บทเรียน
เรื่อง นิทานพื้นบ้าน
เรื่อง นิทานพื้นบ้าน
บทเรียนในวันนี้ นักเรียนสามารถศึกษาข้อมูลจาก E-book นิทานพื้นบ้าน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และจากแหล่งอื่น ๆ ที่คุณครูได้นำมาเผยแผ่ ขอให้นักเรียนมีความสุขกับการเรียนนิทานพื้นบ้านนะคะ...ไปเรียนกันเลย
ตำนานเกี่ยวกับศาลเจ้าแม่ลิ่มกอเหนี่ยวมีว่า แต่เดิมนั้นเมืองปัตตานีเรียกว่า “เมืองตานี” เป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง มีเรือสำเภานำสินค้าจากต่างเมืองมาค้าขายและขนถ่ายสินค้าเป็นประจำ ลิ่มโต๊ะเคี่ยมเป็นพ่อค้าหนุ่มชาวจีนนำเรือสำเภาไปค้าขายตามเมืองต่าง ๆ ได้แวะมาที่เมืองตานี และนำสินค้าเครื่องบรรณาการไปมอบให้เจ้าเมืองตานี จึงได้มีโอกาสพบธิดาเจ้าเมืองซึ่งมีรูป โฉมงดงาม ลิ่มโต๊ะเคี่ยมเกิดหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ส่วนนางก็มีใจตรงกัน ติดขัดอยู่ที่ว่าฝ่ายชายเป็นคนต่างชาติ ต่างศาสนา บิดาของนางจึงขอให้ลิ่มโต๊ะเคี่ยมเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามตามอย่างนาง ซึ่งลิ่มโต๊ะเคี่ยมก็ยินยอมโดยได้ส่งเรือสำเภาให้เดินทางกลับไปส่งข่าวให้มารดาทราบว่าตนจะตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองตานี ไม่กลับไปเมืองจีนอีก เมื่อมารดาทราบข่าวก็เศร้าโศกเสียใจมาก นางลิ้มกอเหนี่ยวผู้เป็นน้องสาวจึงตัดสินใจเดินทางมาหาพี่ชายเพื่อขอร้องให้กลับไปเยี่ยมมารดา
เมื่อลิ้มกอเหนี่ยวมาที่เมืองตานี ก็พบว่าพี่ชายได้เข้ารีตนับถือศาสนาอิสลาม และกำลังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงช่วยเจ้าเมืองตานีก่อสร้างมัสยิดหลังใหญ่เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานทางศาสนาซึ่งนางเห็นว่าเป็นความผิดอย่างมหันต์ เพราะจะทำให้วิญญาณของบรรพบุรุษต้องเสียใจที่ลูกหลานนอกรีตนอกรอย นางพยายามขอให้พี่ชายวางมือจากการก่อสร้าง แต่ลิ้มโต๊ะเคี่ยมก็ไม่ยอมฟังเสียง ในที่สุดนางลิ้มกอเหนี่ยวก็ลั่นวาจาสาปแช่งขออย่าให้พี่ชายสร้างมัสยิดไม่สำเร็จ แล้วคืนนั้นเอง นางก็ตัดสินใจผูกคอตายกับกิ่งมะม่วงหิมพานต์ที่ตรงหน้ามัสยิดที่กำลังก่อสร้างนั้น เมื่อลิ่มโต๊ะเคี่ยมรู้ก็เศร้าโศกเสียใจ และได้จัดการฝังศพนางไว้ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์ต้นนั้น
หลังจากทำศพน้องสาวเสร็จ ลิ่มโต๊ะเคี่ยมก็พยายามสร้างมัสยิดต่อไป โดยเจตนาให้เป็นอนุสรณ์แก่น้องสาวด้วย แต่ปรากฏว่า เมื่อสร้างไปถึงยอดโดมอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญก็เกิดเหตุอัศจรรย์ฟ้าผ่าลงตรงกลางทำให้ยอดโดมพังทลายลงมา ครั้งแรกยังไม่มีใครคิดเป็นอย่างอื่นนอกจากเห็นว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติและลงมือสร้างต่อไป แต่พอสร้างถึงยอดโดมก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาเป็นครั้งที่สอง ทำให้ยอดโดมพังทลายลงไปอีกลิ้มโต๊ะเคี่ยมจึงนึกถึงคำสาปแช่งของนางลิ้มกอเหนี่ยวขึ้นมาได้และสั่งให้ทุกคนวางมือจากการก่อสร้าง ทั้ง ๆ ที่สร้างเสร็จแล้วเป็นส่วนมาก เหลืออยู่แต่เพียงยอดโดมที่เป็นสัญลักษณ์ของมัสยิดเท่านั้น
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อประมาณร้อยปีมานี้ มีผู้พยายามสร้างยอดโดมต่อ แต่ก็ประสบเหตุอาถรรพ์เช่นเดิมอีก กล่าวคือเกิดฟ้าผ่าลงมาตรงกลางครั้งที่สาม เป็นเหตุให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพราะคำสาปแช่งของนางลิ้มกอเหนี่ยวนั่นเอง ในปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ยังคงเหลือโครงร่างอยู่เช่นเดิม ที่ตำบลรือเซาะ ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๗ กิโลเมตร และหลุมศพของนางลิ้มกอเหนี่ยวก็ยังคงปรากฏอยู่เช่นกัน เรื่องเมืองปัตตานีสร้างมัสยิดไม่สำเร็จเพราะคำสาปแช่งของนางลิ้มกอเหนี่ยวได้แพร่สะพัดไปทั่ว ต่างก็ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพ์ของคำสาป
หลุมศพของนางลิ้มกอเหนี่ยวจึงกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีคนไปกราบไหว้ไม่ขาด และเชื่อกันว่าเป็นหลุมศพของเจ้าแม่ เมื่อมีเรื่องทุกข์ร้อนก็พากันไปบนบานศาลกล่าวขอให้เจ้าแม่ช่วยเหลือ และก็ปรากฏว่าสัมฤทธิผลไปตาม ๆ กัน คนจึงพากันนับถือมากขึ้นทุกที ต่อมามีชาวจีนคนหนึ่งได้ตัดกิ่งมะม่วงหิมพานต์ที่นางลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายนำไปแกะสลักเป็นรูปเหมือนของนาง และสร้างศาลเล็ก ๆ ขึ้นไว้ใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์นั้น นำรูปแกะสลักไปประดิษฐานไว้ให้คนไปเคารพบูชา
เมื่อไม่นานมานี้เอง ชาวจีนในจังหวัดปัตตานีส่วนมากมีความเห็นว่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นที่เคารพบูชาของคนทั่วไป ด้วยถือว่าเป็นศาลศักดิ์สิทธิ์ แต่ศาลนั้นตั้งอยู่ไกลจากตัวเมือง ไม่สะดวกแก่การประกอบพิธีบวงสรวง จึงได้ร่วมมือกันสร้างศาลเจ้าแห่ง ใหม่ขึ้นที่ตัวเมืองปัตตานี คือ ศาลเจ้าเล่งจูเกียง และอัญเชิญรูปสลักเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าแห่งใหม่และยังคงเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไปตราบจนทุกวันนี้
เรื่องราวชีวิตของชายหนุ่มที่มีนามว่า “พาน” เมื่อลืมตาดูโลกก็ถูกบิดาผู้เป็นเจ้าเมืองนครชัยศรี นาม “พญากง” สั่งให้นําไปประหาร เพียงเพราะโหรทํานายทายทัก แต่ด้วยความรักจากผู้เป็นแม่ “พระมเหสีแห่งเมืองนครชัยศรี” ได้ช่วยชีวิต “พาน” ไว้ จึงถูกนําไปลอยนํ้าแทนการประหาร แต่มี “ยายหอม” หญิงชาวบ้านผู้ไร้สามี ใจดีเก็บไปชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่ ด้วยชาติตระกูลแต่กําเนิดทําให้ “พาน” เป็นผู้เรียนรู้ไว เก่งกล้า สามารถจนได้รับราชการในเมืองราชบุรี และได้รับความเมตตาเอ็นดูจากกษัตริย์เมืองราชบุรีให้เป็นบุตรบุญธรรม และได้รับการแต่งตั้งให้เป็น “พญาพาน” ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเมืองนครชัยศรีอันเป็นเมืองของผู้เป็นพระบิดา “พญากง” จนทําให้เกิดเรื่องราวมากมาย ความรักอันบริสุทธิ์และการเล่นตลกของโชคชะตาเหมือนกลั่นแกล้งให้ชีวิตของ “พาน” ต้องเผชิญกับความไม่รู้ อันเป็นบ่อเกิดแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ที่ประวัติศาสตร์ต้องจดจําไปตลอดกาล และเป็นตำนานที่มาของพระเจดีย์อันศักดิ์สิทธิ์อายุนับพันปี “องค์พระปฐมเจดีย์” จังหวัด นครปฐม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อครั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชมน์ชีพอยู่นั้น สัตว์ทุกตัวสามารถพูดภาษา คนได้ สัตว์หลายตัวได้เดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอให้พระพุทธเจ้าตั้งชื่อให้สัตว์แต่ละตัวต่างก็ได้ชื่อ ดีๆ ไพเราะ กลับไปทุกตัว
สุนัขตัวหนึ่งเห็นเพื่อนๆ ต่างได้ชื่อที่ไพเราะอย่างนั้นก็เลยเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบ้าง มันได้ขอให้พระ พุทธเจ้าตั้งชื่อให้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงตั้งชื่อสุนัขว่า "คำผี้หลี้" ซึ่งมีความหมายว่า งดงาม น่ารัก
สุนัขตัวนั้นชอบชื่อของมันมาก ด้วยความเห่ออยากจะได้ยินคนอื่นเรียกชื่อตัวเองบ่อยๆ ก็เลยวิ่งกลับไปหาพระพุทธเจ้าอีกแล้วถามว่า "พระพุทธเจ้า ท่านตั้งชื่อให้ข้าว่ายังไงนะ ท่าน"
พระพุทธเจ้าจึงบอกสุนัขไปว่า "ข้าให้ชื่อเจ้าว่าคำผี้หลี้" สุนัขหรือคำผี้หลี้ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตั้งชื่อให้นั้นก็ดีใจ ลากลับไป พอกลับไปได้ไม่นาน ก็ดีใจอยากจะได้ยินชื่อของตนอีก ก็วิ่งกลับมาถามพระพุทธเจ้าอีกว่ามันชื่ออะไร พระพุทธเจ้าก็ตอบเหมือนเดิมว่า ตั้งชื่อให้มันว่า "คำผี้หลี้”
คำผี้หลี้ได้ยินชื่อตนเองอีกครั้งก็ดีใจ จึงลากลับไป วิ่งไปได้ไม่นาน ก็อยากจะฟังชื่อของตนอีกด้วยความเห่อ ก็วิ่งกลับมาถามพระพุทธเจ้าเป็นครั้งที่ 3 ว่า "พระพุทธเจ้า ท่านให้ชื่อว่าอะไรนะ บอกข้าอีกครั้งเถอะ" พระพุทธเจ้าได้ยินคำผี้หลี้ถามซ้ำแล้วซ้ำอีกก็นึกรำคาญจึงตอบไปว่า "ข้าให้ชื่อเจ้าว่า หมา” คำผี้หลี้จึงได้ชื่อว่าหมาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พญาคันคาก เป็นราชาครองเมืองชมพู บรรดาบ้านเมืองบริวารใหญ่น้อย พร้อมใจกันบังคมก้มให้พญาคันคากถ้วนทั่วทุกหัวระแหง จนลืมส่งสการไหว้สาฟ้าแถนเหมือนแต่ก่อน …ผีฟ้า “พญาแถน” เป็นใหญ่อยู่เมืองแมนแดนสวรรค์ ครั้นเมื่อฝูงคนทั้งหลายไปภักดีต่อ พญาคันคากหมดสิ้น ผีฟ้าพญาแถนเลยโกรธ ก็ไม่ส่งน้ำฟ้าน้ำฝนหล่นลงมาให้บ้านเมืองแว่นแคว้นใหญ่น้อย จนเกิดความแห้งแล้งทุกหย่อมหญ้าสาหัส
พญาคันคากเห็นความทุกข์ยากของไพร่บ้านพลเมือง ก็มุดลงไปเมืองบาดาลนาค แล้วไต่ถามความนัยว่าเหตุไฉนถึงเกิดภัยแล้งแห้งน้ำมานานปี …พญานาคจอมบาดาล จึงบอกเหตุว่าเพราะผีฟ้าพญาแถนไม่ให้นาคทั้งหลายขึ้นไปเล่นน้ำบนสวรรค์เหมือนแต่ก่อน น้ำเลยไม่แตก ฉานซ่านกระเซ็นกระเด็นกระดอนเป็นฝนฝอยหล่นลงมาเลี้ยงโลกมนุษย์ เมืองชมพูและบริวารเลยยากแค้นแสนกันดาร ด้วยแถนฟ้าเคืองรำคาญผู้คนที่ไม่บัตรพลีดีไหว้ มัวแต่ไปบังคมพญาคันคากนั้นแล …พญาคันคากรู้ความตามจริงก็ยิ่งโกรธพิโรธนัก สั่งให้พญานาคผู้เป็นเมืองบริวารทำทางถนนจากเมืองชมพูขึ้นไปเมืองแถนแดนสวรรค์พญาคันคากมีใจเมตตา แล้วเจรจาว่ากล่าวอบรมบ่มนิสัยพญาแถนให้ประพฤติธรรม ต้องเอาใจใส่ดูแลทั้งชาวแถนและชาวมนุษย์จนสุดใจดินใจฟ้า ด้วยโลกนี้มีทั้ง ดิน หญ้าและฟ้าแถน ต้องพึ่งพาอาศัยกันมั่นคงถึงจะดำรงอยู่ได้ชั่วฟ้าดิน ถึงฤดูเดือนปีที่นาคต้องขึ้นมาเล่นน้ำบนฟ้าก็อย่าห้ามปราม เพราะนาคจะได้พ่นน้ำกระแทกคลื่น ดื่นดกตกเป็นฝอยฝนหล่นไปชุบเลี้ยงเอี้ยงดูหมู่มนุษย์ ทำไร่ไถนา ได้พืชพันธุ์ว่านยาอาหารอุดมสมบูรณ์ ถ้าไม่มีน้ำฟ้าน้ำฝน คนในเมืองมนุษย์สุดลำบาก จะได้ยากโหยหิวชิวหาดังราไฟ เมื่อไม่มีพืชพันธุ์ว่านยาอาหารเลี้ยงชีวังสังขาร แล้วจะเอาอะไรส่งสักการสังเวยให้แถนกินบนฟ้า แถนฟ้าก็ต้องเงือดงดอดตายไ ม่เป็นสุข นอกจากคนทั้งหลายแล้ว ในเมืองมนุษย์ยังมีพืชและสัตว์ ต้องอาศัยน้ำฝนน้ำฟ้าจากเมืองแถน ถ้าอนาถขาดแคลนเสียแ ล้วก็ต้องเดือดร้อนสารพัด ทั้งสัตว์และพืชเป็นล้นพ้น เราเองพญาคันคาก คือ คางคกสัตว์ไม่มีขน ยังต้องดูแลเผื่อแผ่เกื้อหนุนฝูงม นุษย์ พี่น้องเราทั้งหมดก็ล้วนสัตว์บริสุทธิ์ที่พิทักษ์รักษาผู้คนให้มีความสุขอุดมสมบูรณ์เสมอกัน ท่านซึ่งเป็นพญาแถนควรจดจำเป็นเยี่ยง อย่าง อย่าเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน แถนฟ้าต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดู ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาลงโทษอีกให้สาสม
ณ เมืองยศวิมลนคร อันมีท้าวยศวิมลเป็นเจ้าเมือง พระมเหสีจันเทวีได้คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์ จึงถูกพระนางจันทา มเหสีรอง ใส่ร้ายว่าเป็นกาลีบ้านเมือง จนถูกขับออกจากเมืองไปอยู่กระท่อมตายายที่ชายป่า จนกระทั่งพระสังข์ที่ซ่อนอยู่ในหอย ได้ออกมาพบแม่ สร้างความยินดีกับพระนางจันเทวีมากข่าวล่วงรู้ไปถึงนางจันทา จึงได้ส่งคนมาจับพระสังข์ไปถ่วงน้ำ แต่ท้าวภุชงค์พญานาคราชช่วยเอาไว้ และส่งให้ไปอยู่กับ นางพันธุรัต พระสังข์รู้ว่านางพันธุรัตเป็นยักษ์จึงขโมยรูปเงาะ ไม้เท้า เกือกแก้ว เหาะหนีมาอยู่บนเขา นางพันธุรัตตามมาทันแต่ ไม่สามารถขึ้นไปหาพระสังข์ได้ จึงได้มอบมนต์มหาจินดา เรียกเนื้อเรียกปลาให้แก่พระสังข์ก่อนที่จะอกแตกสิ้นใจตายที่เชิงเขา นั่นเอง พระสังข์เหาะมาจนถึงเมืองสามล ท้าวสามลและนางมณฑากำลังจัดพิธีเลือกคู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด แต่รจนาพระธิดาองค์สุดท้อง ไม่ยอมเลือกใครเป็นคู่ ท้าวสามลจึงให้คนไปตามเจ้าเงาะมาให้เลือก รจนาเห็นรูปทองที่ซ่อนอยู่ในรูปเงาะจึงเสี่ยงมาลัยไปให้ สร้างความพิโรธให้ท้าวสามาลจึงถึงกับขับไล่รจนาให้ไปอยู่กระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะท้าวสามลหาทางแกล้งเจ้าเงาะ โดยการให้ไปหาเนื้อหาปลาแข่งกับเขยทั้งหก เจ้าเงาะให้มนต์ที่นางพันธุรัตให้ไว้เรียกเนื้อ เรียกปลามารวมกันทำให้หกเขยหาปลาไม่ได้ จึงต้องยอมตัดปลายหูและปลายจมูกแลกกับเนื้อและปลาท้าวสามลพิโรธมากจนถึงกับคิดหาทางประหารเจ้าเงาะ ร้อนถึงพระอินทร์ต้องหาทางช่วยโดยการลงมาท้าตีคลีชิงเมือง กับท้าวสามล ท้าวสามลส่งหกเขยไปสู้ก็สู้ไม่ได้ จึงต้องยอมให้เจ้าเงาะไปสู้แทน เจ้าเงาะถอดรูปเป็นพระสังข์และสู้กับพระอินทร์ จนชนะ ท้าวสามลจึงยอมรับพระสังข์กลับเข้าเมืองและจัดพิธีอภิเษกให้ พระอินทร์ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล เพื่อบอกเรื่องราวทั้งหมด ท้าวยศวิมลจึงออกตามหาพระนางจันเทวีจนพบ และได้เดินทาง ไปเมืองสามลนครเพื่อพบพระสังข์ โดยพระนางจันเทวีได้ปลอมเป็นแม่ครัวในวังและได้แกะสลักเรื่องราวทั้งหมดบนชิ้นฟัก ให้พระสังข์เสวย ทำให้พระสังข์รู้ว่าแม่ครัวคือพระมารดานั่นเอง พระสังข์และรจนาจึงได้เสด็จตามท้าวยศวิมลและพระนาง จันเทวีกลับไปครองเมืองยศวิมลสืบไป