ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยพลังของเทคโนโลยี AI และ Automation การเตรียมความพร้อมของคนรุ่นใหม่ไม่ได้อยู่ที่ความรู้ทางทฤษฎีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตและการทำงาน ทั้งการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
การศึกษาระดับอุดมศึกษาของไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหญ่ในการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและสังคมยุคใหม่ ขณะที่สหกรณ์ร้านค้าในมหาวิทยาลัยซึ่งเคยถูกมองเป็นเพียงสถานที่ซื้อขายสินค้าและบริการ วันนี้กำลังมีโอกาสก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญกว่าเดิมมาก กลายเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่มีศักยภาพสูงในการสร้างประสบการณ์จริง ฝึกฝนทักษะชีวิต และเตรียมพร้อมนิสิตนักศึกษาสู่การเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในสังคมไทย
จากการศึกษาของหลายองค์กร และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามเวทีต่าง ๆ อาจชี้ให้เห็นได้ว่า ในช่วง 1-4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยต้องการประชากรที่มีคุณภาพทั้งด้านความคิดและทัศนคติ รวมทั้งทักษะต่าง ๆ ดังตัวอย่าง
ด้านความคิดและทัศนคติ (Mindset)
Growth Mindset ที่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ตลอดเวลาและไม่กลัวความล้มเหลว มองเห็นความท้าทายเป็นโอกาสในการพัฒนาตนเอง
Agility Mindset ในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว รับมือกับความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพ
Global Mindset ที่เข้าใจถึงความเชื่อมโยงของโลกและวัฒนธรรมที่หลากหลาย พร้อมทำงานในสภาพแวดล้อมแบบพหุวัฒนธรรม
ด้านทักษะเฉพาะ (Skills)
Digital Literacy ในการใช้เทคโนโลจีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Artificial Intelligence
Financial Literacy ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน การจัดการงบประมาณ และการวางแผนทางการเงิน
Project Management และ Strategic Thinking ในการวางแผน ดำเนินงาน และประเมินผลโครงการ
Collaborative Skills ในการทำงานเป็นทีมข้ามสาขาวิชาและวัฒนธรรม สร้างพลังการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพ
Entrepreneurial Thinking ที่สามารถสร้างโอกาส แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และมองเห็นแนวทางการสร้างนวัตกรรม
Critical Thinking และ Creative Problem Solving ในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นระบบและสร้างสรรค์ทางออกใหม่ ๆ
Communication Skills ทั้งการนำเสนอ การเขียน และการเจรจาต่อรองในสถานการณ์ต่าง ๆ
แม้ว่าความต้องการของตลาดแรงงานและสังคมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่การศึกษาในมหาวิทยาลัยไทยส่วนใหญ่ยังคงใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการข้างต้นในหลายประเด็นสำคัญ
ปัญหาด้านเนื้อหาและวิธีการสอน: การเรียนการสอนยังคงเน้นการบรรยายและการท่องจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์ ขาดการฝึกปฏิบัติจริงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง (Experiential Learning) เนื้อหาเน้นทฤษฎีมากเกินไป ไม่มีการเชื่อมโยงกับการปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริง ขาดการสอนทักษะการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) และการแก้ปัญหาแบบองค์รวม
ปัญหาด้านทักษะชีวิต: นิสิตนักศึกษาขาดโอกาสในการทำงานร่วมกับผู้อื่นในสภาพแวดล้อมจริงที่มีความซับซ้อน ไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะการเป็นผู้นำ (Leadership Skills) และการตัดสินใจในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอน ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับระบบธุรกิจ การเงิน และการบริหารจัดการองค์กรในโลกจริง
ปัญหาด้านการเตรียมความพร้อมสู่การทำงาน: ไม่มีโอกาสเพียงพอในการฝึกทักษะ Soft Skills ที่จำเป็น เช่น การสื่อสาร การเจรจา การทำงานภายใต้ความกดดัน การจัดการความขัดแย้ง ขาดการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ในวงการอาชีพ (Professional Network) ไม่มีการสร้างผลงานที่เป็นรูปธรรม (Portfolio) ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถจริง
ผลที่ตามมาคือ นิสิตนักศึกษาจบออกมาแล้วมีความรู้ทางทฤษฎี แต่ขาดทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพ และการเข้าใจระบบเศรษฐกิจและสังคมจริง ทำให้ต้องใช้เวลานานในการปรับตัวเข้าสู่การทำงาน และอาจทำงานได้ไม่เต็มตามศักยภาพ หากไม่แก้ไขปัญหาการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานและสังคม ประเทศไทยจะเผชิญกับผลกระทบร้ายแรงในหลายมิติ
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ: จะเกิด Skills Gap ขนาดใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้า เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมใหม่ ลดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก (Global Competitiveness) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูงและนวัตกรรม การพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่มีทักษะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เงินไหลออกนอกประเทศ นวัตกรรมและการสร้างสรรค์ใหม่ (Innovation) ลดลง ทำให้ประเทศติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap)
ผลกระทบด้านสังคม: อัตราการว่างงานของคนรุ่นใหม่เพิ่มสูงขึ้น หรือเกิดปัญหาการทำงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ (Underemployment) ความไม่เท่าเทียมทางสังคมจะรุนแรงขึ้น เมื่อคนที่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพจะได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ๆ สังคมไทยจะสูญเสียศักยภาพในการพัฒนา เนื่องจากคนรุ่นใหม่ไม่สามารถสร้างคุณค่าได้เต็มตามศักยภาพที่มี
ผลกระทบด้านการพัฒนาประเทศ: ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ (Digital Economy) และสังคม 5.0 ขาดผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่สามารถขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าได้ การพึ่งพาเทคโนโลยีและความรู้จากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น แทนที่จะพัฒนาขีดความสามารถของตนเอง
สิ่งเหล่านี้จะสร้างผลกระทบสะสมที่ทำให้ประเทศไทยล้าหลังจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคและโลกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
สหกรณ์ร้านค้าในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เพียงสถานที่ซื้อขายสินค้าและบริการทั่วไป แต่เป็นองค์กรที่มีลักษณะเฉพาะที่สามารถเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนานิสิตนักศึกษาได้อย่างแท้จริงผ่านบทบาทต่าง ๆ ดังนี้
ลักษณะเฉพาะของสหกรณ์: สหกรณ์เป็นองค์กรที่ดำเนินการแบบประชาธิปไตย (Democratic Governance) โดยสมาชิกมีสิทธิ์ในการตัดสินใจร่วมกัน มีสมาชิกเป็นเจ้าของร่วมกัน (Member Ownership) ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบต่อองค์กร สามารถสร้างผลกำไรและแบ่งปันผลประโยชน์ได้ (Profit Sharing) เป็นการเรียนรู้ระบบเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์ในการสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับสมาชิก ไม่ใช่แค่การแสวงหากำไรเพียงอย่างเดียว
บทบาททางเศรษฐกิจ: สหกรณ์ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับชุมชนมหาวิทยาลัย สร้างโอกาสการจ้างงานและการฝึกปฏิบัติงานให้กับนิสิตนักศึกษา เป็นตัวอย่างของ Social Economy ที่สมดุลระหว่างกำไรและประโยชน์สังคม สนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็ก (SME Support) และผลิตภัณฑ์ชุมชนในพื้นที่ รวมถึงการเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบการเงิน การบัญชี และการจัดการธุรกิจจริง
บทบาททางสังคม: สหกรณ์ช่วยสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ดีภายในชุมชนมหาวิทยาลัย ส่งเสริมการบริโภคอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption) และจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม เป็นพื้นที่แสดงออกทางวัฒนธรรมและกิจกรรมสร้างสรรค์ สร้างความเท่าเทียมและโอกาสในการเข้าถึงสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ ปลูกฝังค่านิยมของความร่วมมือ (Cooperation) ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และความเป็นธรรม
ด้วยลักษณะเหล่านี้ สหกรณ์ร้านค้าจึงมีศักยภาพในการเป็น Living Laboratory หรือพื้นที่เรียนรู้ที่สมบูรณ์แบบ ที่นิสิตนักศึกษาสามารถฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมจริง พร้อมทั้งเรียนรู้ค่านิยมที่สำคัญสำหรับการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังมีความปลอดภัยในมิติต่าง ๆ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยนั่นเอง
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนานิสิตนักศึกษา สหกรณ์ร้านค้าในมหาวิทยาลัยควรเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งต่อไปนี้
การเปลี่ยน Mindset และวิสัยทัศน์: เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนความคิดจากการเป็นแค่ "ร้านค้าในมหาวิทยาลัย" เป็น "ศูนย์การเรียนรู้แห่งชีวิต" (Life Learning Center) ที่มีภารากิจในการพัฒนานิสิตนักศึกษาให้เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ กำหนดวิสัยทัศน์ใหม่ที่ชัดเจนและสื่อสารให้ทุกคนในองค์กรเข้าใจและมีส่วนร่วม
การสร้างความเข้าใจและการยอมรับ: จัดประชุมและสัมมนาเพื่อสร้างความเข้าใจในแนวคิดใหม่นี้ในหมู่สมาชิก ผู้บริหาร และบุคลากรของสหกรณ์ ศึกษาดูงานจากแบบอย่างที่ประสบความสำเร็จทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลง
การเริ่มต้นด้วยโครงการนำร่อง: เริ่มต้นด้วยโครงการนำร่องขนาดเล็กที่สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจน เช่น การจัด "Innovation Corner" ที่ให้นิสิตได้ขายสินค้าหรือบริการที่สร้างสรรค์ การจัดกิจกรรม "Business Workshop" เบื้องต้น หรือการสร้าง Digital Platform อย่างง่ายสำหรับการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์
การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานในมหาวิทยาลัย: สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับคณะต่าง ๆ หน่วยงานสนับสนุนนิสิต และฝ่ายวิชาการ เพื่อเชื่อมโยงการเรียนรู้ในสหกรณ์เข้ากับหลักสูตรการศึกษา เชิญอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมาเป็น Academic Advisor และสร้างระบบการให้เครดิตสำหรับการเข้าร่วมกิจกรรม
การพัฒนาบุคลากรและสิ่งอำนวยความสะดวก: ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สหกรณ์ให้มีทักษะในการเป็น Learning Facilitator และ Mentor ปรับปรุงพื้นที่และเทคโนโลยีเพื่อรองรับกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น พื้นที่สำหรับการประชุม Co-working Space และระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย
การสร้างระบบการติดตามและประเมินผล: พัฒนาระบบการเก็บข้อมูลและวัดผลการเรียนรู้ของนิสิต กำหนด Key Performance Indicators (KPIs) ที่ชัดเจน เช่น จำนวนนิสิตที่เข้าร่วม ระดับความพึงพอใจ ทักษะที่ได้รับการพัฒนา และผลกระทบต่อการหางานหลังจบการศึกษา
การสื่อสารและการตลาดเชิงรุก: สร้างการรับรู้ (Awareness) เกี่ยวกับบทบาทใหม่ของสหกรณ์ในหมู่นิสิตนักศึกษา ใช้ Social Media และช่องทางดิจิทัลในการประชาสัมพันธ์กิจกรรม จัดทำ Success Stories และกรณีศึกษาที่สร้างแรงบันดาลใจและแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ต้องดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนและต่อเนื่อง โดยเริ่มจากการสร้างความเข้าใจและการยอมรับ ตามด้วยการทดลองใช้ในขนาดเล็ก จากนั้นจึงขยายผลไปสู่การดำเนินงานในวงกว้าง ความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงนี้จะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของผู้นำ การมีส่วนร่วมของสมาชิก และการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย
เมื่อสหกรณ์ร้านค้าเริ่มทำหน้าที่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ นิสิตนักศึกษาจะได้รับประสบการณ์ที่มีคุณค่า พัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับอนาคต และเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ผู้นำการเปลี่ยนแปลง และผู้สร้างนวัตกรรมที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่เจริญรุ่งเรือง
การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากการกล้าคิดใหม่และลงมือทำ
สหกรณ์ร้านค้าในมหาวิทยาลัยคือจุดเริ่มต้นแห่งการสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นใหม่และประเทศไทย
No.73267