บ้านสามขา

ประวัติบ้านสามขา

จัดทำขึ้นเพื่อนำแนะแหล่งท่องเที่ยวตำบลหัวเสือมีเรื่องดังต่อไปนี้

1.แหล่งท่องเที่ยวบ้านสามขา

2.แหล่งท่องเที่ยวบ้านนายาบ

ตามประวัติเดิมเล่าสืบกันมา ชาวบ้านสามขาเดิม เป็นคนเชื้อสายมาจากบ้านเหล่าหนองปล้องในเมืองลำปาง แถวๆบ้านพระบาทหนองหมู พวกที่ยากจนไม่มีอันจะกินได้พากันรอนแรมออกป่าล่าสัตว์ ก็นำเนื้อสัตว์นั้นย่างไฟ เก็บไว้เพื่อนำมาขายในเมือง นานเข้าบ่อยครั้งก็พากันทำไร่ ปลูกกระท่อมอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งมีสัตว์ป่าชุกชุมมาก พอเพื่อนบ้านทราบข่าว เล่าสืบต่อกันไป ก็เดินทางมาสมทบ และอพยบมาเรื่อยๆ พอมาพบทำเลเหมาะ ดิน น้ำ อุดมสมบูรณ์ดี จึงพากันมาตั้งถิ่นฐาน ปลูกบ้านหลายหลัง จนกลายเป็นหมู่บ้านหนึ่ง อยู่ที่ทุ่งนาบ้านเก่า และตั้งชื่อหมู่บ้านว่า บ้านแม่หยวก เพราะบริเวณนั้นมีต้นกล้วยป่าเต็มไปหมด เมื่อมีคนตายใน หมู่บ้าน จึงจัดให้มีป่าช้าขึ้นทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ที่ม่อนป่าช้า ( ปัจจุบันเรียกว่าม่อนป่าช้า) และได้ร่วมกันสร้างวัดขึ้นเพื่อ ใช้เป็นที่ทำบุญ และเป็นที่พึ่งพาทางใจของคนในหมู่บ้าน ปัจจุบันเรียกว่า ทุ่งวัดห่าง (วัดร้าง) อยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้าน ซึ่งหมู่บ้านในขณะนั้นมีประมาณ 30 ครัวเรือน พอนานเข้าทนต่อภัยธรรมชาติไม่ไหว เกิดน้ำป่าไหลหลากท่วมบ้านตลอดฤดูฝน จะทำมาหากินไปทางไหนก็ลำบากจึงพากันอพยบ มาอยู่ บนเชิงเขาที่ราบสูง ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นหมู่บ้านในปัจจุบันนี้ และขยายครัวเรือน มากขึ้นเรื่อยๆ มาต่อมาได้ย้ายวัดมาอยู่ทางทิศเหนือ ของหมู่บ้านและย้ายป่าช้ามาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหมู่บ้านคนสมัยนั้น มีความเชื่อว่า ป่าช้าอยู่ทางไหนต้องสร้างวัด ปิดทางเข้าหมู่บ้าน เพื่อป้องกันผีร้ายเข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน สมัยนั้นยังมีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง มีประมาณ มี 20 กว่าหลังคาเรือน แต่ไม่ปรากฏชื่อหมู่บ้าน ตั้งอยู่ทางทิศ ตะวันตก ของบ้านห้วยมะเกลือปัจจุบันนี้แต่ตามคำบอกเล่าสืบกันมาว่า ขณะนั้นบ้านห้วยมะเกลือยังไม่มี มีแต่หมู่บ้านเล็กๆดังกล่าว ในหมู่บ้านนี้มีคนล่าสัตว์เลี้ยงชีพ อยู่หลายคน และวันหนึ่งมี ชาวบ้านคนหนึ่งออกล่าสัตว์แล้วไปพบเห็นรอยเก้งกินลูกมะกอกป่า จึงตัดไม้ทำเป็นห้างหรือนั่งร้านอยู่บนต้นไม้เพื่อดักยิงเก้ง พลบค่ำลง เก้งตัวนั้นได้ออกมากินมะกอกป่าอีก ชาวบ้านคนนั้น จึงใช้ปืน คาบศิลายิงเก้งถึงความตาย เมื่อเก้งตายแล้วชาวบ้านคนนั้นไม่สามารถนำเก้งทั้งหมดกลับบ้านได้เนื่องจาก เป็นเก้งที่ใหญ่มากจึง ใช้มีดตัดเอาเฉพาะขาหลัง เพียงขาเดียว ส่วนที่เหลือก็นำใบไม้มาปกปิดไว้ กันคนอื่นมาเห็น เมื่อนำขาเก้งกลับถึงบ้านแล้ว พอรุ่งเช้า ก็ทำเป็นอาหารกิน โดยชวนเพื่อนบ้านมาร่วมกินด้วยหลังจากกินอิ่มแล้วจึงพาเพื่อนบ้านกลับไปเอา เนื้อเก้งที่เหลือ แต่เมื่อไปถึงที่ซ่อนเนื้อเก้งไว ้กลับไม่เจอเนื้อเก้งดังกล่าวเนื่องจากมีงูใหญ่มาพบเก้ง ที่เหลือ 3 ขา จึงลากไปกินในถ้ำ ที่อยู่ทาง ทิศตะวันตกของบ้านแม่หยวก (ปัจจุบันคือบ้านสามขา) ขาวบ้านจึงตามรอยงูใหญ่ที่ลากเก้งเป็นทางไป และไปสิ้นสุดที่ปากถ้ำจึงคิดว่างูใหญ่ตัวนั้น นำเก้งไปกินในถ้ำ ดังนั้นจึงพากันกลับบ้าน เพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรกับงูใหญ่ตัวนั้น เมื่อมีความเห็นสอดคล้อง ตรงกัน จึงหาเชือกมามัดเป็นเกลียวเส้นใหญ่ และยาวที่สุด ได้นำเอาหูหิ้วตักน้ำมา ตีเป็นขอเบ็ด ผูกกับเชือกแล้วฆ่า สุนัขตัวหนึ่ง ผูกติดกับเบ็ดหย่อนลงในรูถ้ำปลายเชือกผูกติด กับต้นไม้ที่ปากถ้ำ พอวันรุ่งขึ้นก็พากันมาดูเห็นเชือกตึงจึงรู้ทันทีว่างูใหญ่ติดเบ็ดแล้ว จึงช่วยกันดึงงูออกมา แต่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่สามารถดึงออกมาได้ เนื่องจากงูใหญ่มาก จึงได้ระดมคนในหมู่บ้านทั้งชายและหญิง ให้ไปช่วยกันทุกคน ยกเว้นหญิงหม้ายเพียงคนเดียว ที่ไม่ไปช่วยพอชาวบ้านทั้งหมดมาถึง ก็ได้ช่วยกันดึงอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ดึงไม่ออกเหมือนเดิม จึงได้นำเอาช้าง 3 ปาย ควาย 3 ศึก เกวียน 3 เล่ม ใช้เชือกผูกตามกัน แล้วก็ใช้เกวียน 3 เล่มต่อกัน ใช้ช้างยกงู ใส่เกวียนแล้วจึงใช้ช้างเดินนำหน้าช่วยลากงูไปจนถึงหมู่บ้าน เมื่อถึงหมู่บ้านแล้วจึงพากันลงมือชำแหละเนื้องูออกมา ทำเป็นอาหาร แจกจ่ายกันกินทั้งหมู่บ้านมีทั้งเหล้า ยา สาโท จ้อย ซอ กันอย่างสนุกสนานร่าเริงเต็มที่ ส่วนเนื้องูที่เหลือก็แบ่งปันกัน ทุกครัวเรือน ยกเว้นหญิงหม้ายผู้นั้น เพราะไม่ได้ไปช่วยเขาลากงู จึงไม่ได้รับส่วนแบ่ง พอเวลากลางคืนตอนดึกได้มี เทวดามา เข้าฝัน คืนนี้ที่ได้ยินเสียงอะไรที่อีกทึกครึกโครม หรือเสียงอะไรก็ตาม ห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด อย่าลงไปไหน เพราะจะเป็นอันตราย พอสั่งแล้วเทวดาก็หายวับไปกับตา พอหญิงหม้ายนอนหลับไปก็ตกใจตื่น เนื่องจากมีเสียงดัง เหมือนแผ่นดินจะถล่มทลาย หญิงหม้ายผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกมาจากประตูเรือนพอนึกถึงคำเตือนของชายชราก็ กลับไปนอนดังเดิม ครั้นต่อมาก็วิ่งออกประตูเรือนมาดูอีกก็นึกถึงคำเตือนอีกครั้งก็กลับเข้าไป นอน พอครั้งที่สาม วิ่งออกมาถึงหัวบันไดจึงมองดูเคว้งคว้าง บ้านเรือนที่ใกล้ชิดติดกันก็หายไปหมดไม่เหลือสักหลัง โล่ง เป็นบริเวณกว้าง หญิงหม้ายก็กลับเข้าห้องนอนไหว้พระสวดมนต์ พอรุ่งเช้า จึงออกมาดูข้างนอกเห็นบริเวณหมู่บ้านยุบลงไปหมด เหลือแต่บ้านของตนเป็นหลังเดียว หญิงหม้ายจึงเก็บข้าวของที่มีค่า ไปอาศัยอยู่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทิศเหนือของทางบ้านที่ถล่มนั้นปัจจุบันเรียกถ้ำนั้นว่า ถ้ำย่าเถ็ก หมู่บ้านที่ถล่มลงไปนั้น ปัจจุบันเรียกว่า “โป่งหล่ม” บริเวณบ้านแม่หยวกนั้นต่อมาต้นกล้วยก็ได้ถูกทำลายจนหมดสิ้นจึงขุดทำไร่นาไป หมด เมื่อไม่มีหยวกกล้วยเหลืออยู่แล้ว จึงพากันเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านใหม่ ชื่อว่า บ้านสามขา ตามขาเก้งที่เหลือ เปรียบดังก้อนเส้าสามก้อนและแก้ว สามประการ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันอยู่ทิศตะวันตกของหมู่บ้านห่างจากหมู่บ้าน 800 เมตร บรรพบุรุษได้เล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นถ้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก มีของดีอยู่มากมายหลายอย่าง มีคนเคยพบเห็นฆ้องทองคำ และ มีพระพุทธรูป ทองคำหลายองค์ หลายขนาด แต่ไม่สามารถนำ ออกจากถ้ำได้ มีอันเป็นไปต่างๆนาๆเช่น เดินวกไปวนมา หาทางออกไม่ได้ พอวางของนั้นลงจะเห็นทางออกทันที มีผู้แสวงหาโชคลาภจะขโมยของดังกล่าว แต่ก็ถูกสัตว์ เช่น เสือ งู กัดตาย จึงไม่มีใครกล้าขโมยอีกเมื่อประมาณ 60 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านมักจะได้ยินเสียงฆ้องดังออกมาจากในถ้ำ เมื่อถึงวันพระทุกครั้ง ในสมัยนั้นปากถ้ำ ยังปรากฏให้เห็นอยู่ และสามารถ เดินเข้าไปได้ เมื่อเดินเข้าไปจะพบก้อนหินใหญ่สวยงามมาก ชาวบ้านใช้เป็นแท่นพระ บูชาสืบต่อกันมา ต่อมามีฝนตกหนัก สืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายวัน ทำให้ดินพังทลายลงมาปิดปากถ้ำหมดเป็นแนวยาวประมาณ 180 เมตร ไม่มีใครกล้า ไปเปิด ปากถ้ำอีกแล้วสำหรับบ้านสามขาปัจจุบันมีครัวเรือนจำนวน 154 ครัวเรือน มีนายจำนงค์ จันทร์จอมเป็นผู้ใหญ่บ้าน

video-1528448954.mp4