หมายถึง คำอธิบาย คำจำกัดความ ขอบเขต บทบาท และรูปลักษณ์ของนาฏศิลป์ซึ่งล้วนแสดงความหมายของนาฏศิลป์ที่หลากหลาย อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่านาฏยศิลป์มีความสำคัญ เกี่ยวข้องกับชีวิตและสังคมที่ตั้งแต่อดีตกาล
นิยาม ในส่วนนี้เป็นการกล่าวถึง ความหมายของนาฏยศิลป์ หรือการฟ้อนรำที่ปราชญ์และนักวิชาการ ได้พยายามอธิบายคำว่านาฏศิลป์ไว้ในแง่มุมต่าง ๆ ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงกำเนิดและวิวัฒนาการของนาฏศิลป์ที่ผูกพันกับมนุษย์ ดังนี้
“การฟ้อนรำเป็นประเพณีของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษา ไม่เลือกว่าจะอยู่ ณ ประเทศถิ่นสถานที่ใดนพิภพนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงแม้สัตว์เดรัจฉานก็มีวิธีฟ้อน เช่น สุนัข ไก่กา เวลาใดสบอารมณ์ มันก็จะเต้นโลดกรีดกรายทำกิริยาท่าทางได้ต่าง ๆ ก็คือการฟ้อนรำตามวิสัยสัตว์นั้นเอง ปราชญ์แห่งการฟ้อนรำจึงเล็งเห็นการฟ้อนรำนี้มูลรากเกิดแต่วิสัยสัตว์เมื่อเวทนาเสวยอารมณ์ จะเป็นสุขเวทนาก็ตามหรือทุกขเวทนาก็ตาม ถ้าเสวยอารมณ์แรงกล้าไม่กลั้นไว้ได้ ก็แล่นออกมาเป็นกิริยาให้เห็นปรากฎยกเป็นนิทัศนอุทาหรณ์ ดังเช่น ธรรมดาทารก เวลาอารมณ์เสวยสุขเวทนาก็เต้นแร้งเต้นกาเต้นแฉ่งสนุกสนาน ถ้าอารมณ์เสวยทุกขเวทนาก็ดิ้นโดยให้แสดงกิริยาปรากฏออกให้รู้ว่าอารณ์เป็นอย่างไร ยิ่งเติบโตรู้เดียงสาขึ้นเพียงไร กิริยาที่อารมณ์เล่นออกมาก็ยิ่งมากมายหลายอย่างออกไป จนถึงกิริยาที่แสดงความกำหนัดยินดีในอารมณ์ และกิริยาซึ่งแสดงความอาฆาค โกรธแค้น เป็นต้น กิริยาอันเกิดแต่เวทนาเสวยอารมณ์นี้นับเป็นขั้นตอนของการฟ้อนรำ
ต่อมาอีกขั้นหนึ่งเกิดแต่คนทั้งหลายรู้ความหมายของกิริยาต่าง ๆ เช่น กล่าวมาก็ใช้กิริยาเหล่านั้นเป็นภาษาอันหนึ่ง เมื่อประสงค์จะแสดงให้เห็นปรากฎแก่ผู้อื่นโดยใจการฟ้อนรำจริงก็ดี หรือโดยมายา เช่น ในเวลาเล่นหัวก็ดี ว่าตนมีอารมณ์อย่างไร ก็แสดงกิริยาอันเป็นเครื่องหมายอารมณ์อย่างนั้น เป็นต้นว่าถ้าแสดงความเสน่หา ก็ทำกิริยายิ้มแย้มกรีดกราย จะแสดงความรื่นเริงบันเทิงใจก็ขับร้องฟ้อนรำ จำขู่ให้ผู้อื่นกลัวก็ทำหน้าตาถมึงทึงแลโลดเต้นคุกคาม จึงเกิดแบบแผนท่าทางที่แสดงอารมณ์ต่าง ๆ อันเป็นต้นกระบวนการฟ้อนรำขี้นด้วยประการนี้นับเป็นขั้นที่สอง
อันประเพณีการฟ้อนรำจะเป็นสำหรับฝึกหัดพวกที่ประกอบการหาเลี้ยงชีพ ด้วยรำเต้น เช่น โขน ละคร เท่านั้นหามิได้ แต่เดิมมาย่อมเป็นประเพณีสำหรับบุคคลทุกชั้นบรรดาศักดิ์และมีที่ใช้ไปจนถึง การยุทธ์และการพิธีต่างๆหลายอย่าง จะยกตัวอย่างแต่ประเพณี การฟ้อนรำที่มีมาแต่สยามประเทศของเรานี้ ดังเช่นในตำราคชศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาชั้นสูงสำหรับการรณรงค์สงครามแต่โบราณ ใครหัดขี่ช้างชน ก็ต้องหัดฟ้อนรำให้แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องฝึกหัดมีตัวอย่างมาจนถึงรัชกาลที่ 5 เมือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาคชศาสตร์ต่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบ ปรปักษ์ ก็ได้ทรงหัดฟ้อนรำ ได้ยินเคยทรงรำพระแสงขอบนคอช้างพระที่นั่งเป็นพุทธบูชาเมื่อครั้งเสด็จพระพุทธบาทตามโบราณ ราชประเพณี เมื่อ พ.ศ. 2412 การฟ้อนรำในกระบวนยุทธอย่างอื่น เช่น กระบี่กระบองก็เป็นวิชาเจ้านายต้องทรงฝึกหัดมาแต่ก่อน ส่วนกระบวนฟ้อนรำในการพิธี ยังมีตัวอย่างทางหัวเมืองมณฑลภาคพายัพ ถ้าเวลามีงานบุญให้ทานเป็นการใหญ่ก็เป็นประเพณีที่เจ้านายตั้งแต่เจ้าผู้ครองนครลงมาที่จะฟ้อนรำเป็นการแสดงโสมนัสศรัทธาในบุญทาน เจ้านายฝ่ายหญิงก็ย่อมหัดฟ้อนรำและมีเวลาที่จะหัดฟ้อนรำในการพิธีบางอย่างจนทุกวันนี้ ประเพณีต่าง ๆ ดังกล่าวมา ส่อให้เห็นว่า แต่โบราณย่อมถือว่าการฟ้อนรำเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษา ซึ่งสมควรจะฝึกหัดเป็นสามัญทั่วมุมทุกชั้นบรรดาศักดิ์สืบมา
การที่ฝึกหัดคนแต่บางจำพวกให้ฟ้อนรำ ดังเช่น ระบำหรือละครนั้น คงเกิดแต่ประสงค์จะใคร่ดูกระบวนฟ้อนรำ ว่าจะงามได้ถึงที่สุดเพียงไร จึงเลือกสรรคนแต่บางเหล่าฝึกฝน ให้ชำนิชำนาญเฉพาะการฟ้อนรำ สำหรับแสดงแก่คนทั้งหลายให้เห็นว่าการฟ้อนรำอาจจะงามได้ถึงเพียงนั้น เมื่อสามารถฝึกหัดได้สมประสงค์ก็ต้องเป็นที่ต้องตาติดใจคนทั้งหลาย จึงเกิดมีนักรำขึ้นเป็นพวกที่หนึ่งต่างหาก แต่ที่จริงวิชาฟ้อนรำก็มีแบบแผนอันเดียวกับที่เป็นสามัญแก่คนทั้งหลายทุกชั้นบรรดาศักดิ์”
ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของนาฏศิลป์ ไว้กว้าง ๆ ตลอดจนกำหนดการออกเสียงไว้ใน พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 ดังนี้
“นาฏ, นาฎ - [นาด, นาตะ - นาดตะ-] น. นางละคร, นางฟ้อนรำ, ไทยใช้หมายถึง หญิงสาวสวย เช่น นางนาฏ นุชนาฏ (ป.; ส.)
นาฏกรรม [นาดตะกำ] น. การละคร, การฟ้อนรำ
นาฏดนตรี [นาดตะดนตรี] น. ลิเก
นาฏศิลป์ [นาดตะสิน] น. ศิลปะแห่งการละครหรือฟ้อนรำ
นาฏก [นาตะกะ (หลัก), นาดตะกะ (นิยม)] น. ผู้ฟ้อนรำ. (ป.;ส.)
นาฏย [นาดตะยะ-] ว. เกี่ยวกับการฟ้อนรำ. เกี่ยวกับการแสดงละคร (ส)
นาฏยเวที น. พื้นที่แสดงละคร ฉาก
นาฏยศาลา น. ห้องฟ้อนรำ, โรงละคร
นาฏยศาสตร์ น. วิชาฟ้อนรำ, วิชาแสดงละคร”
ธนิต อยู่โพธิ์ ได้อธิบายความหมายของนาฏยศิลป์ ดังที่ปรากฏในคัมภีร์อินเดีย ไว้ดังนี้
“คำว่า “นาฏย” ตามคัมภัร์อภิอธานัปปทีปิกาและสูจิ ท่านได้วิเคราะห์ศัพท์ว่า “นฏสเสตนตินาฏย” ความว่า ศิลปะของผู้ฟ้อนผู้รำ เรียกว่า นาฏย และให้อรรถาธิบายว่า “นจจ วาทิต คีต อิท ตุริยติก นาฏยนาเมนุจจเต” แปลว่าการฟ้อนรำ การบรรเลง (ดนตรี) การขับร้อง หมวด 3 แห่ง ดุริยะนี้ ท่าน (รวม) เรียกโดยชื่อว่า นาฏย ซึ่งตามนี้ท่านจะเห็นได้ว่า คำว่า นาฏะ หรือ นาฏยะ นั้น การขับร้อง 1 หรือพูดอย่างง่าย ๆ ก็ว่าคำ “นาฏยะ” นั้นมีความหมายรวมทั้งฟ้อนรำขับร้องและประโคมดนตรีด้วย ไม่ใช่มีความหมายแต่เฉพาะศิลปฟ้อนรำอย่างเดียวดังที่บางท่านเข้าใจ แม้จะใช้คำว่าหมวด 3 แห่งตุริยะ หรือตุริยะ 3 อย่าง แสดงให้เห็นว่าใช้คำว่า “ตุริยะ” หมายถึง เครื่องตีเป่า แต่แปลงกันว่า “ดนตรี” ก็ได้ นี่ว่าตามรูปศัพท์ แท้ที่จริงแม้ในวิธีปฏิบัติศิลปินจะรับระบำรำฟ้อนไปโดยไม่มีดนตรีและขับร้องประกอบเรื่องและให้จังหวะ ไปด้วยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้และไม่เป็นศิลปะที่สมบูรณ์ ถ้าขาดดนตรีและขับร้องเสียแล้ว แม้ในส่วนศิลปะของการฟ้อนรำเองก็ไม่สมบูรณ์ในตัวของมัน พระภรตมุนี ซึ่งศิลปินทางโขน ละคร พากันทำศีรษะของท่านกราบไหว้บูชา เรียกกันว่า “ศรีษะฤๅษี” นั้นมีตำนานว่าท่านเป็นปรมาจารย์แห่งศิลปะ ทางโขน ละคร ฟ้อนรำมาแต่โบราณ เมื่อท่านได้แต่งคัมภีร์นาฏยศาสตร์ขึ้นไว้ ก็มีอยู่หลายบริเฉท หรือหลายบทในคัมภีร์นาฏยศาสตร์นั้น ท่านได้กล่าวถึงและวางกฎเกณฑ์ในทางดนตรีและขับร้องไว้ด้วย และท่านศารงคเทพ ผู้แต่งคัมภีร์สังคีตรัตนากรอันเป็นคัมภีร์ที่ว่าด้วยการดนตรี อีกท่านหนึ่งเล่าก็ปรากฏว่าท่านได้วางหลักเกณฑ์และอธิบายศิลปะทางการละครฟ้อนรำ ไว้มากมายในคัมภีร์นั้น เป็นอันว่าศิลปะ 3 ประการคือ ฟ้อนรำ 1 ตนตรี 1 ขับร้อง 1 เหล่านี้ต่างต้องประกอบอาศัยกัน คำว่านาฏยะ จึงมีความหมายรวมเอาศิลปะ 3 อย่างนั้นไว้ไงศัพท์เดียวกัน”
แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม
https://dict.longdo.com/search/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8F
https://en.wikipedia.org/wiki/Dance_in_Thailand
http://factsanddetails.com/southeast-asia/Thailand/sub5_8e/entry-3262.ht
https://www.youtube.com/watch?v=1WvUMDPwiJs
https://en.wikipedia.org/wiki/Dance_in_Thailand