มาตรฐานเครือข่ายแลน
ในระบบเครือข่ายแลนจะมีมาตรฐานการทำงานที่ต่างกันออกไป มาตรฐานใช้กันจะมีอยู่ 3 แบบ คือ
อีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีที่เริ่มคิดค้นโดยบริษัท Xerox ใช้การต่อสายสัญญาณเพื่อให้ คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องเชื่อมต่อถึงกัน โดยใช้วิธี CSMA/CD (Carmer Sense Multiple Access/ Collision Detection) ซึ่งทำให้คอมพิวเตอร์ในเครือข่ายสามารถเห็นข้อมูลที่ไหลอยู่ในสายสัญญาณ แต่จะให้คอมพิวเตอร์ที่เป็นเป้าหมายหรือถูกระบุไว้เท่านั้นที่จะรับข้อมูลขึ้นไป ในการส่งข้อมูลด้วยวิธี นี้คอมพิวเตอร์ที่ต้องการส่งข้อมูลจะต้องตรวจสอบการจราจรของข้อมูลในสายสัญญาณว่าว่างหรือไม่ หากไม่ว่างจะต้องหยุดรอและทำการสุ่มตรวจใหม่เรื่อยๆ จนพบว่าสัญญาณว่างจึงส่งข้อมูลเข้าไปได้ แต่อย่างไรก็ดีอาจมีกรณีที่คอมพิวเตอร์อีกเครื่องได้ส่งสัญญาณเข้าไปพร้อมกัน จึงทำให้เกิดการชน กันของข้อมูล (Collision) หากเกิดกรณีเช่นนี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องหยุดส่งข้อมูลและรออยู่ระยะหนึ่ง จากนั้นจึงส่งใหม่ และหากข้อมูลชนกันอีกก็ต้องหยุดและส่งใหม่ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะส่งได้ สำเร็จ ในปัจจุบันอีเทอร์เน็ตเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้กันมากที่สุด
เครือข่ายแบบอีเทอร์เน็ตได้รับการดูแลและกำหนดมาตรฐานโดยสถาบันวิศวกรรมไฟฟ้าและ อิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ หรือ IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) โดย ใช้มาตรฐาน IEEE 802.3 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลที่ 10 เมกะบิตต่อวินาที (Mbps) ต่อมาถูก พัฒนาให้มีความเร็วที่มากขึ้นคือ 100 เมกะบิตต่อวินาที จึงมีชื่อเรียกใหม่ว่า ฟาสต์อีเทอร์เน็ต (Fast Ethemet) แต่ปัจจุบันนี้มีการพัฒนาจนถึงความเร็วที่ 1000 เมกะบิตต่อวินาที หรือ 1 กิกะบิตต่อวินาที (Gbps) เรียกกันว่า กิกะบิตอีเทอร์เน็ต (Gigabit Ethernet) ซึ่งมาตรฐานของอีเทอร์เน็ตแยกแยะ ได้ด้วยรหัส เช่น 10Base5, 10Base2, 10BaseT โดยรหัสแต่ละตัวมีความหมายดังนี้
ความเร็ว เป็นตัวบอกความเร็วสูงสุดที่ระบบทำได้ ซึ่งความเร็วที่มีอยู่ในระบบปัจจุบัน ได้แก่ 10, 100, 1000 เมกะบิตต่อวินาที (หรือ 1 กิกะบิตต่อวินาที) และ 10 กิกะบิตต่อวินาทีในอนาคตวิธีส่งสัญญาณ เป็นตัวบอกลักษณะการส่งสัญญาณทางไฟฟ้า มี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband โดย Baseband คือการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งไม่มีการผสมสัญญาณเข้า กับสัญญาณความถี่อื่นใด ส่วน Broadband คือการส่งสัญญาณแบบแอนะล็อกที่มีการผสม สัญญาณระหว่างสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อกกับสัญญาณคลื่นพา (Carrier Signal) เพื่อให้ส่ง ได้ไกลและใช้ได้หลายช่องสัญญาณ
วิธีส่งสัญญาณ เป็นตัวบอกลักษณะการส่งสัญญาณทางไฟฟ้า มี 2 ลักษณะคือ Baseband และ Broadband โดย Baseband คือการส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งไม่มีการผสมสัญญาณเข้า กับสัญญาณความถี่อื่นใด ส่วน Broadband คือการส่งสัญญาณแบบแอนะล็อกที่มีการผสม สัญญาณระหว่างสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อกกับสัญญาณคลื่นพา (Carrier Signal) เพื่อให้ส่ง ได้ไกลและใช้ได้หลายช่องสัญญาณ
สายที่ใช้รหัสที่ใช้แต่ละตัวมีความหมายดังนี้
5 หมายถึง สาย Thick coaxial เป็นสายโคแอกเชียลชนิดหนา มีความยาวได้ไม่เกิน 500 เมตร ต่อ 1 เซกเมนต์ (Segment) หรือ 1 เครือข่าย ซึ่งจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Transceiver เป็นตัวเชื่อมไป สู่การ์ดแลนโดยใช้สาย AUI อีกทีหนึ่ง ในปัจจุบันเลิกใช้กันแล้ว เรียกมาตรฐานที่ใช้สาย Thick coaxial นี้ว่า 10Base5
2 หมายถึง สาย Thin coaxial เป็นสายโคแอกเชียลชนิดบาง ขนาดจะเล็กกว่าสาย Thick coaxial ใช้วิธีต่อตรงเข้ากับการ์ดแลนโดยไม่ต้องใช้ Transceiver มีความยาวได้ไม่เกิน 185 เมตร ต่อ 1 เซกเมนต์ และต้องมีระยะห่างระหว่างคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร เรียก มาตรฐานที่ใช้สาย Thin coaxial นี้ว่า 10Base2 ปัจจุบันเครือข่ายแบบนี้ก็ไม่นิยมใช้แล้วเช่นกัน
T หมายถึง สายประเภท Twisted-Pair ใช้เชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์กับฮับหรือสวิตช์ แต่ เติมนั้นใช้สาย UTP ชนิด CAT3 หรือ CAT4 (Category 3, 4) มีความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาที เมื่อ ได้รับการพัฒนาให้มีความเร็ว 100 เมกะบิตต่อวินาที จึงต้องใช้สาย UTP ชนิด CAT5 หรือ CAT5e และสวิตช์หรือฮับจะต้องรองรับความเร็ว 100 เมกะบิตต่อวินาทีด้วย (ในปัจจุบันนิยมใช้สวิตช์แทน ฮับ) ระบบเครือข่ายแลนในยุคปัจจุบันจะใช้มาตรฐานนี้เป็นหลัก เราเรียกมาตรฐานที่ใช้สาย UTP นี้ ว่า 10BaseT, 100BaseTX (T) ใช้สาย UTP CAT3 ส่วน TX ใช้สาย UTP CAT5) ส่วนสาย UTP จะมีความยาวจากอับหรือสวิตช์มายังคอมพิวเตอร์ได้ไม่เกินเส้นละ 100 เมตร
F หมายถึง สายใยแก้วนำแสงหรือไฟเบอร์ออปติก มักเชื่อมโยงระหว่างอาคารหรือใช้เป็นแกน หลักของระบบ สามารถทนต่อสัญญาณรบกวนได้เป็นอย่างดี เรียกมาตรฐานนี้ว่า 100BaseFX
โทเค็นริง (Token-Ring)
โทเค็นริงเป็นมาตรฐานของระบบเครือข่ายอีกแบบหนึ่ง ใช้วิธีการส่งข้อมูลชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โทเค็น (Token) ให้เคลื่อนที่ไปภายในวงแหวนเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา เมื่อไปถึงคอมพิวเตอร์ที่ต้อง การส่งข้อมูล คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะส่งข้อมูลพร้อมระบุที่อยู่ปลายทางต่อท้ายโทเค็น เมื่อโทเค็น เคลื่อนย้ายไปยังคอมพิวเตอร์ปลายทาง คอมพิวเตอร์ปลายทางก็จะทราบว่ามีข้อมูลมาถึงและทำการ ดึงข้อมูลในส่วนที่ต่อท้ายโทเด็นออกมา แล้วโทเค็นก็จะว่างเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับและพา ข้อมูลของคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นต่อไป มาตรฐานนี้ได้รับการออกแบบให้มีประสิทธิภาพในการส่งถ่าย ข้อมูลที่ดี แต่มีความซับซ้อนมากกว่าเครือข่ายแบบอีเทอร์เน็ต
FDDI (Fiber Distributed Data Interface)
เป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อที่อาศัยสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูลได้ที่ความเร็ว สูงถึง 100 เมกะบิตต่อวินาที โดยลักษณะของ FDDI จะต่อกันเป็นวงแหวน เหมาะกับเครือข่ายที่มี การรับส่งข้อมูลปริมาณมาก มักใช้เป็นแกนหลัก (Backbone) เพื่อเชื่อมเครือข่ายแลนหลายเครือข่าย เข้าด้วยกัน