บทเรียนที่ 1
ความรู้พื้นฐานการตัดต่อวิดีโอ
ความรู้พื้นฐานการตัดต่อวิดีโอ
ในปัจจุบันงานวิดีโอได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น ด้วยความสามารถของงานทางด้านมัลติมีเดีย ที่ทำให้การนำเสนองานของเราน่าสนใจแล้ว ราคากล้องวิดีโอก็ราคาถูกลงมามากและหาซื้อได้ไม่ยาก
ความหมายของการตัดต่อวิดีโอ
การตัดต่อ หมายถึง การลำดับภาพหลายภาพมาประกอบกัน โดยเรียงร้อยตามสคริป ไม่ให้ภาพ ขัด กับความรู้สึก หรือมีเหตุการณ์ซ้ำซ้อนกัน จากนั้นใช้เทคนิคการตัดต่อ ให้ภาพและเสียงมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน โดยรักษาคุณภาพของภาพและเสียงให้กลมกลืนกัน
วิดีโอ คือ มัลติมีเดียที่สามารถแสดงภาพเคล่ือนไหวพร้อมเสียงบรรยายได้ การนำเสนอวิดีโอมีหลายรูปแบบ เช่น วิดีโอเพื่อการศึกษา วิดีโอเพื่อความบันเทิง และยังสามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ใช้งาน เช่น วิดีโอนำเสนอสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆ เป็นต้น
การตัดต่อวิดีโอ หมายถึง การเปลี่ยนภาพและเสียงจากหนึ่งช็อต (shot) ไปยังช็อตต่อไปโดยให้มีความต่อเนื่องและเรียงลำดับเรื่องราว ไม่มีการกระโดดหรืออริยาบทซำ้กัน โดยรักษาคุณภาพของภาพและเสียงให้กลมกลืนกันโดยตลอด
การทำงานของวิดีโอมีหลายประเภท ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อให้เข้าใจและสามารถเรียนรู้พร้อมกับสร้างวิดีโอได้ด้วยตนเอง ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานการสร้างวิดีโอด้วยตนเอง สามารถทำได้ง่าย หากทุกคนสามารถเรียนรู้และเข้าใจการใช้โปรแกรมการสร้างผลงานในรูปแบบวิดีโอ เช่น วิดีโอสอนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ วิดีโอนำเสนอผลงาน Presentation วิดีโอ Wedding วิดีโอหนังสั้นภาพยนตร์ซึ่งโปรแกรมที่สามารถใช้สร้างวิดีโอปัจจุบัน มีความหลากหลายให้ผู้ใช้งานเลือกใช้เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของตนเอง
ประโยชน์ของงานวิดีโอ
1.แนะนำองค์กรและหน่วยงาน การสร้างงานวิดีโอเพื่อแนะนำสถานที่ต่างๆ หรือในการนำเสนอข้อมูลภายในหน่วยงาน และองค์กร เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ชมผู้ฟังและยังก่อให้เกิดความเข้าใจในตัวงานได้ง่ายขึ้น
2.บันทึกภาพความทรงจำ และเหตุการณ์สำคัญต่างๆ เช่น การเดินทางไปท่องเที่ยวในที่สถานที่ต่างๆ งานวันเกิด งานแต่งงาน งานรับปริญญางานเลี้ยงของหน่วยงานหรือองค์กร ซึ่งเดิมเราจะเก็บไว้ในรูปแบบภาพนิ่ง
3.การทำสื่อการเรียนการสอน คุณครูสามารถสร้างสื่อการสอนในรูปแบบวิดีโอไว้นำเสนอได้หลายรูปแบบ เช่น เป็นวิดีโอโดยตรง เป็นภาพวิดีโอประกอบในโปรแกรม POWER POINT เป็นภาพวิดีโอประกอบใน Homepage และอื่นๆ
4.การนำเสนอรายงาน วิทยานิพนธ์ และงานวิจัยต่างๆ ซึ่งปรับเปลี่ยนการนำเสนองานจากรูปแบบเดิม ที่เป็นเอกสารภาพประกอบ แผ่นชาร์จแผ่นใส ให้ทันสมัยเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
5.วิดีโอสำหรับบุคคลพิเศษ บุคคลสำคัญในโอกาสพิเศษ อาจหมายถึง วิทยากรที่เชิญมาบรรยาย ผู้จะเกษียณอายุจากการทำงาน เจ้าของวันเกิดคู่บ่าวสาว โอกาสของบุคคลที่ได้รับรางวัลต่างๆ
ที่กล่าวมานี้คือส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เรามองเห็นความสำคัญของงานวิดีโอมากขึ้น และได้รู้ว่าการทำวิดีโอไม่ได้ลงทุนมากและยุ่งยากอย่างที่คิดจากประสบการณ์ในการทำงานวิดีโอ สรุปได้ว่าวิดีโอที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินลงทุนที่ใช้ แต่ขึ้นอยู่กับความปราณีต และความคิดสร้างสรรค์
ขั้นตอนในการสร้างวิดีโอ
ก่อนที่ลงมือสร้างผลงานวิดีโอสักเรื่อง จะต้องผ่านกระบวนการคิด วางแผนมาอย่างรอบครอบ ไม่ใช่ไปถ่ายวิดีโอแล้วก็นำมาตัดต่อเลย โดยไม่มีการคิดให้ดีก่อนที่จะถ่ายทำ เพราะปัญหาที่มักเกิดขึ้นเสมอก็คือการที่ไม่ได้ภาพตามที่ต้องการ เนื้อหาที่ถ่ายมาไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ในที่นี้ขอแนะนำแนวคิดในการทำงานวิดีโออย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความต้องการ จะไม่ต้องมาเสียเวลาแก้ไข้ภายหลัง โดยมีลำดับแนวคิดของงานสร้างวิดีโอเบื้องต้น ดังนี้
1.เขียน Storyboard
สิ่งแรกที่เราควรเรียนรู้ก่อนสร้างงานวิดีโอ ก็คือ การเขียนStoryboard คือ การจินตนาการฉากต่างๆ ก่อนที่จะถ่ายทำจริงในการเขียน Storyboard อาจวิธีง่ายๆ ไม่ถึงขนาดวาดภาพปรกอบก็ได้ เพียงเขียนวัตถุประสงค์ของงานให้ชัดเจนว่าต้องการสื่ออะไรหรืองานประเภทไหน จากนั้นดูว่าเราต้องการภาพอะไรบ้าง เขียนออกมาเป็นฉาก เรียงลำดับ 1, 2, 3,.......
2.เตรียมองค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้
ในการทำงานวิดีโอ เราจะต้องเตรียมองค์ประกอบต่างๆ ให้ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นไฟล์วิดีโอ ไฟล์ภาพนิ่ง ไฟล์เสียง หรือไฟลดนตรี
3.ตัดต่องานวิดีโอ
การตัดต่อคือการนำองค์ประกอบต่างๆ ที่เตรียมไว้มาตัดต่อเป็นงานวิดีโอ งานวิดีโอจะออกมาดีน่าสนใจเพียงใดขึ้นอยู่กับการตัดต่อเป็นสำคัญ ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้การตัดต่อในบทต่อไปก่อน
4.ใส่เอ็ฟเฟ็กต์/ตัดต่อใส่เสียง
ในขั้นตอนการตัดต่อ เราจะต้องตกแด่งงานวิดีโอด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นสี การใส่ข้อความ หรือเสียงดนตรี ซึ่งจะช่วยให้งานของเรามีสีสัน และน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
5.แปลงวิดีโอ เพื่อนำไปใช้งานจริง
ขั้นตอนการแปลงวิดีโอเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการทำงานวิดีโอที่เราได้ทำเรียบร้อยแล้วนั้นไปใช้งาน
ความสำคัญของการตัดต่อวิดีโอ
1. ช่วยเชื่อมต่อภาพ ในการถ่ายวิดีโอนั้นไม่นิยมแช่กล้องจับภาพหรือฉากใดนิ่งนานๆ เพราะจะท้าให้ผู้เบื่อหน่าย ดังนั้นจึงมีการถ่ายเป็นช็อตสั้นๆ จับภาพในมุมต่างๆกัน ถ้าเป็นการถ่ายภาพด้วยกล้องเดียว ก็จะต้องนำภาพทั้งหมดเหล่านั้นมาเรียงลำดับเข้าด้วยกันให้ถูกต้องตามเรื่องราวหรือตามบทวิดีโอ
2. ช่วยแก้ไขส่วนบกพร่อง ในการถ่ายวิดีโอบางครั้งมีการระมัดระวังและพิจารณากันอย่างรอบคอบแล้วก็ตาม ยังมักจะพบข้อบกพร่องอยู่เสมอ การตัดต่อสามารถช่วยได้โดยการตัดภาพที่ไม่ต้องการออกไปหรือแทรกภาพที่ดีเข้าไปแทนที่ หรือต้องการแต่ภาพที่ไม่ต้องการเสียงที่มากับภาพนั้นก็สามารถเอาออกไปได้
3. ช่วยกำจัดเวลา ในการถ่ายวิดีโอรายการต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็นรายการสำหรับออกอากาศนั้น เวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก จำเป็นที่จะต้องถ่ายให้ได้เวลาตามที่กำหนด แม้ว่าจะถ่ายภาพที่ดีๆ สวยๆ และมีประโยชน์กับเรื่องที่จะเสนอมากเพียงไร ก็จำเป็นจะต้องเลือกภาพนั้นมาตัดต่อให้ได้ความยาวพอเหมาะกับเวลาที่กำหนดเท่านั้น ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตัดต่อลำดับภาพก็จะต้องใช้กระบวนการตัดต่อนี้ปรับแต่งตัดภาพส่วนเกินออกไป หรือแทรกบางภาพเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ได้เวลาที่พอดี
4. ช่วยสร้างเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง การลำดับภาพเป็นการนำภาพแต่ละฉากแต่ละตอนมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ถ้าเป็นการต่อเชื่อมภาพอย่างมีศิลปะด้วยความคิดสร้างสรรค์ ผู้ชมจะรู้สึกต่อเนื่องในเรื่องราวที่เชื่อมต่อกันอย่างเป็นลำดับนั้น ให้รายละเอียดมากพอเท่าที่ผู้ชมอยากจะรู้ ให้ความรู้สึกและอารมณ์ตามที่ควรจะเป็น ทั้งนี้หมายถึงว่าในขั้นตอนการถ่ายทำนั้นต้องได้ภาพที่ดี มีรายละเอียดเพียงพอ มีทั้งภาพขนาดไกล ขนาดกลาง ภาพถ่ายใกล้และภาพหลายๆมุมของแต่ละฉากแต่ละตอน เจ้าหน้าท่ีตัดต่อจึงจะสามารถเลือกภาพมาตัดต่อได้ตามต้องการ
1. เครื่องคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์เป็นอุปกาณ์ชิ้นแรกที่จำเป็นต้องมี ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกล ทำให้เราสามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาประหยัด
2. กล้องถ่ายวิดีโอ
กล้องถ่ายวิดีโอ มีหลายประเภท หลายรูปแบบ แต่ในที่จะกล่าวถึงการใช้งานเฉพาะกล้องถ่ายวิดีโอแบบดิจิตอล หรือกล้องดิจิตอลแบบ MiniDV
3. Capture Card (การ์ดแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ)
เนื่องเราไม่สามารถนำภาพวิดีโอที่อยู่ ในกล้องวิดีโอมาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ ที่เรียกว่าการ์ดแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ ช่วยเปลี่ยนเสมือนเป็นสื่อกลางในการส่งถ่ายข้อมูล จากกล้องมายังเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นเอง และแคปเจอร์ หรือการ์ดจับภาพวิดีโอ ก็มีหลายรูปแบบเช่นกัน
4.แผ่นสำหรับบันทึกข้อมูล
แผ่น CD-R (CD-ReWrite หรือ CD Record) ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลทั่วไป เช่น ข้อมูลต่างๆ โปรแกรมเพลง รูปภาพ และภาพยนตร์ สามารถเขียนหรือบันทึกข้อมูลได้เพียงครั้งเดียวจนกว่าจะเต็มแผ่น
แผ่น CD-RW (CD-Write) ใช้สำหรับบันทึกข้อมูลทั่วไปเช่นเดียวกับแผ่น CD-R แต่มีความพิเศษกว่าตรงที่สามารถที่จะเขียนหรือบันทึกซ้ำ และลบข้อมูลที่เขียนไปแล้วได้
แผ่น (DVD+R :Digital Versatile Disc-Recordable) เป็นแผ่นดีวีดีที่ผู้ใช้สามารถบันทึก หรือเขียนข้อมูลลงไปได้ครั้งเดียว จนกว่าจะเต็มแผ่น มีให้เลือกแบบด้านเดียว และ 2 ด้าน ในความจุด้านละ 4.7 GB แผ่น
แผ่นดี(DVD+RW : Digital Versatile Disc-Re-recordable) เป็นแผ่นดีวีดีที่ใช้เขียน และลบข้อมูลได้หลายครั้งมีความจุ 4.7 GB
5.ดีวีดีอาร์ดับบลิวไดรว์
ดีวีดีอาร์ดับบลิวไดรว์ (DVD+-RW drive) ก็คล้ายกับ
ซีดีอาร์ดับบลิวไดรว์นั่นเอง คือสามารถอ่านและเขียนแผ่นดีวีดี
แบบพิเศษ คือแผ่น DVD+-R และแผ่น DVD+-RW ได้
รูปแบบไฟล์ภาพ
BMP (Bitmap)
ไฟล์ภาพประเภทที่เก็บจุดของภาพแบบจุดต่อจุดตรงๆ เรียกว่าไฟล์แบบ บิตแมพ( Bitmap ) ไฟล์ประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่แต่สามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากการเก็บแบบ Bitmap ใช้เนื้อที่ในการเก็บจำนวนมาก จึงได้มีการคิดค้นวิธีการเก็บภาพให้มีขนาดเล็กลงโดยยังคงสามารถเก็บภาพได้เช่นเดิม ขึ้นมาหลายวิธีการ เช่น JPEG และ GIF
JPEG ( Joint Graphics Expert Group )
เป็นการเก็บไฟล์ภาพแบบที่บีบอัด สามารถทำภาพ ให้มีขนาดของไฟล์ภาพเล็กกว่าแบบ Bitmap หลายสิบเท่า แต่เหมาะจะใช้กับภาพที่ถ่ายจากธรรมชาติเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเก็บภาพเหมือนจริง เช่น ภาพการ์ตูน เป็นต้น
GIF ( Graphics Interchange Format )
เป็นวิธีการเก็บไฟล์ภาพแบบบีบอัดคล้ายกับ JPEG โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถเก็บภาพที่ถ่ายจากธรรมชาติได้มีขนาดเล็กเท่ากับแบบ JPEG แต่สามารถเก็บภาพที่ไม่ใช่ภาพถ่ายจากธรรมชาติเช่น ภาพการ์ตูน ได้เป็นอย่างดี นากจากนี้ GIF ยังสามารถเก็บภาพไว้ได้หลายๆภาพ ในไฟล์เดียว จึงถูกนำไปใช้สร้างภาพเคลื่อนไหวง่ายๆ เช่น ในอินเตอร์เน็ต
TIFF ( Tagged Image File Format )
คือการเก็บไฟล์ภาพในลักษณะเดียวกับไฟล์แบบ BMP แต่ในไฟล์มี Tagged File ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ช่วยโปรแกรมควบคุมการแสดงภาพ เช่น การแสดงหรือไม่แสดงภาพบางส่วนได้ ภาพที่เก็บไว้ในลักษณะของ TIFF จึงมีความพิเศษกว่าการเก็บแบบอื่นที่กล่าวมา นอกจากนี้ยังมีไฟล์ภาพแบบต่างๆ อีกหลายแบบ โดยแต่ละแบบจะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป มักนิยมใช่ในงานกราฟิก
รูปแบบของไฟล์วิดีโอ
ไฟล์วิดีโอที่จะนำมาใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีด้วยกันหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกันทั้งขนาดไฟล์และคุณภาพของภาพและเสียง ไฟล์วิดีโอแบบต่าง ๆ ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน
1. MPEG (Motion Picture Exports Group) เป็นไฟล์มาตรฐานในการบีบอัดไฟล์วิดีโอซึ่งเป็นรูปแบบของวิดีโอที่มีคุณภาพสูงและนิยมนำมาใช้กับงานวิดีโอหลายประเภท ไฟล์ MPEG ยังสามารถแบ่งออกตามคุณสมบัติต่าง ๆ ได้ดังนี้
MPEG-1 เป็นรูปแบบไฟล์ที่เข้ารหัสด้วยการบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็ก เพื่อสร้างไฟล์วิดีโอในรูปแบบ VCD ซึ่งจะมีขนาดสูงสุดอยู่ที่ 352 X 288 และมีการบีบอัดที่สูง มีค่าบิตเรทอยู่ที่ 1.5 Mb/s 2 ช่องสัญญาณเสียง
MPEG-2 เป็นรูปแบบการเข้ารหัสไฟล์ที่สร้างมาเพื่อภาพยนตร์โดยเฉพาะ โดยจะสร้างเป็น SVCD หรือ DVD ซึ่งจะมีขนาดสูงสุดอยู่ที่ 1920X1080 ซึ่งอัตราการบีบอัดจะน้อยกว่ารูปแบบ MPEG-1 ไฟล์ที่ได้จึงมีขนาดใหญ่กว่าและมีคุณภาพที่ดีกว่า ซึ่งรูปแบบ MPEG-2 สามารถที่จะบีบอัดข้อมูลตามที่ต้องการเองได้
MPEG-4 เป็นรูปแบบการเข้ารหัสไฟล์ที่ดีกว่า MPEG-1 และ MPEG-2 เป็นไฟล์วิดีโอบีบอัดที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีขนาดสูงสุดอยู่ที่ 720×576 รองรับสื่อวิดีโอดิจิตอลในปัจจุบัน เช่น Mobile Phone,PSP, PDA และ iPod
2. AVI (Audio Video Interleaved) เป็นรูปแบบของไฟล์มัลติมีเดียบน Windows สำหรับเสียงและภาพเคลื่อนไหวที่ใช้คุณสมบัติของ RIFF (Resource Interchange File Format) ของ Windows เป็นไฟล์วิดีโอที่มีความละเอียดสูง เหมาะสมกับการนำมาใช้ในงานตัดต่อวิดีโอ แต่ไม่นิยมนำมาใช้ในสื่อดิจิตอลอื่น ๆ เพราะไฟล์มีขนาดใหญ่มาก
3. DAT เป็นระบบของไฟล์ภาพยนตร์หรือไฟล์คาราโอเกะจากแผ่น VCD ที่อยู่ในรูปแบบไฟล์ MPEG-1 สามารถเปิดเล่นด้วยโปรแกรมดูหนัง เช่น Power DVD หรือ โปรแกรม Windows Media Player มีการเข้ารหัสบีบอัดไฟล์คล้ายกับไฟล์ MPEG สามารถเล่นได้บนเครื่องเล่น VCD หรือ DVD ทั่วไป
4. WMV (Windows Media Video) เป็นไฟล์วิดีโอของบริษัทไมโครซอฟท์ สร้างขึ้นมาจากโปรแกรม Windows Movie Maker เป็นไฟล์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันจากสื่ออินเทอร์เน็ต มีจุดประสงค์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อการชมวิดีโอแบบ Movie on Demand ด้วยคุณภาพที่ดีและมีขนาดไฟล์ที่เล็ก สามารถที่จะ Upload ขึ้นเว็บไซต์ได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว
5. MOV (QuickTime Movie) เป็นไฟล์ของโปรแกรม QuickTime จากบริษัท Apple ซึ่งมีความนิยมสูงในเครื่องตระกูล Macintosh สามารถใช้ได้กับเครื่องที่ใช้ระบบ Windows แต่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรม QuickTime ก่อน
6. VOB (Voice of Barbados) เป็นไฟล์ของ ซึ่งใช้การเข้ารหัสหรือการบีบอัดในรูปแบบซึ่งมีคุณภาพสูงทั้งระบบภาพและเสียง สามารถเล่นได้จากเครื่องเล่น DVD หรือไดรว์ DVD ในเครื่องคอมพิวเตอร์
7. DV (Digital Video) ไฟล์เป็นประเภท AVI เช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่ มีการกำหนดขนาดความละเอียดของภาพ ที่ต่างกัน และอัตราการส่งข้อมูลต่างกัน ไฟล์ประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้เป็นไฟล์ต้นฉบับ ในการนำไปแปลงเป็น VCD/DVD ที่เรารู้จักกันดี ไฟล์ประเภทนี้มักถ่ายมาจากกล้องดิจิตอลที่บันทึกลงเทป DV, miniDV
8. RM (Streaming RealVideo) พัฒนาโดยบริษัท Real Network ที่เคยโด่งดังมานาน เป็นไฟล์วีดีโออีกรูปแบบหนึ่งที่นิยมใช้สำหรับการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ในรูปแบบ “Streaming” ซึ่งมีความคมชัดของภาพและเสียงค่อนข้างต่ำ แต่เหมาะสำหรับการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันไฟล์ FLV เป็นอีกหนึ่งที่นิยมใช้เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
9. DixV ไฟล์วีดีโดรูปแบบใหม่ที่นิยมใช้งานกันมาก เนื่องจากมีคุณภาพสูงในขณะที่ไฟล์มีขนาดเล็กลง เรียกว่าคุณภาพระดับ DVD เลย เป็นไฟล์ประเภทเดียวกับ MPEG-4
10. XviD ไฟล์วีดีโอมีความใกล้เคียงกับ DixV แต่เนื่องจากเป็นไฟล์ประเภท Open Source (ฟรีในการใช้งาน และพัฒนาต่อ)
คุณสมบัติของวิดีโอ
วิดีโอ มีคุณสมบัติที่สำคัญ 3 อย่าง ได้แก่ Image , Audio , Video
1. Image ประกาอบด้วยส่วนสำคัญ 2 อย่าง คือ
1.1 Width คือ ความกว้างของภาพวิดีโอ (pixels)
1.2 Height คือ ความสูงของภาพวิดีโอ (pixels)
2. Audio ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 อย่าง คือ
2.1 Duration คือ ช่วงเวลาของเสียง (00.00.00)
2.2 Bit Rate คือ อัตราการบีบอัดข้อมูลเสียง (มีหน่วยเป็น kbps)
2.3 Audio Format คือ รูปแบบการเข้ารหัสไฟล์เสียง (เช่น .mp3 , .wma , .wav)
3. Video ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 อย่าง คือ
3.1 Frame Rate คือ ความเร็วในการแสดงผลภาพเคลื่อนไหว โดยมีหน่วยเป็นเฟรมต่อวินาที (Fps)
3.2 Data rate คือ การบีบข้อมูลเสียงและภาพวิดีโอ โดยมีตัวเลขบอกเป็นกิโลบิตต่อวินาที (Kpbs) หากผู้ใช้งานกำหนดค่านี้สูงจะทำให้คุณภาพของเสียงและภาพมีความคม ชัดยิ่งขึ้น แต่ขนาดไฟล์ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย
3.3 Video Sample Size การแสดงผลความละเอียดต่อพิกเซลโดยมีหน่วยเป็นบิต (bit)
3.4 Video Compression เป็นเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล ซึ่งมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของวิดีโอและเป็นตัวกำหนดว่าวิดีโอนั้นจะใช้ฟอร์แมตใด
Adobe premiere รองรับไฟล์ประเภทไหนบ้าง
- AVI Movie (*.avi)
- Adobe Illustrator Art (*.ai)
- Adobe Title Designer (*.prtl)
- Adobe Title Designer (*.ptl)
- Adobe Sound Document (*.asnd)
- CompuServe GIF (*.gif)
- FLV (*.flv)
- JPEG (*.jpg,*.jpe,*.jpeg,*.jfif)
- MP3 Audio (*.mp3,*.mpeg,*.mpg,*.mpa,*.mpe)
- Macintosh Audio AIFF (*.aif,*.aiff)
- P2 Movie (*.mxf)
- Photoshop (*.psd)
- Shockwave flash object (*.swf)
- Sony VDU File Format Importer (*.dlx)
- TIFF image file (*.tif,*.tiff)
- Truevision Targa File (*.tga,*.icb,*.vst,*.vda)
- Windows Media (*.wmv,*.wma,*.asf,*.asx)
- Windows WAVE audio file (*.wav)
- Bitmap (*.bmp,*.dib,*.rle)
- Portable Network Graphics (*.png)
- Encapsulated PostScript 文件 (*.eps)
- Icon file (*.ico)
- Adobe Premiere 6 Bins (*.plb)
- Adobe Premiere 6 Storyboards (*.psq)
- Adobe Premiere 6 Projects (*.ppj)
- Adobe Premiere Pro Projects (*.prproj)
- Adobe After Effects Projects (*.aep)
- Adobe After Effects Projects (*.aepx)
- CMX3600 EDL (*.edl)
- FilmStrip (*.flm)
- MPEG Movie (*.mpeg,*.mpe,*.mpg,*.m2v,*.mpa,*.mp2,*.m2a,*.mpv,*.m2p,*.m2t)
- QuickTime Movie (*.mov,*.mp4)
- FilmStrip (*.flm)
- PCX (*.pcx)
- AAF (*.aaf)
รูปแบบของไฟล์เสียง
ในการบันทึกเสียงในระบบ Hard disk Recording จะมีรูปแบบของการเก็บข้อมูลเสียงมากมาย และแต่ละรูปแบบก็สามารถ เปลี่ยนไปมากันได้ บางรูปแบบที่มีการบีบอัด เมื่อเปลี่ยนกับมาเป็นรูปแบบที่ไม่มีการบีบอัดก็จะได้คุณภาพเสียงเหมือนที่บีบอัดไป แล้ว เพราะมีการสูญเสียคุณภาพสัญญาณไปในขั้นตอนของการบีบอัดไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้โปรแกรมดนตรีมักจะเก็บข้อมูลเสียงดังนี้
AIFF
ย่อมาจาก Audio Interchange File Format เป็นรูปแบบที่ใช้กันมากกับโปรแกรมบน Mac เพราะ Apple เป็นผู้ริเริ่ม เป็นได้ทั้ง Mono และ Stereo ความละเอียดเริ่มต้นที่ 8 Bit/22 kHz ไปจนถึง 24 bit/ 96 kHz และมากกว่านั้น
MP3
เป็นรูปแบบที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน ในฐานะที่คุณภาพเสียงที่ดีในขณะที่ข้อมูลน้อยมาก ประมาณ 1 MB ต่อ เพลงความยาว 1 นาทีแบบ Stereo ซึ่งเป็นการบีบอัดโดยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลเสียง และตัดเสียงที่หูของมนุษย์ไม่สามารถได้ยินโดยอ้างอิงจากงานวิจัย Psychoacoustic แต่ไม่สามารถให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าเสียงแบบ Full Bandwidth หรือ Hi-fi ได้ เพราะมันเป็นการบีบอัดที่สูญเสียหรือ เรียกว่า “Lossy Technology” ถึงแม้ว่าเจ้าของค่ายเพลงในเมืองไทยหรือทั่วโลกไม่ชอบมัน แต่ในเมื่อมันคุ้มค่าสำหรับเก็บไว้ฟังหรือส่งต่องานให้เพื่อน โปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่ก็ให้เราสามารถ import /export งานเป็น MP3 ได้
QuickTime
แม้ไม่ได้เป็นรูปแบบของการเก็บข้อมูลเสียงโดยเป็นโปรแกรมเล่น media ที่พัฒนาโดย Apple แต่โปรแกรมดนตรีบางตัวก็ สามารถ Save หรือ Load ข้อมูลเสียง , Video , MIDI เป็น File ของ QuickTime ได้ สิ่งสำคัญที่ควรรู้อีกอย่างก็คือข้อมูลเสียงที่ save มาจาก QuickTime หรือโปรแกรมที่ Compatible กับ QT อย่าง TC Works Spark อาจจะเป็นไฟล์ Extension อย่าง .mov , .aif หรือ .WAV ก็ได้ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ เนื่องจากโปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่จะสามารถเล่นไฟล์ QT โดยไม่สนใจว่าจะเป็นไฟล์ Extension แบบไหนก็ตาม
RealAudio
คนชอบฟังเพลงบน Internet คงรู้จักกันดี ไฟล์ RealAudio จะแสดง Extension เป็น .ra หรือ .rm ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบ RealSystem G2 ไว้สำหรับการเล่น multimedia จาก RealNetworks ซึ่งจะมี Tools ในการเล่น, encode รวมไปถึง tools ในการทำ server ให้ใช้ฟรี ๆ ในการส่ง Audio, Video, Animation ผ่านเวป แต่แม้ว่าโปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่จะไม่ใช้ RealAudio ในการบันทึก แต่กับ บางโปรแกรม เราสามารถเก็บงานของเราเป็น RealAudio เพื่อใช้บนเว็ป ซึ่งแน่นอน ว่า RealAudio ก็เป็น Lossy Format เหมือนกับ MP3
REX
เป็นไฟล์เสียงของโปรแกรม Propellerhead Recycle ซึ่งเป็นโปรแกรมที่แบ่งไฟล์เสียงประเภท Loop (เป็นวลีดนตรีหรือจังหวะที่ สามารถเล่นซ้ำไปเรื่อย ๆ ต่อเนื่องกันได้) ออกเป็นชิ้น ๆ เช่นเสียงกระเดื่อง กลองสแนร์ หรือ ไฮ-แฮท ซึ่งไฟล์ที่ถูกแบ่งเหล่านี้สามารถ นำไปใช้กับ Sampler แล้ว Trigger โดย MIDI Sequence ที่สร้างขึ้นมาโดย Recycle เช่นกัน ทำให้เราสามารถที่จะเร่งหรือลดความเร็ว โดยที่ pitch ของเสียงไม่มีการเปลี่ยนเลย ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับ Technology Groove Control จาก Spectrasonics และ ILIO แต่ต่างกันตรงที่ Groove Control นั้นมีการเตรียมไฟล์ที่หั่นไว้แล้วกับ MIDI โดยทาง Spectrasonics เอง ไม่รู้ว่า ทาง Spectrasonics จะใช้ Recycle ทำรึเปล่านะครับ ไฟล์ REX เองมี Extension อยู่หลายอันเลยอย่าง .rx2 (Recycle 2.0 หรือสูงกว่า).ryc และ .rex ซึ่งสร้าง มาจากเวอร์ชันแรก
Sound Designer II
โด่งดังมาจาก โปรแกรม Sound Designer Stereo Editing จาก Digidesign และใช้กับ Pro Tools ด้วย Sound Designer II หรือ SD II สนับสนุนไฟล์เสียงที่ ความละเอียด ต่าง ๆ เหมือนกับ WAV และ AIFF โปรแกรมดนตรีส่วนใหญ่ก็จะมีคุณสมบัติในการแปลงไฟล์ WAV หรือ AIFF มาเป็น SD II
WAV
ถูกสร้างขึ้นจากการรวมตัวกันของ Microsoft กับ IBM WAV format สามารถใช้ได้กับ bit depths และ sample rate ในระดับ ต่างกัน ในขณะที่ AIFF เป็นที่นิยมใน หมู่ผู้ใช้ PC ด้วย ในเร็วๆนี้ Acidized WAV files ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอีก นี่คือชนิดของ WAV files ที่รวมข้อมูลของ pitch กับ tempo เข้าไว้ด้วยกัน Acidized WAV สามารถถูกอ่านได้โดย Sonic Foundry Acid และ โปรแกรมอื่นๆที่สามารถให้ samples ที่จัด pitch and tempo ได้โดยอัตโนมัติ
รูปแบบของการเชื่อมภาพ (Transition)
การตัดต่อ คือ การนำวิดีโอแต่ละช็อตมาเชื่อมต่อกันให้เป็นเรื่องราว โดยนำรูปแบบการตัดต่อต่างๆ มาปรับใช้ ซึ่งการตัดต่อแต่ละรูปแบบจะให้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยส่วนมากมักใช้รูปแบบดังต่อไปนี้
1. การตัดตรง (The Cut)
การตัดตรง หรือที่เรียกกันว่า การตัดชน คือ การเชื่อมระหว่างภาพ 2 ภาพ โดยการตัดตรงๆแล้วเลือกตัดเอาบางภาพที่เหมาะสมมาเรียงต่อกัน (ชนกัน) การตัดตรงมีข้อดี คือ ช่วยกระชับเนื้อหาของเรื่่องให้สั้นลง ด้วยการตัดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสมในช็อตน้ั้นออก ทำให้ผู้ชมได้รับข้อมูลที่เหมาะสมและไม่น่าเบื่อ อีกทั้งยังทำให้มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุด
2. การเลือนภาพ (Fade)
การเลือนภาพ หรือที่เรียกกันว่า การเฟด คือการเชื่อมภาพอย่างช้าๆ จากภาพใดภาพหนึ่่ง ไปยังฉากดำสนิท หรือฉากขาว หรืออาจเป็นการเช่ือมภาพจากจอดำสนิทหรือขาวไปเป็นภาพใดภาพหนึ่งก็ได้ การเฟดจะเป็นการตัดแบบค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวล ต่างจากการตัดตรง โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
2.1 การเฟดอิน (Fade In) คือ การที่ภาพค่อยๆ ปรากฏเด่นออกมา จากฉากดำสนิทหรือฉากขาว นิยมใช้กับการเริ่มต้นของเรื่องราว เหตุการณ์ หรือวันใหม่
2.2 การเฟดเอาท์ (Fade Out) คือ การที่ภาพค่อยๆ เลือนจางหายไปสู่ฉากดำสนิทหรือขาว มักนิยมใช้กับการจบส้ิน หรือการสิ้นสุดของเรื่องราว เหตุการณ์
3. การตัดภาพจางซ้อน (The Dissolve)
การตัดภาพจางซ้อน หรือที่เรียกว่า การผสมภาพ (The Mix) คือ การนำภาพในช็อตหนึ่ง มาวางซ้อนทับกับภาพอีกช็อตหนึ่ง ซ่ึ่งภาพในช็อตแรกกำลังจะจางหายไป แล้วภาพที่ซ้อนทับกำลังจะปรากฏขึ้น การผสมภาพใช้เพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์ระหว่างช็อตที่มีความเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กัน ซึ่งสามารถช่วยย่นเวลาให้สั้นเข้ามาและทำให้เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างราบลื่นได้
4. การตัดภาพแบบกวาด (Wipe)
การตัดภาพแบบกวาดคือ การตัดภาพแบบกวาดภาพแบบเก่าออกไป แล้วเอาภาพใหม่มาแทนที่ โดยอาจกวาดภาพแนวนอน จากซ้ายไปขวา กวาดภาพแนวตั้ง จากบนลงล่างหรือล่างขึ้นบน กวาดภาพแนวเฉียงจากมุมซ้าย หรือ มุมขวา และกวาดภาพในรูปทรงเรขาคณิต เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม เป็นต้น ซึ่งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการเคลื่อนไหวของวัตถุและตัวละคร
การตัดภาพแบบกวาด ไม่นิยมใช้กับการตัดต่อภาพยนตร์ เพราะจะทำให้ภาพยนตร์ไม่สมจริง ดังน้ั้น จึงเหมาะสำหรับการทำวิดีโอเพื่อการนำเสนอมากกว่า
ประเภทการตัดต่อ
ประเภทการตัดต่อเป็นการสร้างความต่อเนื่องของเรื่องหรือเหตุการณ์ในภาพยนตร์ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจเหตุการณ์ของเรื่อง และรู้สึกคล้อยตาม โดยผู้ตัดต่อจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับประเภทของการตัดต่อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การตัดต่อแบบต่อเนื่อง (Continuity Editing)
การตัดต่อแบบต่อเนื่อง คือ การตัดต่อที่ต้องการให้เนื้อหามีความต่อเนื่องระหว่างช็อตกับช็อต เพื่อให้ภาพยนตร์มีความต่อเนื่องกัน ซึ่งจะมีความต่อเนื่องของช็อตที่สมบูรณ์มากเพียงใด ขึ้นอยู่กับการถ่ายทำ มุมกล้องที่ใช้ และผู้ตัดต่อ การตัดต่อในลักษณะนี้ มักพบเห็นในภาพยนตร์ทั่วไป แม้ว่าช็อตบางช็อตจะไม่ต่อเนื่องกัน ก็สามารถใช้เทคนิคการตัดต่อที่จะช่วยทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สะดุดได้ โดยการตัดต่อแบบต่อเนื่องมีหลายรูปแบบ ดังนี้
1.1 การตัดต่อแบบแมทคัท (Match Cut)
การตัดต่อแบบแมทคัท คือ การตัดต่อโดยใช้ความกลมกลืนกันของช็อตหนึ่งกับอีกช็อตหนึ่ง เช่น ขนาดภาพ มุมกล้อง การเคลื่อนกล้อง หรือความคล้ายของวัตถุต่างๆ เป็นต้น มาเชื่อมช็อตกัน แต่ถ้าหากตัดต่อแล้วไม่ต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่าภาพกระโดด (Jump Cut) จะทำให้ผู้ชมเกิดความสับสนต่อตำแหน่งของตัวละคร หรือลำดับเหตุการณ์ของเรื่องได้ ดังนั้น ก่อนถ่ายทำผู้กำกับต้องวางแผนอย่างรัดกุม และขณะถ่ายทำ ผู้กำกับต้องคอยกำชับตาล้องอยู่เสมอ จึงจะทำให้ได้ช็อตแบบแมทคัทที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด
จากภาพด้านบน สังเกตภาพที่ 2 และ 3 จะเห็นว่าผุู้ตัดต่อใช้ตัวละครที่กำลังนั่งหลับในท่าทางใกล้เคียงกันเป็นการเชื่อมช็อต จากช็อตห้องนอน ไปยังช็อตห้องเรียนได้ ซึ่งเทคนิคนี้สามารถกระชับเวลาที่ใช้ในเรื่องได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังทำให้เรื่องราวในภาพยนตร์ดูไม่น่าเบื่ออีกด้วย
1.2 การตัดต่อแบบแทรกคัท (Insert Cut)
การตัดต่อแบบแทรกคัท หรือ การตัดภาพแทรกระหว่างช็อตหลัก (Master Shot) ซึ่งเป็นช็อตยาว และมีภาพกว้างใช้เมื่อต้องการเน้นจุดสำคัญของฉากนั้นให้มากขึ้น เช่น การเน้นให้เห็นชัดถึงสิ่งที่ตัวละครกำลังยืนมองอยู่ ส่ิงที่ตัวละครหยิบจับ เป็นต้น การตัดต่อแบบแทรกคัท ทำได้ด้วยการตัดภาพระยะใกล้ (Close Up) หรือภาพมุมแคบแทรกเข้าไปในช็อตหลัก โดยช็อตทั้งสองต้องมีความต่อเนื่องกัน ดังนั้น ช็อตหลักกับภาพแทรกควรจะใช้มุมกล้องที่ใกล้เคียง เพื่อป้องกันการเกิดภาพกระโดด เมื่อนำมาตัดต่อ
ถ้าหากขณะถ่ายทำมีกล้องเพียงตัวเดียว นักแสดงต้องแสดงสองครั้ง หรือเล่นสอง take แล้วถ่ายด้วยมุมกล้องเดียวกันในระยะภาพที่แตกต่างกัน
1.3 การตัดต่อแบบซ้ำแอ็คชั่น (Reaction Cut)
การตัดต่อแบบซำ้แอ็คชั่น คือ การตัดต่อภาพ ซึ่งแสดงถึงปฏิกิริยาของตัวละครที่มีต่อเหตุการณ์นั้นๆ โดยนำไปแทรกในจังหวะที่เหมาะสม การตัดต่อในลักษณะนี้ จะไม่เน้นผู้พูดเพียงอย่างเดียว แต่จะมีการตัดสลับมาที่ผู้ฟังด้วย เช่น การถ่ายทำบทสนทนาระหว่างคนสองคน อาจมีการตัดภาพไปยังผู้ฟังที่กำลังฟังผู้พูดพูดอยู่ เพื่อให้ผู้ชมเห็นปฏิกิริยาของผู้ฟัง หรืออาจเป็นการตัดภาพมาที่บุคคลที่สาม ซึ่งกำลังแบบฟังบทสนทนาอยู่ เป็นต้น
การตัดต่อภาพแบบซ้ำแอ็คชั่น ผู้ตัดต่อต้องเลือกจังหวะภาพหรือเหตุการณ์ให้เหมาะสม ไม่ควรใช้มากเกิดไป เพราะอาจเป็นการดึงความสนใจของผู้ชมไปจากภาพหลักได้
1.4 การตัดต่อแบบคัทอะเวย์ (Cutaway)
การตัดต่อแบบคัทอะเวย์ คือ การตัดต่อภาพ ไปยังภาพอื่น ขณะที่ภาพเหตุการณ์นั้นยังดำเนินอยู่ เป็นการหักเหความสนใจจากช็อตหลักที่ยืดเยื้อ ช่วยให้เรื่องราวมีความกระชับมากยิ่งขึ้น เช่น การตัดภาพจากตัวละครที่กำลังเดินทางอยู่กลางสะพานลอย แล้วตัดภาพมาที่ตัวละครกำลังเดินลงบันไดของสะพานลอยขั้นสุดท้าย หรือการตัดภาพจากบ้านที่อยู่ท่ามกลางป่าร้าง แล้วตัดภาพมาภายในบ้านที่มีสภาพรกร้างเช่นเดียวกัน เป็นต้น
การตัดต่อลักษณะนี้ ไม่เน้นความต่อเนื่อง แต่ก็ยังต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องของเรื่องราว ไม่ควรขัดแย้งต่อความรู้สึก อีกทั้ง ยังต้องการสื่อความหมายและช่วยสร้างความเข้าใจให้กับผู้ชมด้วย
จากภาพด้านบน ก็ตัดภาพจากอาคารเรียน ไปเป็นภาพภายในห้องเรียนได้ โดยไม่รู้สึกขัดแย้ง
2. การตัดต่อแบบเรียบเรียง
การตัดต่อแบบเรียบเรียง เป็นการตัดต่อที่เน้นการบรรยายด้วยภาพและเสียงที่มีความสอดคล้องกันทั้งเนื้อหา จังหวะ การเปลี่ยนฉาก และการเชื่อมต่อภาพ เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระสู่ผู้ชม
การตัดต่อแบบเรียบเรียง นิยมใช้กับภาพยนตร์ประเภทสารคดี ซึ่งการตัดต่อในลักษณะนี้ ต้องตัดต่อภาพให้สอดคล้องกับเสียงบรรยาย และภาพที่ใช้ก็ไม่ควรซำ้กัน ดังนั้น จึงควรมีการคัดภาพไว้ก่อนที่จะเริ่มตัดต่อ ส่วนภาษาที่ใช้บรรยาย ก็ควรเป็นถ้อยคำที่สละสลวย นำ้เสียงการพูดไหลลื่น ไม่ติดขัด และมีการเน้นจังหวะหนักเบาของเสียง เพื่อเร้าอารมณ์่ให้ผู้ชมคล้อยตาม สังเกตได้จากตัวอย่างสารคดี ดังต่อไปนี้
หลักการถ่ายวิดีโอเบื้องต้น
หลักการถ่ายวีดีโอเบื้องต้น มีดังนี้
ลักษณะการถ่ายวีดีโอ
1. 10 วินาที การถ่ายวีดีโอในแต่ละช็อต ควรจะมีความยาวอย่างน้อย 10 วินาที เพราะจะสะดวกในการตัดต่อวีดีโอ
2. การถือกล้องวีดีโอ เราควรจะเอามือสอดเข้าไปใน grip เพื่อป้องกันการตกหล่น ในกรณีที่เราไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง เราควรจะหาที่วางให้กับข้อศอกของเรา เช่น พนักเก้าอี้ ท้อง หัวเข่า เพื่อป้องกันการสั่นไหวในขณะถ่าย
3. Pan คือ การหมุนกล้องจากซ้ายไปขวาหรือขวามาซ้าย เราควรจะหมุนฝั่งใดฝั่งหนึ่งถือเป็น 1 ช็อต ไม่ควรหมุนไปมา จะทำให้คนดูงง
4. Tilt คือ การหมุนกล้องขึ้นบนหรือลงล่าง ใช้หลักการเดียวกับการแพน นั่นคือ หมุนฝั่งเดียวถือเป็น 1 ช็อต
5. Zoom เป็นการเปิดเผยรายละเอียดของภาพในขณะนั้น เวลาเราซูมจะทำให้ภาพมีโอกาสสั่นไหวมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ให้เราเดินเข้าไปถ่ายได้จะดีกว่า
6. Dolly คือ การเคลื่อนที่กล้องจากซ้ายไปขวาหรือขวามาซ้าย ซึ่งจะให้ภาพที่สวยงามกว่าการแพน แต่เราต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น สไลเดอร์ หรือ stedicam ช่วยในการถ่าย
การจัดองค์ประกอบของภาพ
1. Head room and Space room เราควรเว้นระยะพื้นที่ระหว่างศีรษะกับขอบด้านบน และระยะพื้นที่ด้านหน้าและด้านหลังของผู้พูดในวีดีโอ
2. กฏ 3 ส่วน ใช้สำหรับการถ่ายวิวทิวทัศน์กับท้องฟ้า โดยแบ่งพื้นที่ในภาพออกเป็น 3 ส่วน ให้เราเลือกว่าจะให้วิวกับท้องฟ้าคนละกี่ส่วน
3. จุด ตัด 9 ช่อง แบ่งพื้นที่ในภาพโดยใช้เส้น 3 เส้นในแนวนอนและแนวตั้งตัดกัน จะมีจุดทั้งหมด 9 จุด เราจะวางตำแหน่งของวัตถุให้ตรงกับจุดตัด ของเส้น จะทำให้ภาพของเราดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
4. เส้นนำสายตา เช่น เวลาเราเจอภาพที่มีลักษณะเป็นแถวเป็นแนว ของวางเรียงกัน ทางรถไฟ เดินแถว ดูแล้วจะสวยงาม
มุมมองในการถ่ายวีดีโอ
1. Normal view มุมมองในระนาบปกติ
2. Bird eyes view มุมมองของนก มองจากด้านบนลงล่าง
3. Worm eyes view มุมมองของหนอน มองจากด้านล่างขึ้นบน
รูปแบบการเพิ่มสีสันให้กับวีดีโอ
1. Silhouette การถ่ายวีดีโอย้อนแสง ทำให้วัตถุกลายเป็นสีดำ ถ่ายในช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกดิน
2. Depth of Field ความชัดตื้นชัดลึกของวัตถุ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่ารูรับแสง ถ้ารูรับแสงกว้างจะได้ภาพชัดตื้น
วิธีตั้งค่าต่างๆของกล้อง
1. Exposure รูรับแสงกว้าง แสงจะเข้ามาได้เยอะ ภาพมีความสว่าง
2. White Bal ance อุณหภูมิของแสงมีหย่วยเป็นเคลวิน มีทั้งแบบ Day light คือ แบบ outdoor อยู่ในช่วง 5400 K, แบบ Tungsten จะให้แสง ออกเป็นสีเหลือง อยู่ในช่วง 3200 K
🌼 แบบฝึกหัด 🌼
บทเรียนที่ 1 ความรู้พื้นฐานการตัดต่อวิดีโอ