วัดใหญ่ทักขิณาราม

วัดใหญ่ทักขิณาราม ศิลปะทรงคุณค่าสะท้อนความเป็นมาวิถีชีวิตชุมชน

เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในจังหวัดนครนายก (จากหนังสืออ้างอิงพระพุทธศาสนาในเอเชีย โดยพระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) และบันทึกสยามท้าวสุรนารี โดยพลาดิสัย สิทิธัญกิจ) กล่าวไว้ว่า กรุงศรีสัตนาคนหุตหรือ อาณาจักรล้านช้างได้แก่ ประเทศลาว ขณะนั้นมีนครหลวงพระบางเป็นเมืองหลวง ต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงมาสร้างใหม่อยู่ที่นครเงียงจันทร์ ทั้งสองเมืองมีกษัตริย์เป็นผู้ปกครองเมืองหลวงพระบาง ได้แก่ พระเจ้าสุริยวงสาเป็นผู้ปกครอง ส่วนนครเวียงจันทร์นั้น ได้แก่ พระเจ้าศิริบุญสารเป็นผู้ปกครอง ทั้งสองเมืองนี้ต่างก็ระแวงซึ่งกันและกันและคอยจ้องหาโอกาสแย่งชิงอำนาจกันต่อมาพระเจ้าสุริยวงศาได้ยกกองทัพมาตีนครเวียงจันทร์และล้อมเมืองอยู่ประมาณ 2 เดือนเศษ กองทัพนครเวียงจันทร์ไม่สามารถต้านทานได้ พระเจ้าศิริบุญสารจึงมีหนังสือไปขอพม่ามาช่วยรบ กองทัพทัพหลวงพระบางไม่สามารถตีนครเวียงจันทร์ให้สำเร็จได้ จึงถอยทัพกลับไปยังหลวงพระบาง

ต่อมาความนี้ได้ทราบถึงพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ.2320 พระองค์ทรงพิโรธพระเจ้าศิริบุญสาร โดยถือว่าเป็นการดูหมิ่นไม่ปฏิบัติตามพระราชประเพณีจึงรับสั่งให้สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึกเป็นแม่ทัพใหญ่พร้อมด้วย เจ้าพระยาสุรสีห์ นำกองทัพขึ้นไปชุมพลอยู่ที่เมืองนครราชสีมา แล้วให้พระยาสุรสีห์ แยกไปทางกัมพูชาเพื่อเกณฑ์พลเขมรให้ช่วยกันต่อเรือรบ เพื่อให้ล่องไปตามลำน้ำโขงและเกณฑ์พลลาวพลเขมรช่วยกันขุดคลองอ้อมแก่งลี่ผี เสร็จแล้วยกทัพเรือมาตามคลองจำปาศักดิ์ แล้วทำการตีเอาเมืองนครพนมและเมืองหนองคายได้ทั้งสองเมืองแล้วมุ่งหน้าไปสู่นครเวียงจันทร์ ขณะนั้นเจ้าสุริยวงศาเมื่อรู้ข่าวว่ากองทัพไทยยกมาตีนครเวียงจันทร์จึงให้แม่ทัพยกกำลังมาช่วยไทยตีนครเวียงจันทร์โดยเข้าตีทางด้านเหนือ เจ้าพระยาสุรสีห์เข้าตีเอาเมืองพระโคและเมืองเวียงคุได้ในที่สุด สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกยกกองทัพใหญ่มาตีเอาเมืองพรานพร้าวได้แล้วตั้งค่ายล้อมนครเวียงจันทร์ เอาไว้ 4 เดือนเศษจึงตีเอานครเวียงจันทร์ไว้ในอำนาจได้

เมื่อ พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า ได้ตีเอากรุงศรีสัตนาคนหุตได้แล้ว และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางพระพุทธรูปสำคัญกลับคืนมา ส่วนพระเจ้าศิริบุญสารนั้นหนีรอดการจับกุมไปได้โดยนำเจ้าพรหมวงศ์โอรสองค์ที่สี่หนีไปยังเมืองคำเกิด สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงมีรับสั่งให้กองทัพไทยรับกลับพระนครการชนะศึกครั้งนี้ กองทัพไทยได้ยึดเอาทรัพย์สมบัติศาตราวุธช้างม้าได้เป็นอย่างมาก ตลอดจนครอบครัวชาวเมืองและพระวงศานุวงศ์ ได้แก่ พระโอรส พระธิดาของพระเจ้าศิริบุญสาร คือ เจ้านันทเสน เจ้าอินทวงศ์ เจ้าอนุวงศ์(เจ้าพรหมวงศ์หนีไปกับพระเจ้าศิริบุญสาร)พระธิดาคือ เจ้าแก้วยอดฟ้าหรือเจ้าหญิงเขียวค่อม ได้ถูกนำตัวมายังพรุงเทพพร้อมกับเชลยศึก

เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้กวาดต้อนประชาชนชาวลาวมายังประเทศไทยแล้วส่วนหนึ่งได้นำมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่จังหวัดนครนายก เรียกว่า บ้านใหญ่ลาว ประมาณ 3-4 ร้อยหลังคาเรือนเมื่อตั้งหลักแหล่งแล้วก็ช่วยกันสร้างวัด เรียกว่า วัดใหญ่ลาว (จากหนังสือรับรองสภาพการสร้างวัดของกรมการศาสนา) เมื่อ พ.ศ. 2323 ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 วัดได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดใหญ่ทักขิณาราม จนถึงปัจจุบัน สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ อุโบสถเก่าแก่ซึ่งสร้างโดยฝีมือชาวเวียงจันทร์มีอายุกว่า 200 ปี กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2539 และกรมศิลปากรร่วมกับทางวัดได้ทำการบูรณะอุโบสถให้มีสภาพเหมือนเดิม เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2546แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2546

ตำแหน่งที่ตั้ง : ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองนครนายก ที่อยู่เลขที่ 395 บ้านใหญ่ ต.บ้านใหญ่ อ.เมืองนครนายก จ.นครนายก

การเดินทาง : จากทางหลวงหมายเลข 3049 ใกล้กับร้านศรีสุนีย์ ให้เลี้ยวเข้าไปตามป้ายบ้านท่าข่อย จากนั้นจะพบป้ายเลี้ยวขวาเข้าซอยวัด

ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดย พระครูโอภาสญาณคุณ ตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดใหญ่ทักขิณาราม

ภาพถ่าย โดย นางสาวฐิติกานต์ อินไชยะ