ประวัติความเป็นมา
แหล่งเรียนรู้วิสาหกิจชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ไม้เรียงเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีรรมราช เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เพราะมีการค้นพบแร่วุลเฟรมที่เขาศูนย์ ซึ่งอยู่ติดกับตัวชุมชน ผู้คนเป็นพันเป็นหมื่นจากทั่วประเทศพากันไปขุดแร่กันที่นั่น แม้ไม่ใช่ทอง แต่ราคาก็แพงกว่าค่าแรงรับจ้างหรือทำไร่ทำนา
ที่ไปนั้นไม่ได้มีแต่คนรวย คนจนก็ไป คนรวยมีเครื่องมือทันสมัยรถใหญ่รถยกรถขุด ชาวบ้านก็มีแค่จอบเสียม เงินทองสะพัดตลาดไม้เรียง ร้านค้าขายของกินของใช้ ร้านอาหาร ร้านทอง โรงแรมโรงน้ำชา ค้าประเวณี ยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย มีการยิงกันตายเกือบทุกวัน ไม่ได้มีแต่นายทุนพ่อค้า แต่มาเฟียและผู้มีอิทธิพลก็เต็มไปหมด แต่ก็ค่อยๆ น้อยลงเมื่อคอมมิวนิสต์เริ่มมีอำนาจเหนือพื้นที่แถบนั้น
ปี 2523 พลเอกหาญ ลีลานนท์ไปปิดเขาศูนย์ ปิดฉากแหล่งอำนาจเงินและอิทธิพล เริ่มต้นศักยราชใหม่ของการพัฒนาไม้เรียง ซึ่งไม่มีใครเข้าไปชี้นำ เป็นชาวบ้านเองที่ค่อยๆ ปรับตัว กลับไปสู่วิถีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หลังจากวิ่งแข่งกันหาเงินจากการขุดแร่อยู่นับ 10 ปี
ชาวบ้านเริ่มพูดคุยกันเรื่องยางพารา ซึ่งปลูกกันแทบทุกบ้าน ว่าจะแก้ปัญหาราคายางที่ต่ำมากได้อย่างไร ทำไมราคายางแผ่นของราชการและของพ่อค้าจึงได้ราคาดีกว่า เป็นเกรด 1 เกรด 2 ขณะที่ของชาวบ้านได้เกรด 3 เกรด 4 ประยงค์ รณรงค์ เป็นชาวบ้านที่ไม่มีตำแหน่งทางการเป็นแกนนำในการศึกษาเรื่องการแก้ปัญหายางพาราอย่างจริงจัง
ข้อสรุปของปัญหา คือ คุณภาพของยางแผ่นและพ่อค้าคนกลาง ยางแผ่นของราชการและพ่อค้ามาจากโรงงาน ของชาวบ้านทำกันเอง ตากแดดไว้หน้าบ้าน ไม่มีความสม่ำเสมอทั้งขนาด น้ำหนัก คุณภาพ ประยงค์กับชาวบ้านอีก 11 คนจึงพากันไปขอดูงานโรงงานรมยางของราชการและพ่อค้า โดยไม่มีหน่วยงานราชการหรือเอ็นจีโอไหนพาไป
การไปศึกษาดูงานของชาวบ้านเมื่อ 30 กว่าปีก่อนนับเป็นเรื่องแปลก ยังไม่มีใครคิดใครทำ แต่ไม้เรียงคิดเองและลงมือทำ ไปดูงานแล้วก็มาหารือกันว่าจะทำโรงงานแบบนั้นได้อย่างไร เพราะลงทุนเป็นสิบล้าน สุดท้ายก็มาสรุปว่า ย่อส่วนลงมาให้เล็กๆ ลงทุนสัก 1 ล้านก็น่าจะทำได้
สรุปแล้วดูเหมือนง่ายและใช้เวลาไม่มาก ความจริง ไม้เรียงใช้เวลาเรียนรู้อยู่หลายปี และกว่าจะระดมทุนจากชาวบ้านได้ 1 ล้านบาทก็ใช้เวลานาน รวมทั้งการขออนุญาตก่อตั้งกลุ่มเกษตรชาวสวนยางไม้เรียง ทางราชการก็ไม่อยากให้จด ผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้น คือ คุณเอนก สิทธิประศาสตร์ ขอร้องว่า อย่าจดเลย เพราะที่จดๆ มาก่อนนั้นก็ล้มไปเกือบหมด เสียชื่อจังหวัดเปล่าๆ
ประยงค์ รณรงค์ และแกนนำกลับไปพบผู้ว่าฯ อีก อธิบายว่า การที่พวกเขาอยากจดทะเบียนเป็นกลุ่มเกษตรกร เพราะต้องการทำธุรกรรมการเงินโดยตรงกับบริษัทผู้ส่งออกยาง พวกเขารู้ว่า กลุ่มเกษตรกรก่อนนี้ล้มเป็นเพราะส่วนใหญ่ตั้งขึ้นมาเพื่อไปกู้เงิน ธ.ก.ส. สมาชิกกู้ยืมไปแล้วไม่คืน กลุ่มก็ล้ม แต่กลุ่มไม้เรียงไม่ได้ต้องการตั้งขึ้นมาเพื่อไปกู้เงิน และสัญญาว่า จะไม่เอากลุ่มไปกู้เงิน ธ.ก.ส. ผู้ว่าฯ จึงได้อนุมัติ และกลุ่มเกษรตรกรสวนยางไม้เรียงก็ไม่เคยกู้เงิน ธ.ก.ส.ในนามกลุ่มมาจนถึงวันนี้
ไม้เรียงพัฒนายางแผ่นจนได้รับการยอมรับว่าเป็นเกรด 1 ของเอเชีย ได้ราคาสูงกว่าราคาตลาดถึง 4 บาท ซึ่งเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ราคายางพาราไม่ถึง 20 บาท นับว่าประสบผลสำเร็จ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ส่งยางแผ่นรมควันตรงไปยังท่าเรือคลองเตยเลย
ปี 2546 มูลนิธิรามอน แมกไซไซ มาสำรวจและค้นหาผู้ที่สมควรได้รับรางวัลแมกไซไซ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2500 มีผู้ได้รับรางวัลนี้จากเมืองไทยก่อนนั้น 18 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียง ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่บำเพ็ญประโยชน์แก่ส่วนรวม มีผู้เสนอให้ไปค้นหาผู้นำชุมชนคนธรรมดาบ้าง ทางมูลนิธิฯ ก็ให้อาจารย์จากจุฬาฯ ลงไปศึกษาประเมิน จึงเป็นที่มาของการมอบรางวัลแมกไซไซให้ลุงประยงค์ รณรงค์ ฐานะผู้นำชุมชนดีเด่นเมื่อปี 2547
เรื่องราวของไม้เรียงเป็นตำนานของการพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง ผมได้ทำงานร่วมกับไม้เรียงมาตั้งแต่ปี 2532 และได้ร่วมเดินทางไปมะนิลากับลุงประยงค์ ซึ่งได้ขอร้องให้ไปเป็นเพื่อน ไปช่วยเป็นล่ามด้วย ตอนแรกผมก็ลังเล เพราะไปตั้ง 9 วัน แต่คุณหมอประเวศแนะนำว่า ควรจะไป ไม่ใช่เพียงเพื่อไปเป็นล่ามแปลภาษาเท่านั้น แต่เพื่อสื่อสารกับผู้คนว่า ไม้เรียงให้บทเรียนอะไรแก่สังคมไทยและแก่โลกบ้าง
วันหนึ่งลุงประยงค์ได้รับเชิญไปพูดที่ธนาคารพัฒนาเอเชียหรือเอดีบี พูดเสร็จ ประธานลุกขึ้นมาขอบคุณบอกว่า “ขอบคุณที่มาสอนเราชาวธนาคารว่า เงินแก้ปัญหาความยากจนไม่ได้ ถ้าแก้ได้คงแก้นานแล้ว เพราะโลกไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดความความรู้ขาดปัญญาอย่างที่ท่านได้ใช้เพื่อพัฒนาชุมชนของท่าน”
สิ่งที่ลุงประยงค์ในฐานะผู้นำชุมชน ราษฎรเต็มขั้นโดยไม่มีตำแหน่งใดๆ ทำที่ไม้เรียงมีมากมาย ได้เล่าแต่เพียงเรื่องเดียวตอนต้น เรื่องอื่นๆ สรุปได้แต่เพียงว่า ลุงประยงค์และแกนนำชาวสวนยางภาคใต้ได้ร่วมกันพัฒนาแผนแม่บทยางพาราไทย โดยการทำการวิจัยเอกสารและศึกษาจากชาวสวนยางกันเอง แม้ว่ารัฐบาลตอนนั้นไม่ได้รับ แต่รัฐบาลหลัง 2544 ก็รับมาใช้
ไม้เรียงเป็นที่มาสำคัญของแผนแม่บทชุมชน ซึ่งมูลนิธิหมู่บ้านได้สังเคราะห์ร่วมกับประสบการณ์ของอีกหลายชุมชน การทำวิสาหกิจชุมชน สภาผู้นำ เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดและประสบการณ์ของไม้เรียง ซึ่งประกาศไว้ชัดเจนว่า “ที่ไม้เรียง ทุกคนต้องได้เรียนรู้ทุกสิ่งที่อยากรู้ และต้องเรียนรู้ทุกสิ่งที่ตนเองทำ”
ลุงประยงค์ขึ้นเวทีพูดกับชาวบ้านมักบอกว่า “พี่น้อง การที่พวกเราทำอะไรมักผิดพลาดล้มเหลว เพราะเราทำโดยไม่รู้จริง หมดยุคแล้วที่จะคิดว่า เชื่อว่า หวังว่า วันนี้ต้องใช้คำว่า รู้ว่า เท่านั้นจึงจะอยู่ได้”
คงไม่แปลก ถ้าหากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ 6 แห่งอย่างธรรมศาสตร์ นิด้า และอื่นๆ จะมอบดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แก่ลุงประยงค์ เพราะการทำให้ชุมชนเข้มแข็งได้ในยุคสังคมบ้าบริโภคครองโลกโดยทุนนิยมและประชาธิปไตยสับสนอย่างวันนี้เป็นเรื่องที่คนที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้