สุนทรียะ (Aesthetics) หมายถึง ความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่สวยงาม รูปลักษณะประกอบด้วยความสวยงาม (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 : 541)
นอกจากนี้ยังผู้ให้ความหมายของคำว่า “สุนทรียะ” ไว้ต่าง ๆ กันดังนี้
หลวงวิจิตรวาทการ ได้อธิบายความหมายไว้ว่าความรู้สึกธรรมดาของคนเรา ซึ่งรู้จักคุณค่าของวัตถุที่งามความเป็นระเบียบเรียบร้อยของเสียงและถ้อยคำไพเราะความรู้สึกความงามที่เป็นสุนทรียภาพนี้ย่อมเป็นไปตามอุปนิสัยจากการอบรม และการศึกษาของบุคคล ซึ่งรวมเรียกว่า รส (Taste) ซึ่งความรู้สึกนี้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ปรนปรือ ในก่ารอ่าน การฟัง และการพินิจดูสิ่งที่เป็นธรรมชาติ หรือศิลปะ
อารี สุทธิพันธ์ุ ได้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ “สุนทรียศาสตร์”ไว้ 2 ประการ ดังนี้
1. วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ของมนุษย์ ซึ่งทำให้มนุษย์เกิดความเบิกบานใจอิ่มเอมโดยไม่หวังตอบแทน
2. วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิชาที่มนุษย์สร้างขึ้นทุกแขนง นำข้อมูลมาจัดลำดับเพื่อเสนอแนะให้เห็นคุณค่า ซาบซึ้งในสิ่งที่แอบแฝง
ซ่อนเร้น เพื่อสร้างความนิยมชมชื่นร่วมกัน ตามลักษณะรูปแบบของผลงานนั้น ๆ
ความหมายของคำว่า “สุนทรียะ”หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีความซาบซึ้ง และเห็นคุณค่าในสิ่งดีงาม และไพเราะจากสิ่งที่เกิดขึ้ ตามธรรมชาติ หรืออาจเป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีต ซึ่งมนุษย์สัมผัสและรับรู้ได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ จนเกิดความพึงพอใจ ความประทับใจและทำให้เกิดความสุข จากสิ่งที่ตนได้พบเห็นและสัมผัส
ความหมายของคำว่า “นาฏศิลป์” หมายถึงศิลปะแห่งการละครหรือการฟ้อนรำ (พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2534 :279) นอกจากนี้ยังให้ความหมายของคำว่า”นาฏศิลป์” ไว้ต่าง ๆ กันดังนี้
ธนิต อยู่โพธิ์ได้แปลคำว่า “นาฏศิลป์” ไว้ว่า คือความช่ำชองในการละครฟ้อนรำด้วยความเห็นว่าผู้ที่มีศิลปะที่เรียกว่าศิลปิน จะต้องเป็นผู้มีฝีมือมีความช่ำชองชขำนาญในภาคปฏิบัติให้ดีจริง ๆ
ความหมายของคำว่า “นาฏศิลป์” ที่ได้กล่าวมานั้น สรุปได้ว่า หมายถึงศิลปะในการฟ้อนรำที่มนุษย์สร้างขึ้นจากธรรมชาติ และจากความคำนึงด้วยควาการฟ้อนรำงดงามประทับใจ
“สุนทรียะทางนาฏศิลป์” หมายถึง ความวิจิตรงดงามของการแสดงนาฏศิลป์สากล ซึ่งประกอบไปด้วยระบำ รำ ฟ้อน ละคร อันมีลีลาท่ารำและการเคลื่อนไหว ที่ประกอบด้วยดนตรี บทร้องตามลักษณะและชนิดของการ แสดงแต่ละประเภท
นาฏศิลป์มีรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกัน ทั้งที่เป็นการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรำ และการแสดงในรูปแบบของละครแต่ละประเภทจึงแตกต่างกัน ดังนี้
1. นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปของการฟ้อนรำ เกิดจากสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายในโลก เมื่อมีความสุขหรือความทุกข์ก็แสดงกิริยาอาการออกมาตามอารมณ์และความรู้สึกนั้น ๆ โดยแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางเคลื่อนไหว มือ เท้า สีหน้า และดวงตาที่เป็นไปตาม ธรรมชาติ รากฐานการเกิดนาฏศิลป์ในรูปแบบของการฟ้อนรำพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ ดังนี้
1.1 เพื่อใช้เป็นพิธีการทางศาสนา มนุษย์เชื่อมีผู้บันดาล ให้เกิดความวิยัติต่าง ๆ หรือเชื่อว่ามีผู้ที่สามารถบันดาลความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิตของตนซึ่งอาจเป็นเทพเจ้า หรือปีศาจตามความเชื่อของแต่ละคนจึงมีการเต้นรำหรือฟ้อนรำ เพื่อเป็นการอ้อนวอนหรือบูชา ต่อผู้ที่ตนเชื่อว่ามีอำนาจดังกล่าว
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพฯ ได้อธิบายในหนังสือตำรา ฟ้อนรำว่า ชาติโบราณทุกชนิด ถือการเต้นรำหรือฟ้อนรำเป็นประจำชีวิตของทุกคน และยังถือว่าการฟ้อนรำเป็นพิธีกรรมทางศาสนาด้วย สำหรับประเทศอินเดียนั้น มีตำราฟ้อนรำฝึกสอนมาแต่โบราณกาล เรียกว่า “คัมภีร์นาฏศิลป์ศาสตร์"
1.2 เพื่อใช้ในการต่อสู้และ การทำสงคราม เช่น ตำราคชศาสตร์ เป็นวิชาชั้นสูง สำหรับการทำสงครามในสมัย โบราณ ผู้ที่จะทำสงครามบนหลังช้างจำเป็นต้องฝึกหัดฟ้อนรำให้เป็นที่สง่างามด้วยเช่นกัน แม้แต่พระจ้าแผ่นดินก็ต้องทรงฝึกหัดการฟ้อนรำบนหลังช้างในการทำสงครามเช่นกัน
1.3 เพื่อความสนุกสนานรื่นเริง การพักผ่อนหย่อนใจเป็นความต้องการของมนุษย์ ในเวลาว่างจากการทำงาน ก็จะหาสิ่งที่จะทำให้ตนและพรรคพวกได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน คลายความเหน็ตเหนื่อย เนื่องจากการร้องรำทำเพลงเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน ดังนั้นจึงมีการรวมกลุ่มกันร้องเพลงและร่ายรำไปตามความพอใจของพวกตน ซึ่งอาจมีเนื้อร้องที่มีสำเนียงภาษาของแต่ละท้องถิ่น และท่วงทำนองเพลงที่เป็นไปตามจังหวะประกอบท่าร่ายรำแบบง่าย ๆ ซึ่งได้พัฒนามาจนเกิดเป็นการแสดงนาฏศิลป์รูปแบบของการฟ้อนรำของแต่ละท้องถิ่นเรียกว่า “รำพื้นเมือง”
2. นาฏศิลป์ที่แสดงในรูปแบบของละคร มีรากฐานบมาจากความต้องการของมนุษย์ที่จะถ่ายทอดประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับมนุษย์ที่เป็นความประทับใจ ซึ่งสมควรแก่การจดจำ หรืออาจมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ศาสนาและสอนศีลธรรม เพราะการสร้างในรูปแบบของละคร เป็นวิธีการที่ง่ายต่อความเข้าใจ แต่ยากที่ใช้ในการอบรมสั่งสอนด้วยวิธีการรอื่น จึงมีการสร้างเรื่องราว หรือบันทึกเหตุการณ์ทับใจ และมีคุณค่านั้นไว้เป็นประวัติศาตสาตร์ในรูปแบบของการแสดงละคร เพราะเชื่อว่าการแสดงละครเป็นวิธีการหนึ่งของการ สอนคติธรรม โดยบุคลธิษฐานในเชิงอุปมาอุปไมย อาจกล่าวได้ว่ารากฐานการเกิดของนาฏศิลป์ไทยตามข้อสันนิษฐานที่ได้กล่าวมานั้นทั้งการแสดงในรูปแบบของการฟ้อนรำอและการแสดงในรูปแบบของการละครได้พัฒนาขึ้นตามลำดับ จนกลายเป็นแบบแผนของการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่มีความเป็นเอกลักษณ์เด่นชัด
แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
https://en.wikipedia.org/wiki/Dance_in_Thailand
https://www.youtube.com/watch?v=7KL0AycxEDk