ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในแทบทุกด้านของชีวิต ตั้งแต่การเรียน การทำงาน ไปจนถึงการใช้ชีวิตประจำวัน นิสิตนักศึกษาไทยจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีนี้อย่างชาญฉลาด บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า “จะใช้ AI อย่างไรให้เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี” พร้อมแนวทางการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อเสริมศักยภาพและเตรียมความพร้อมสู่ตลาดแรงงานในอนาคต
ทำความเข้าใจก่อนว่า AI เป็นเครื่องมือเสริมพลัง ไม่ใช่ทางลัด
การนำ AI เข้ามาในการเรียนและการทำงานควรมุ่งเน้นให้ AI เป็น "เครื่องมือขยายความสามารถ" ของมนุษย์ ไม่ใช่ตัวแทนที่มาทำงานแทนเราทั้งหมด ส่วนตัวผู้เขียนเห็นว่าเป้าหมายที่แท้จริงควรเป็นดังนี้
(1) ขยายความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยการใช้ AI เพื่อช่วยค้นหาข้อมูล แต่การตีความและสรุปผลยังคงต้องริเริ่มมาจากมนุษย์อยู่
(2) เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ เน้นใช้ AI เป็นผู้ช่วยระดมสมอง ช่วยสร้าง prototype หรือทดสอบไอเดีย จากความคิดสร้างสรรค์ยังคงต้องมาจากมนุษย์
(3) เตรียมพร้อมสู่ตลาดแรงงานยุคใหม่ ในอนาคตองค์กรจะมีความต้องการ “คนที่ใช้ AI เป็น” มากขึ้น ทักษะเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ควรเริ่มต้นในสถานศึกษา
สถานการณ์ปัจจุบันนิสิตนักศึกษาไทยกับ AI
ปัจจุบันนิสิตนักศึกษาไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการเรียนรู้และทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่การใช้งาน AI อย่างไม่มีทิศทางก็อาจสร้างปัญหาใหม่ได้เช่นกัน จากตัวอย่างต่อไปนี้
(1) การใช้ AI แพร่หลายอย่างรวดเร็วแต่ขาดความเข้าใจ อาทิเช่น การใช้ผลลัพธ์ของ AI โดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความเสี่ยงในการใช้ข้อมูลผิดพลาดหรือนำเสนอผลงานที่ไม่แม่นยำ
(2) ความไม่ชัดเจนในเรื่องจริยธรรมและขอบเขตการใช้งาน ปัจจุบันมีการให้ AI เขียนรายงานแทนนักศึกษา ซึ่งอาจจะมีประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ ข้อมูลส่วนบุคคล และการคัดลอกผลงานที่อาจส่งผลกระทบต่อความโปร่งใสทางการศึกษา
(3) ความกังวลเรื่องการหางานในอนาคต หลายอาชีพเริ่มถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ ทำให้นิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยเกิดความกังวลว่า “ทักษะที่เรียนอยู่ตอนนี้จะยังจำเป็นในอนาคตหรือไม่” โดยเฉพาะในสายงานที่ซ้ำซ้อน เช่น งานเอกสาร งานวิเคราะห์ข้อมูลขั้นต้น หรือกราฟิกเบื้องต้น ในขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานกลับให้คุณค่ากับผู้ที่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างชาญฉลาด ซึ่งสร้างแรงกดดันให้นิสิตนักศึกษาต้องปรับตัวให้ทันก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกการทำงานจริง
(4) ช่องว่างระหว่างทักษะกับความต้องการของตลาดแรงงาน แม้สถาบันการศึกษาจะพยายามปรับหลักสูตรให้ทันยุคดิจิทัล แต่ความเร็วของการพัฒนาเทคโนโลยีทำให้ “ช่องว่างระหว่างทักษะที่มี” กับ “ทักษะที่ตลาดต้องการ” ยังคงกว้างอยู่ ตัวอย่างเช่น ตลาดต้องการคนที่มีทักษะด้านการวิเคราะห์ข้อมูล การเข้าใจ AI และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม แต่หลักสูตรการศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยยังคงเน้นเนื้อหาทฤษฎีมากกว่าการฝึกใช้จริง ส่งผลให้นิสิตนักศึกษาจบใหม่จำนวนมากต้องเรียนรู้เพิ่มเติมภายหลังจากเข้าสู่การทำงาน ซึ่งองค์กรและบริษัทในปัจจุบันต้องการบัณฑิตที่ "รู้จักใช้ AI เป็นเครื่องมือ" แต่ยังคงมีทักษะการคิดวิเคราะห์เชิงลึก ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะการสื่อสารที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม พบว่านิสิตบางส่วนพึ่งพา AI มากเกินไป จนทักษะพื้นฐานเหล่านี้กลับอ่อนแอลง
ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข
ปัญหาเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาทักษะที่จำเป็นของนิสิตนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI เป็นทางลัดแทนการเรียนรู้จริง ส่งผลให้ทักษะการคิดวิเคราะห์ลดลง การขาดทักษะการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งเสี่ยงต่อการนำข้อมูลผิดพลาดไปใช้ ยังมีเรื่องทักษะการคิดและเขียนด้วยตนเองที่ลดลง อาจส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์และความพร้อมสู่ตลาดแรงงานให้ลดลง นอกจากนี้ ปัจจุบันเริ่มมีค่าใช้จ่ายในการเข้าถึง AI คุณภาพสูง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี
แนวทางแก้ไข
เราปฏิเสธไม่ได้ว่า เราคงไม่อาจเรียนและทำงานในโลกอนาคตโดยไม่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนี้ การเตรียมตัวตั้งตอนนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ได้แก่
(1) ใช้ AI เป็น "ผู้ช่วย" ไม่ใช่ "คนทำแทน" โดย AI ควรถูกมองว่าเป็น “เครื่องมือเสริมศักยภาพ” มากกว่าจะเป็น “ตัวแทน” ดังตัวอย่างเช่น แทนที่จะให้ AI สร้างแคปชั่นสำหรับโพสต์ขายสินค้าของแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย 1 แคปชั่น จากนั้นก็โพสต์ทันที เปลี่ยนเป็น ให้ AI สร้างไอเดียเหล่านั้นมาหลาย ๆ ไอเดีย แล้วให้คนตัดสินใจว่า ไอเดียแคปชั่นไหนสอดคล้องกับแบรนด์มากที่สุด
(2) ฝึกทักษะการเขียนคำสั่ง และการตรวจสอบข้อมูล หนึ่งในทักษะสำคัญที่สุดของการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพคือ “การเขียนคำสั่งที่ดี” หรือที่เรียกว่า Prompt Engineering เพราะคำสั่งที่ชัดเจนและมีโครงสร้างจะทำให้ AI สร้างคำตอบที่ตรงประเด็นมากกว่า นอกจากนี้ เมื่อได้ผลลัพธ์จาก AI แล้ว หน้าที่สำคัญของนิสิตนักศึกษา คือ การตรวจสอบขั้นสุดท้าย อันเป็นการตีความและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ได้รับ ทักษะที่จำเป็นคือ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thainking) ส่วนนี้ผู้เขียนเห็นว่า สิ่งจำเป็นที่นิสิตนักศึกษาต้องฝึกให้เชี่ยวชาญและเท่าทันกับ AI เพื่อป้องกันปัญหา “หลอน” (Hallucination) นั่นเอง
(3) สร้างนิสัยการเรียนรู้แบบ Active Learning ในยุคที่ AI สามารถตอบคำถามแทบทุกอย่าง การเรียนรู้จะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนลงมือคิดและสร้างความเข้าใจด้วยตนเอง แนวทาง Active Learning จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนในยุค AI เพราะช่วยให้นิสิตไม่ตกอยู่ในภาวะพึ่งพาเครื่องมือมากเกินไป เช่น ให้ AI ช่วยสร้างโจทย์ให้คนฝึกฝน และให้ AI วิเคราะห์คำตอบเพื่อหาจุดผิดพลาด หรือจุดที่ต้องปรับปรุงพัฒนาต่อไป
(4) พัฒนาทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ โดยฝึกทักษะการสื่อสาร การนำเสนอ และการทำงานเป็นทีมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมศิลปะ ดนตรี หรือการออกแบบเสริมสร้างทักษะ EQ และเพิ่มความเข้าใจผู้อื่น รวมไปถึงการตัดสินใจเชิงจริยธรรม
ผู้เขียนเห็นว่า เรื่อง AI ถึงจะเป็นเรื่องใกล้ตัวคนไทย ก็ยังเป็นเรื่องใหม่อยู่ดี และเช่นกัน AI ก็ยังใหม่สำหรับผู้เขียน จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อให้เราเป็นผู้ใช้ AI ที่เข้มแข็งต่อไป
สมาชิกหมายเลข 73267