การทอเสื่อกก
ข้อมูลส่วนตัวของผู้ประกอบภูมิปัญญาท้องถิ่น
นางประยูร ภิญโญ ปัจจุบันอายุ 64 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 61 บ้านห้วยก่องข้าว หมู่ที่ 11 ตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย
เดิมที นางประยูร ภิญโญ ก่อนที่ได้จะมาทำการทอเสื่อกก มีอาชีพเกษตรกรและรับจ้างทั่วไป ซึ่งรายได้จะได้เฉพาะฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต และรายรับไม่พอกับรายจ่าย จึงคิดอยากทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกทาง โดยตนเองมีความรู้ความสามารถในการทอเสื่อกกอยู่แล้ว โดยใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นคือต้นกก นำมาทอเสื่อกก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในทอเสื่อซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นยาย จึงรวมกลุ่มแม่บ้านในชุมชนประมาณ 4-5 คน ช่วยกันหาวัสดุ ต้นกก ที่มีในชุมชน วัสดุ อุปกรณ์ มาทอเสื่อกกภายในกลุ่ม เริ่มขายภายในชุมชนและออกขายตามตลาดนัดทั่วไป โดยสมาชิกในกลุ่มก็ได้ไปต่อยอดเรียนรู้เรื่องลวดลายเพิ่มเติม ทำให้มีคนรู้จักมากขึ้นและมียอดสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้สมาชิกในกลุ่มมีรายได้เสริมและเพียงพอต่อการใช้จ่ายในครอบครัว
ประวัติความเป็นมาของภูมิปัญญาท้องถิ่น
การทอเสื่อกก เป็นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น ที่นำเอาต้นกกมาแปรสภาพให้เป็นเส้น ย้อมสี แล้วสานทอให้เป็นแผ่นผืน เพื่อนำมาใช้ปูลาดรองนั่งหรือนอน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ตลอดจนทำพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อ
เสื่อกก เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีใช้กันอยู่ทั่วไปทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ทั้งนี้เพราะต้นกก เป็นพืช ธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ทั่วทุกภูมิภาคและภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่นที่นำต้นกกมาแปรสภาพ ก็มีลักษณะคล้ายกัน หรือได้อิทธิพลทางความคิดจากกันและกันทำให้เสื่อกกถูกจัดได้ว่าเป็นปัจจัยจำเป็นอย่างหนึ่ง ต่อการดำรงชีวิต ของผู้คนในอดีต การทอเสื่อ เป็นไปเพื่อการใช้สอยในครัวเรือน โดยท้องถิ่นใดมีต้นกกก็ทอเสื่อกก ท้องถิ่นใดมีต้นกระจูดก็ทอเสื่อกระจูด เสื่อในอดีตเป็นของใช้ ที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับปูนั่งหรือนอน จนถึงกับมีคำกล่าว ว่าบ้านใดไม่มีเสื่อใช้ถือว่า พ่อ แม่ลูก เกียจคร้าน ไม่มีฝีมือ หนุ่มสาวที่แต่งงานตั้งครอบครัวใหม่หรือขึ้นเรือน ใหม่จะต้องเตรียมที่นอน หมอน มุ้ง ส่วนเสื่อฝ่ายหญิงจะจัดเตรียมทอสะสมไว้เป็นของขึ้นเรือน นอกจากนี้ยังทอเพื่อถวายเป็นไทยทานให้กับวัด เพื่อบำรุงศาสนาในฤดูเทศกาลต่างๆ และยังนำเสื่อที่ทอไปซื้อขายแลกเปลี่ยน กับหมู่บ้านใกล้เคียง อีกด้วยส่วนในด้านการอนุรักษ์และถ่ายทอด ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวนโยบายของรัฐบาล ทำให้ชุมชนเล็งเห็น ความสำคัญของภูมิปัญญาของท้องถิ่น มีการเชิญให้ผู้ประกอบการ เป็นวิทยากรสอนความรู้แก่นักเรียนในชุมชน และผู้สนใจทั่วไป จนกระทั่งบางโรงเรียนสร้างเป็น หลักสูตรการเรียนรู้ด้านการทอเสื่อให้แก่นักเรียนดังที่พบเห็นได้โดยทั่วไปตามแหล่งข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการทอเสื่อ
ขั้นตอนหรือวิธีการที่สำคัญๆ มีดังนี้
1. การปลูกกกหรือทำนากก นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างวัสดุในการทอเสื่อ โดยเตรียมที่ดินด้วยการไถ แล้วปักดำหัวกกลงในนาเหมือนการดำนาข้าว จากนั้นมีการบำรุงรักษาถอนหญ้าใส่ปุ๋ย ปลูกแซม ด้วยเวลา 3-4เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้
2. การตัดต้นกกจะใช้มีดเล็กตัดเกือบถึงโคนต้นกก แล้วนำมากองเรียงเพื่อคัดแยกขนาด ตั้งแต่
ความยาว 9 คืบ 8 คืบ เรื่อยลงมา จนถึง 4 คืบ จากนั้นนำแต่ละกองที่มีขนาดเท่ากันมัดเก็บ
ไว้ด้วยกันตัดดอกทิ้งเพื่อทา การกรีดเป็นเส้น
3. การกรีดจะใช้มีดปลายแหลมที่ทำมาจากใบเลื่อย กรีดแบ่งครึ่งกกแต่ละเส้นถ้าเป็นต้นเล็ก ถ้าเป็นต้นใหญ่ก็กรีดเหมือนกัน แต่จะมีส่วนที่กรีดทิ้ง เพื่อให้แห้งง่าย
4. หลังจากได้เส้นกกแล้วก็นำไปตากโดยแผ่วางเรียงเป็นแนวยาว วันแรกจะตากเต็มวัน จากนั้น นำมามัดเป็นมัดเล็กๆ แล้วตาก อีกราว 2 วัน ให้เส้นกกนั้นแห้ง
5. การย้อมสีนำกกที่ตากแห้งแล้วมามัดแช่น้ำ ราว 10 ชั่วโมง เพื่อให้เส้นกกนิ่ม จากนั้นต้มน้ำ ให้เดือดใส่สีย้อมแล้วนำเส้นกกที่มัดเป็นกำแช่ลงไปในน้ำสีที่กำลังเดือดทิ้งไว้10-15 นาทีจึง
นำไปแช่น้ำ แล้วนำขึ้นตากในที่ร่มมีลมพัดผ่าน 3-4 วัน เมื่อเส้น กกสีแห้ง ก็สามารถนำไปใช้ในการทอได้
6. การทอจะร้อยเส้นเอ็นกับฟืมเป็นเส้นยืนตามขนาดของคืบที่กำหนด แล้วใช้เส้นกกใส่กระสวยทอเรียงเป็นเส้นนอนคล้ายการทอผ้า การใส่ลายสีในการทอนิยมใส่ตอนแรกและตอนสุดท้ายของการทอ เมื่อจะเต็มผืน
7. เมื่อทอได้เต็มก็มัดริมเสื่อ ตัดเสื่อออกจากกี่และตัดริมอีกครั้งพร้อมแต่งเสื่อให้มีความเรียบร้อยสวยงาม
8. ส่วนราคาในการขาย ถ้าเป็นเสื่อกกแบบธรรมดา 5 คืบ ผืนละ 80 บาท, 6 คืบ ผืนละ 100 บาท, 7คืบ ผืนละ 120 บาท, 8 คืบ ผืนละ 150 บาท และ 9 คืบ ผืนละ 180 บาท ถ้าเป็นเสื่อกกแบบสีจะทำ ตั้งแต่ 7 คืบ ในราคาผืนละ 250 บาท, 8 คืบ ผืน ละ 1300 บาท และ
9 คืบ ผืนละ 1,350 บาท
การทอเสื่อกกของชาวบ้านห้วยก่องข้าว ตำบลผานกเค้า มีการทำสืบทอดกันมายาวนานนับตั้งแต่แรกเริ่มตั้งหมู่บ้านและถ่ายทอดอารยธรรมทางปัญญาสืบต่อๆ กันมาทางระบบครอบครัวจากรุ่นสู่รุ่นจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ด้วยมูลเหตุทางด้านภูมิศาสตร์ พื้นที่ในชุมชนมีต้นกกขึ้นแต่แรกและมีการทำนากก เพื่อเก็บรักษาวัตถุดิบธรรมชาติไว้ใช้ในการทอเสื่อสืบต่อกันมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้ความรู้ในภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ดำรงอยู่สืบมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันการทำนากกบางครอบครัวยึดถือเป็นอาชีพหลักนอกเหนือจากการทำนาข้าว หรือเกษตรกรรมอื่นๆ ทั้งนี้เพราะสามารถขายผลผลิตที่เป็นกกสดหรือกกเส้นแก่ผู้ทอรายอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี กระทั่งมีพ่อค้ารับส่งถึงที่เพื่อไปขายให้แก่ผู้ทอในจังหวัดอื่นๆ
เนื่องจากความรู้เกี่ยวกับการทอเสื่อกก เป็นพื้นฐานความรู้ที่เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ที่ทำเพื่อไว้ใช้และทำเหลือจากใช้ไว้ขายเป็นรายได้เสริม เด็กๆ ได้ซึมซับรับรู้กรรมวิธีและขั้นตอนการทำ การทอนี้มาตลอดเมื่อโตพอก็จะได้รับการฝึกฝนจนเป็นทักษะและความชำนาญและกลายเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ไปในที่สุด แม้ปัจจุบันจะมีกระแสค่านิยมในอาชีพตามโรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นทางเลือก ก็ยังมีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่พึงพอใจจะอยู่สืบสานงานอาชีพด้านเกษตรกรรม และการทอเสื่อกกจากบรรพชนอยู่กับบ้านอีกทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ก็ไม่เคยปล่อยเวลาว่างให้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ ด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือล้วนอยู่ใกล้ตัว เพียงหยิบฉวยเส้นกกขึ้นสอดใส่ไม่ช้าก็ได้เสื่อผืนงามที่ทำรายได้อย่างน่าพอใจ ทำให้การทอเสื่อกกของชาวชุมชนแบบดั้งเดิม ได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้มีคุณภาพมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น ถึงแม้ค่านิยมในการใช้เสื่อกกในปัจจุบันจะลดลง แต่การทำนากก การทอเสื่อกกก็ยังสร้างรายได้เป็นอาชีพเสริมแก่ชาวชุมชนได้ไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดการรวมตัวของผู้ประกอบการเป็นกลุ่มแม่บ้านทอเสื่อ สร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนทั้งทางด้านการผลิตและทางด้านการตลาด
ส่วนในด้านการอนุรักษ์และถ่ายทอด ทำให้ชุมชนเล็งเห็นความสำคัญของภูมิปัญญาของท้องถิ่น มีการเชิญให้ผู้ประกอบการเป็นวิทยากรสอนความรู้แก่คนในชุมชนและผู้สนใจทั่วไป จนกระทั่งบางโรงเรียนสร้างเป็นหลักสูตรการเรียนรู้ด้านการทอเสื่อให้แก่คนในชุมชนดังที่พบเห็นได้ทั่วไปตามแหล่งข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการทอเสื่อกก
แม้คนรุ่นใหม่ของชุมชนจะมีค่านิยมในการประกอบอาชีพเปลี่ยนไปตามกระแสของสังคม คือเข้าสู่โรงงาน แต่พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ยังคงเป็นเกษตรกรที่ทำนา เลี้ยงสัตว์ เมื่อมีเวลาว่างก็ทอเสื่อตามปกติ ปัญหาขาดผู้สืบทอดดูมิใช่ปัญหา เพราะลูกหลานกลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้ ล้วนซึมซับรับรู้การทอเสื่ออยู่เต็มตัวตั้งแต่เล็ก ซึ่งเมื่อไรที่โรงงานปิดตัวลงหรือคนรุ่นใหม่มีอายุมากขึ้น และเบื่อชีวิตโรงงาน ก็สามารถหันกลับมาจับงานเกษตรกรรม และใช้เวลาว่างทอเสื่อได้ทุกเวลา ซึ่งเมื่อลองมองดูรายได้ของสมาชิกหลังขายผลิตภัณฑ์แล้วเฉลี่ยมีรายได้เดือนล่ะ 4,000-5,000 บาทเลยทีเดียว
ด้านเยาวชนในชุมชน ภูมิปัญญานี้ได้ถูกปลูกฝังด้วยระบบของการศึกษาที่กลุ่มแม่บ้านออกไปเป็นวิทยากรสอนแก่นักเรียนและผู้สนใจ นอกเหนือจากการปลูกฝัง ความรู้ทางระบบครอบครัวอีกทางหนึ่ง ปัจจุบันการทำนากก เพื่อขายต้นกกสดหรือเส้นกกแห้งให้เป็นวัตถุดิบแก่ผู้ทอ นับเป็นการช่วยย่นระยะเวลาของผู้ประกอบการ ไม่ต้องมาเสียเวลาทำนากก สามารถซื้อเส้นกกไปใช้ขายได้เลย ทำให้การทอเสื่อยังคงดำรงอยู่ได้อีกรูปแบบหนึ่งแต่อาจก่อปัญหาในภูมิปัญญาการทำนากกในวันข้างหน้า แก่คนรุ่นใหม่ได้ เส้นทางของการทอเสื่อนอกจากทำเป็นแผ่นผืนไว้ใช้สอยแล้ว ยังมีอีกในการประยุกต์ผืนเสื่อแปรเป็นรูปผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กระเป๋า ซองจดหมาย จานรอง รองเท้า ฯลฯ
ซึ่งผู้ประกอบการในชุมชนนี้ยังก้าวมาไม่ถึง จึงนับว่ายังมีช่วงเวลาของการสืบสานภูมิปัญญาในการทออีกระยะหนึ่ง กว่าจะถึงจุดเปลี่ยนของภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ธุรกิจชุมชนและการตลาด
ตราบใดที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นยังเป็นเรื่องของวิถีชีวิตในชุมชน ตราบนั้นภูมิปัญญายังอยู่ได้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน แต่ถ้าตราบใดภูมิปัญญาท้องถิ่นถูกผลักดันให้เป็นจุดนำวิถีชีวิต เพื่อหวังผลในเชิงธุรกิจและผลประโยชน์แล้ว อันตรายของภูมิปัญญาคือการถูกตีค่าเป็นเรื่องของวัตถุ มิใช่มีผลต่อจิตใจตราบนั้นความเสื่อมสูญก็จะเร่งวันให้ผันแปรไปตามกระแสทันที
สถานที่ตั้ง (พิกัด) ของผู้ประกอบอาชีพหรือของชุมชน
สถานที่ตั้ง บ้านห้วยข้าว หมู่ 11 ตำบล/แขวง ผานกเค้า
อำเภอ/เขต ภูกระดึง จังหวัด เลย โทรศัพท์ -
โทรสาร - โทรศัพท์มือถือ -
E-mail.................................................................
พิกัด.....https://maps.app.goo.gl/ZjNaLE42JW1xQtc16?g_st=il.....
ผู้ให้ข้อมูลและผู้เรียบเรียง หรือ ผู้เขียน
ข้อมูลเนื้อหา เรื่องราว เขียนโดยนางวิลาวัณย์ แซ่อัง
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดยนางวิลาวัณย์ แซ่อัง
ข้อมูลเนื้อหา โดย นางประยูร ภิญโญ
เรียบเรียงเนื้อหา โดย นางวิลาวัณย์ แซ่อัง
ภาพถ่าย/ภาพประกอบ โดย นางวิลาวัณย์ แซ่อัง