที่ผู้คนไม่ต้องสับสนถึงสิ่งที่จะต้องกระทำ ผู้คนไม่ควรจะต้องมาจ่ายเวลาเพียงเพื่อที่จะค้นพบว่าตนนั้นกำลังจะหาอะไร ไม่ต้องสนใจว่าสิ่งที่ตนหานั้นอยู่ ณ แห่งหนไหน เราต้องการสร้างระบบเดี่ยว ระบบแม่ระบบเดียวที่จะรวบรวมทุกอย่างไว้ในระบบศูนย์กลาง ระบบแม่ที่ยึดโยงทุกอย่างให้อยู่ภายใต้การควบคุมจากสถานที่เดียวที่เรียกว่า Neuronautical Bridge พูดได้อีกอย่างหนึ่งคือ Neuronautical Bridge จะเป็นสถานที่ที่ ทุกคนจะสามารถทำงานร่วมกันได้บนระบบแม่ข่ายเพียงระบบเดียว ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำงานในระดับ Management ไปจนถึง Production ทุกคนจะทำงานบน Interface เดียวกันโดย Interface ดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า Control Matrix Logic (CML) CML Interface จะถูกจัดการและแจกจ่ายโดยโครงข่ายหลักอีกทีหนึ่ง ทั้งนี้ ระบบโครงข่ายหลักทำงานได้ด้วยการประมวลผลทางไกลที่เราเรียกว่า Cloud Computation ไม่ต้องพึ่งพาการคำนวณจากระบบภายใน ระบบที่ทำงานอยู่ใน Cloud Computation ดังกล่าวเป็นที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเป็นเครื่องมือแห่งเครื่องมือโดยเฉพาะภายใต้ชื่อ "The Grand Operating Design System +" อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ระบบแม่ The Grand Operating Design System + จะทำหน้าที่แจกจ่ายภาระงานไปยังผู้ทำงานแต่ละคนผ่านระบบ Virtualization Computation ที่เรียกว่า The Hyper-V อีกทีหนึ่ง
WHERE
จากที่เคยใช้ผู้คนอย่างหนักหน่วง เมื่อระบบ Mission Control และ Hyper-V ได้ถูกใช้งานแล้ว เราจะพบว่าแท้จริงแล้วผู้คนที่เคยถูกใช้เพื่อจัดการกับความสับสนวุ่นวายจะหายไปกว่าครึ่ง ภายในศูนย์บัญชาการ Neuronautical Bridge คือที่ที่ทุกอย่างจะโคจรอยู่รายรอบ Neuronautical Bridge จะปรากฏอยู่ภายในห้องขนาดพื้นที่ประมาณ 300 เมตร ที่ด้านหน้าจะปรากฏเป็นบรรดาหน้าจอ Front Row Extension Engine หน้าจอที่เอาไว้ใช้เพื่อการตรวจสอบความเป็นไปในการปฏิบัติการต่าง ๆ Front Ron Extension Engine Display เป็นหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 7 หน้าจอ แสดงผลแผนกต่าง ๆ อันได้แก่ Production | Operation | Logistic และ Management ถัดมาคือบรรดา Operator Desk สำหรับผู้คนที่ทำงานภายในหน้าจอ Hyper V ที่ระบบ Grand Operating Design System + ได้จัดสรรให้จำนวน 10 ชุด ที่บริเวณท้ายห้องเป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่ทำงานในระดับ Management ที่จะสามารถควบคุมลำดับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในระบบ Mission Control ของตน และยังสามารถที่จะ Monitor ความเป็นไปในการปฏิบัติการผ่าน Mission Front Row Extension Engine ที่จะแสดงผลของสถานะความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ภายใต้พื้นที่ 300 ตารางเมตร พื้นที่เดียวที่สามารถมารถควบคุมพื้นที่ที่เหลือได้ทั้งหมด ภายใต้พื้นที่ของ Neuronautical Bridge
WHAT
เจ้าหน้าที่ เมื่อเดินทางมาถึงที่ทำงาน พวกเขาประจำที่ ณ Hyper Desk ของตน ที่ในหน้าจอของ Hyper V พวกเขาเห็นระบบ CML กำลัง Stand by อยู่ วันนี้พวกเขาจะทำงานและใช้เครื่องมือตามลำดับงานอันปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าของพวกเขา โต๊ะ Hyper Desk ประกอบด้วยหน้าจอทั้งสิ้น 3 หน้าจอด้วยกัน ด้านซ้ายเป็น Control Matrix Logic ที่คอยบอกถึงขั้นตอนและวิธีการทำงาน ส่วนอีก 2 หน้าจอ ด้านหน้าและด้านขวามือคือ Desktop ที่มีไว้เพื่อจัดการ งานต่าง ๆ ที่ปรากฏตามรายการอันปรากฏใน CML ให้เสร็จสิ้น เมื่อเห็นลำดับงานแล้ว พวกเขาก็เข้าสู้รายการงานตามปรากฏ บรรดางานที่ถูกจัดการเสร็จแล้ว ระบบ Grand Operating Design System + จะทำการลำเลียงของมูลไปจัดเก็บให้โดยอัตโนมัติ โดยข้อมูลที่ถูกจัดเก็บดังกล่าวจะถูกตรวจสอบโดย Management ได้ในทันทีเมื่อต้องการ หากปรากฏมีความผิดพลาด Management สามารถที่จะทำการสั่งการแก้ไขสู่ Operator ได้เลยในทันที ทั้งนี้ หากข้อมูลถูกต้อง บรรดาข้อมูลจะถูกนำไปแสดงผล และถูกส่งต่อไปยัง Node ต่อ ๆ ไปในระบบโดยอัตโนมัติ แน่นอน เพราะระบบทั้งหมดถูกจัดการอยากเป็นระบบหมดแล้ว ความวุ่นวายย่อมยากที่จะมีที่ยืน ภาพที่เห็นคือ ทั้ง Manager และ Operator ต่างทำงานกันอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว ลดแรงกดดันภายใต้ Neuronautical Bridge ร่วมกันอย่างสันติ มุ่งหน้าสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน
WHEN
ขึ้นอย่างมีนัย การจัดการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นที่ต้องการก็เป็นภาระที่ต้องใช้ทั้งทรัพยากรอันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเงินทุน เวลา กระทั่งผู้คน เราใช้ผู้คนมากมายเพื่อให้มาซึ่งความจัดการอันน้อยนิด มากพอเพียงเพื่อให้ได้คาบเส้นแห่งความต้องการ นั่นคืออดีตที่ผ่านมา
เพราะเราตระหนักรู้ว่าทรัพยากรทุกอย่างมีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงเทคโนโลยี ดังนั้น การนำใช้ซ้ำหรือการ Utilize จึงเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการเพื่อให้ได้มาซึ่งเวลา เวลาซึ่งในตอนท้าย เราจะใช้มันเพื่อพิทักษ์และพัฒนาชีวิต ด้วยเทคโนโลยีและการคิดค้นของเรา เราเลือกที่จะมีปัจจุบันที่แตกต่าง จากการสำรวจ เรารู้ดีว่าการทำงานของผู้คนนั้นส่วนใหญ่เป็นงานที่วนเวียน เป็นการทำซ้ำ เป็นการกระทำที่เกิดจากความชำนาญ ด้วยการเห็นข้อเท็จจริงในพฤติกรรมในการทำงานดังกล่าว เราจึงมุ่งเน้นในการสร้างเทคโนโลยีเพื่อให้การหมุนเวียนข้อมูลขึ้นมา
เริ่มตั้งแต่ระดับฐานข้อมูล ระดับการจัดการองค์กรระดับบุคคล การสื่อสาร ไปจนถึงการผลิตและการลงทุน เราล้วนแต่ใช้เทคโนโลยีที่มีพื้นฐานมาจากการหมุนเวียน ใช้ซ้ำทั้งสิ้น เราเน้น 5 ส่วนในการจัดการข้อมูลอันได้แก่
การชั่ง ตวง วัด
การวิเคราะห์ข้อมูล
การรายงานผลข้อมูล
การทำงานร่วมกัน
การจัดการความรู้
ด้วยการผสานการ Utility และ 5 สิ่งที่เราเน้น ในที่สุดเราระบบ Neuronautical Bridge จึงได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์สูงสุดคือ "การสร้างเวลา"
ในอนาคต เราต้องการที่จะเดินทางต่อไปในโลกที่ล้ำหน้ามากยิ่งขึ้น ด้วยการมองไปยังโลกจักรวาลนิรมิต ในที่ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงการทำงานใน Neuronautical Bridge แบบเสมือนจริงผ่านเทคโนโลยี AR หรือ VR ในอนาคต ผู้คนจะสามารถสื่อสารถึงกันได้ด้วยการใช้ทรัพยากรที่น้อยลง ส่งผลให้การทำงานต่าง ๆ กระทบกระเทือนสิ่งแวดล้อมน้อยลง นั่นหมายถึงการมีโลกที่ยั่งยืน และอนาคตที่รอให้เราค้นพบ
WHY
ปัจจุบัน แม้เราจะสามารถกระเตื้องขึ้นมาได้บ้างเพื่อให้สามารถบริการเชิงรุกได้ ด้วยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเข้ามาเพื่อช่วย แต่ไม่ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจะเร็วขึ้นเท่าไหร่ แต่การกระทำส่วนใหญ่บนเทคโนโลยีดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นการใช้แล้วทิ้งเป็น Single Use Case ล้วนทั้งสิ้น บรรดาข้อมูลมีที่มากมายต่างถูกกองทิ้งไว้ใน HD ที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ซ้ำร้าย เครื่องไม้เครื่องมือที่มีล้วนตกรุ่นในเวลาอันรวดเร็ว ก่อเกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) และปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม การสูญเสียข้อมูลอันมีอย่างที่ได้กล่าวมาเป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าเรายังมีเทคโนโลยีที่ยังไม่สูงพอที่จะสร้างแต้มต่อทางด้านเวลา ซึ่งคือเป้าหมายอันสูงสุด
จริงอยู่ที่การมาถึงของเทคโนโลยี Cloud ต่าง ๆ เช่น Cloud Storage Cloud App Cloud office แม้จะมี แต่ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างการกระจัดกระจายของข้อมูล ข้อมูลอันไร้โครงสร้าง เต็มไปด้วยรูโหว่ด้านความปลอดภัย สร้างความซ้ำซ้อนของพื้นที่จัดเก็บ ซ้ำร้าย ผลที่ได้ยังไม่ได้ดีเท่าบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะด้วย นั่นคือสถานการณ์ในปัจจุบัน
HOW
เมื่อศูนย์ Neuronautical Bridge ก่อตั้งขึ้น เรามีความตั้งใจที่จะเป็นจุดร่วมในการผลักดันให้การให้บริการเพื่อสาธารณะให้ได้มีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด เราต้องการให้บริการด้วยความรวดเร็วภายใต้เงื่อนไขแห่งการหมุนเวียนทรัพยากรระบบ เราไม่มีนโยบายในการแทรกแซงกับผู้คนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงสร้างการทำงานที่ไม่ใช้เครือข่าย The Grand Operating Design System + นอกจากนั้นเรายังมีนโยบายในการเสริมสร้างความปลอดภัยในระบบด้วยการช่องโหว่ด้านการใช้ User Name และ Password ที่หลากหลาย เรายังเชื่อในเรื่องของการแบ่งปัน ดังนั้น ฐานข้อมูลใดที่เราจะสามารถแบ่งปันได้ เราสามารถทำได้ด้วยความรวดเร็วและปลอดภัย
เรามองว่าเราเป็นผู้รับใช้ของผู้รับใช้ เราให้คำจำกัดความเทคโนโลยีของเราว่าเป็นเครื่องมือของเครื่องมือ จุดประสงค์ในการมีอยู่ของเราก็เพื่อพันผูกเครื่องมือที่มีอยู่เข้าด้วยกัน น้อยครั้งเหลือเกินที่เราจะก้าวก่าย เปลี่ยนแปลงชุดความรู้ที่มีอยู่แล้ว สิ่งที่เราต้องการมีเพียงความต้องการที่จะเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เพราะความยึดโยงภายในโครงข่ายอันเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เท่านั้นที่จะช่วยสร้าง "สิ่งหนึ่ง" อันเป็นสิ่งที่ยากที่จะสรรหา นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "ระบบแห่งปฏิบัติการ (System of Operation) "
ในระยะยาว เราเล็งเห็นว่าโครงข่ายเพื่อให้การสนับสนุน Neuronautical Bridge ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าด้าน AI, VR หรือบรรดา Sensor ที่กล่าวมากำลังอยู่ในยุคแห่งการเติบโตด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากนั้น ยังมีผู้คนอีกมากไม่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของระบบแห่งปฏิบัติการ แต่ด้วยการให้ประโยชน์ที่ต่อเนื่อง ยาวนาน ภายใต้งบประมาณที่เป็นไปได้ ไม่นานนัก เช่นเดียวกันเงาจันทร์ สักวันหนึ่ง ผู้คนต้องเหลียวมองเห็นพระจันทร์อย่างแน่นอน
PEOPLE
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะได้รับจาก Neuronautical Bridge คือ "เวลา" เวลา อันเป็นทรัพยากรที่หายากที่สุด และไม่อาจจะทดแทนได้ ด้วยการใช้ Mission Control ในการเข้าถึงชุดความรู้และข้อมูลที่เรามี ที่ดีที่สุดที่เราจะมีได้ก็คือการประหยัดเวลา เวลาซึ่งเมื่อถึงคราว เราเรียกมันว่า "แต้มต่อ"
การใช้เวลาต่อเวลา แน่นอน มันย่อมใช้เวลาเสมอ แต่ในเมื่อเราใช้เวลาไม่มากเท่ากันที่เคยมีมา ดังนั้นเวลาที่เหลืออยู่ก็คือ "แต้มต่อ" ในตอนท้าย และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ
พิจารณาปัจจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีแบบที่ปรากฏในรูปแบบเดียวกันกับระบบ Grand Operating Design System + ใช้ทรัพยากรที่สูงมาก ในขณะที่เราสามารถ “เข้าถึง” เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาได้การใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่าอย่างมีนัย ผนวกกันกับชุดข้อมูลที่เราครอบคลุม ตั้งแต่ระดับ Management ไปจนถึงระดับ Operation และ End User เชื่อเหลือเกินว่าเราคงจะได้ยินเสียงสะท้อนอื้ออึงไม่น้อยในสังคม Data Science เป็นแน่แท้ กระนั้น เพราะเราเล็กเช่นเม็ดทรายในชายหาด เราพัฒนา มุ่งมั่นวิจัยภายใต้กรอบการทำงานของเราเองทั้งสิ้น ดังนั้นหากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง เราก็ดูเหมือนจะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างอยู่ภายใน เหมือนไข่มุกที่อยู่ในหอย ยากแก่ใครต่อใครจะเข้าถึง
STAFFS
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะได้รับจาก Neuronautical Bridge คือ "เวลา" เวลา อันเป็นทรัพยากรที่หายากที่สุด และไม่อาจจะทดแทนได้ ด้วยการใช้ Mission Control ในการเข้าถึงชุดความรู้และข้อมูลที่เรามี ที่ดีที่สุดที่เราจะมีได้ก็คือการประหยัดเวลา เวลาซึ่งเมื่อถึงคราว เราเรียกมันว่า "แต้มต่อ"
การใช้เวลาต่อเวลา แน่นอน มันย่อมใช้เวลาเสมอ แต่ในเมื่อเราใช้เวลาไม่มากเท่ากันที่เคยมีมา ดังนั้นเวลาที่เหลืออยู่ก็คือ "แต้มต่อ" ในตอนท้าย และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ
พิจารณาปัจจัยด้านการวิจัยและพัฒนา เทคโนโลยีแบบที่ปรากฏในรูปแบบเดียวกันกับระบบ Grand Operating Design System + ใช้ทรัพยากรที่สูงมาก ในขณะที่เราสามารถ “เข้าถึง” เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาได้การใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่าอย่างมีนัย ผนวกกันกับชุดข้อมูลที่เราครอบคลุม ตั้งแต่ระดับ Management ไปจนถึงระดับ Operation และ End User เชื่อเหลือเกินว่าเราคงจะได้ยินเสียงสะท้อนอื้ออึงไม่น้อยในสังคม Data Science เป็นแน่แท้ กระนั้น เพราะเราเล็กเช่นเม็ดทรายในชายหาด เราพัฒนา มุ่งมั่นวิจัยภายใต้กรอบการทำงานของเราเองทั้งสิ้น ดังนั้นหากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง เราก็ดูเหมือนจะเป็นจุดเล็ก ๆ ที่ส่องสว่างอยู่ภายใน เหมือนไข่มุกที่อยู่ในหอย ยากแก่ใครต่อใครจะเข้าถึง
PERCIVER
หนึ่งในสิ่งที่ประหยัดเวลาได้ดีที่สุดคือ "ความเชื่อมั่น" ความเชื่อมั่น เกิดมาจากการ "สร้าง" ภารกิจการสร้างความเชื่อมั่นจึงเป็นภารกิจที่มีความท้าทาย ไม่ว่ากับองค์กรใด ๆ การปรากฏของบางสิ่งภายใต้เงื่อนไขเวลาและสถานที่ที่ถูกต้อง บางครั้งสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ Neuronautical Bridge เป็นสถานที่ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการมีอยู่ของระบบแห่งปฏิบัติการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ในการออกแบบ การสร้างภาพลักษณ์อันน่าเชื่อถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราคิดคำนึงถึงเสมอ การออกแบบที่เป็นภาษาเดียวกัน (Design Language) ทั้งโครงสร้าง ตั้งแต่ตัวอาคารไปจนจรด Front Row Extension Engine เป็นข้อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ควบคุมได้เพียงบางส่วน แต่เป็นความสามารถในการควบคุมได้โดยทั้งหมด ด้วยการใช้ภาษาแห่งการออกแบบเดียวกันทั้งในโลกกายภาพและดิจิทัล เชื่อเหลือเกินว่ารูปแบบปรากฏแบบดังกล่าว ไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้โดยทั่ว ๆ ไป แน่นอน บรรดาข้อมูลอันปรากฏ ล้วนเป็นข้อมูลเชิงลึกที่ทำให้ผู้มาเยี่ยมชมจะต้องมีความแปลกใจถึงขึ้นตอน วิธีการ และความเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งอย่างที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ตรงหน้า ข้อมูลทุกอย่างที่ปรากฏอยู่บนหน้าต่างของ Front Row Extension Engine ที่ตั้งตระหง่าน ทำให้ผู้มาเยี่ยมชมมีความมั่นใจว่าเรามีความสามารถในการจัดการข้อมูล อันเป็นทรัพยากรแห่งความสำเร็จอยู่ในการควบคุม การปรากฏให้เห็นได้เป็นประจักษ์นั่น อย่างน้อย ย่อมสร้างความมั่นใจ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดแห่งการเยี่ยมชม
SOCIAL
ความปลอดภัย (Physical and Mental Health) คือสิ่งที่เรายึดถือ ให้ความสำคัญเป็นสิ่งแรก ที่ข้างในของ Neuronautical Bridge ที่ภายในระบบ Mission Control ภาระงานของทุกคนจะถูกจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ด้วยโครงข่ายของ The Grand Operating Design System + เราสามารถที่จะวัด-ตวง-ชั่ง ภาระงานได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว นั่นทำให้เราสามารถที่จะสร้างสมดุลของงานสำหรับผู้ใช้งานได้อย่างมีหลักการ มีเหตุและผล การทำงานอย่างโปร่งใสและแม่นยำคือเป้าหมายสูงสุดที่เราพยายามจะก่อให้เกิดภายใต้ร่มเงาของ Neuronautical Bridge นี้ ด้วยระบบที่มีความพร้อม ด้วยการจัดการผู้คนอย่างมีเหตุ มีผล มีข้อมูลสนับสนุนยืนยัน นั่นจะเป็นช่องทางให้เราได้เดินสู่จุดหมายปลายทางที่เราต้องการให้ผู้ที่ทำงานร่วมกันกับเรา