แต่พอกลับมาดูผลการจำลองสภาพอากาศที่เกิดขึ้นกลับต้องตกใจครับ เพราะสภาพอากาศที่จำลองขึ้นมีความแตกต่างออกไปอย่างสุดขั้ว ไม่น่าเชื่อว่าแค่ปัดเศษนิดเดียวจะสามารถทำให้แบบพยากรณ์ทางภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงทำนองฟ้ากับเหวได้ถึงเพียงนั้น ดร.ลอว์เรนซ์ก็เลยคิดต่อไปอีกว่า แล้วถ้าอย่างนั้นในทำนองเดียวกัน หากมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เราอาจเห็นว่าไม่สำคัญเกิดขึ้นจริง ทำให้เลขทศนิยมเปลี่ยนแปลงจริงๆ แม้เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อใส่ในแบบจำลองก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเช่นกัน ดร.ลอว์เรนซ์เลยเสนอบทวิจัยเชิงอุปมาอุปไมยว่า แค่ผีเสื้อขยับปีกในไทยอาจไปทำให้เกิดทอร์นาโดในอเมริกาได้ ในทางตรงข้าม เราก็อาจหยุดทอร์นาโดที่กำลังก่อตัวได้ด้วยการทำให้เกิดลมเล็กๆ ก็อาจเป็นไปได้ที่จะทำให้ทอร์นาโดเปลี่ยนทิศหรือลดความรุนแรงลงได้ครับ นี่แหละครับจึงเป็นที่มาของทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก (Butterfly Effect)
"A butterfly flaps its wings in the Amazonian jungle, and subsequently a storm ravages half of Europe."
"ผีเสื้อกระพือปีกในป่าอเมซอน จากนั้นพายุก็พัดถล่มครึ่งหนึ่งของยุโรป"
บทเรียนที่เราได้จากทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีกก็คือ
ทุกการกระทำที่แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็สามารถนำมาซึ่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้
เป็นการเตือนให้เราทำดีในปัจจุบันให้มากที่สุด โดยเฉพาะคนที่อยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยก็ตาม
อย่าปิดกั้นตนเองในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะไม่แน่ อนาคตเราอาจรุ่งเรืองจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราทำในวันนี้ก็ได้
อย่าประมาทกับความผิดแม้เพียงเล็กน้อย เพราะอาจส่งผลเสียหายที่ยิ่งใหญ่ก็ได้ อย่างเช่น คำพูดที่ไม่คิดของเราเพียงประโยคเดียว อาจทำให้เราเสียเพื่อนที่ดีไปก็ได้เช่นกัน