ในภาษา PHP ตัวแปร (Variable) เป็นสิ่งที่ใช้เก็บข้อมูลซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้ตลอดเวลา ตัวแปรใน PHP จะต้องเริ่มต้นด้วยสัญลักษณ์เครื่องหมายดอลลาร์ ($) ตามด้วยชื่อที่ต้องการใช้งาน โดยตัวแปรใน PHP สามารถเก็บข้อมูลได้หลายประเภท เช่น ตัวเลข (Integer), ทศนิยม (Float), ข้อความ (String), หรือแม้กระทั่งค่าเชิงตรรกะ (Boolean) ซึ่งสามารถใช้งานได้ตามต้องการ
การประกาศตัวแปรใน PHP เป็นการกำหนดพื้นที่ในหน่วยความจำเพื่อเก็บข้อมูล ซึ่งจะไม่มีการระบุประเภทของข้อมูลเมื่อประกาศตัวแปร เนื่องจาก PHP เป็นภาษาแบบแปรรูป (loosely typed language) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงประเภทข้อมูลของตัวแปรได้ตามค่าใหม่ที่กำหนดให้ ในเนื้อหาบทที่ จะกล่าวถึงเรื่อง 1) การใช้ตัวแปรและประเภทข้อมูล (string, integer, float, array) 2) การดำเนินการทางคณิตศาสตร์และการใช้ตัวดำเนินการ (Operators) และ3) การแปลงประเภทข้อมูล (Type Casting)
2.1.1ตัวแปร ใน PHP ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือค่า ตัวแปรใน PHP เริ่มต้นด้วยสัญลักษณ์ $ ตามด้วยชื่อที่สามารถระบุได้ เช่น $name, $age
ตัวแปร ใน PHP เป็นตัวแทนสำหรับเก็บข้อมูลที่เราสามารถใช้ซ้ำได้ในภายหลัง ตัวแปรใน PHP เริ่มต้นด้วยสัญลักษณ์ $ ตามด้วยชื่อที่กำหนด โดยชื่อของตัวแปรต้องเป็นไปตามกฎต่อไปนี้:
1) ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษรหรือเครื่องหมายขีดล่าง (_)
2) ไม่สามารถขึ้นต้นด้วยตัวเลข
3) ไม่สามารถมีช่องว่างในชื่อ
2.1.2 ประเภทข้อมูล (Data Types) ใน PHP
ในภาษา PHP, ประเภทข้อมูล (Data Types) หมายถึงชนิดของข้อมูลที่ตัวแปรสามารถเก็บได้ ซึ่งช่วยให้เรารู้ว่าจะสามารถดำเนินการกับข้อมูลนั้นได้อย่างไรในโปรแกรม PHP การเลือกประเภทข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยให้การประมวลผลข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดข้อผิดพลาดในโปรแกรมได้
PHP มีประเภทข้อมูลหลัก ๆ ที่ใช้บ่อยในงานพัฒนาโปรแกรม ดังนี้:
1) Integer (จำนวนเต็ม)
คือข้อมูลที่เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม เช่น 10, -45, 0 เป็นต้น ไม่สามารถมีจุดทศนิยมได้ เช่น 5 หรือ -3
2) Float (ทศนิยม)
คือข้อมูลที่สามารถเก็บค่าตัวเลขที่มีทศนิยม เช่น 3.14, -0.99 หรือ 100.5 ข้อมูลประเภทนี้ใช้ในการคำนวณที่ต้องการความแม่นยำทางทศนิยม
3) String (ข้อความ)
คือข้อมูลที่เป็นข้อความหรือสัญลักษณ์ ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยเครื่องหมายคำพูด เช่น "Hello, World!" หรือ 'PHP Programming' ข้อมูลประเภทนี้ใช้ในการเก็บข้อความที่ต้องการแสดงผลหรือประมวลผล
4) Boolean (เชิงตรรกะ)
คือข้อมูลที่เก็บค่าทางตรรกะ ซึ่งมีเพียงสองค่าเท่านั้นคือ true หรือ false ข้อมูลประเภทนี้มักใช้ในการตรวจสอบเงื่อนไขในโปรแกรม
5) Array (อาเรย์)
คือข้อมูลที่เก็บหลายค่าภายในตัวแปรเดียว อาจจะเป็นค่าประเภทเดียวกันหรือประเภทต่างกัน เช่น array(1, 2, 3) หรือ array("apple", "banana", "cherry") ใช้ในการเก็บข้อมูลหลายๆ ชิ้นพร้อมกัน
6) Object (วัตถุ)
คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้แนวคิดเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming) ซึ่งใช้สำหรับการสร้างและจัดการกับออบเจกต์ที่มีคุณสมบัติและเมธอดต่างๆ
7) NULL
คือประเภทข้อมูลที่ใช้แทนค่าที่ไม่มีการกำหนดหรือไม่ได้รับการตั้งค่า มักใช้ในการตรวจสอบหรือบ่งชี้ว่าไม่พบข้อมูล เช่น $var = NULL;
การเข้าใจและเลือกใช้ประเภทข้อมูลที่เหมาะสมใน PHP จะช่วยให้โปรแกรมของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายต่อการบำรุงรักษา.
ตัวอย่างการใช้งานประเภทของตัวแปร
String: ใช้เก็บชุดตัวอักษร เช่น "Hello, World!"
$text = "PHP Programming";
echo $text; // แสดงผล PHP Programming
Integer: ตัวเลขจำนวนเต็ม เช่น 10, -20
$number = 2024;
echo $number; // แสดงผล 2024
Float: ตัวเลขที่มีทศนิยม เช่น 3.14, -5.67
$pi = 3.14159;
echo $pi; // แสดงผล 3.14159
Boolean: ค่าที่มีเพียง true หรือ false
$status = true;
if ($status) {
echo "Active"; // แสดงผล Active
}
Array: เก็บข้อมูลหลายค่าในตัวแปรเดียว
$fruits = array("Apple", "Banana", "Orange");
echo $fruits[1]; // แสดงผล Banana
Object: เก็บข้อมูลในรูปแบบของวัตถุที่มีคุณสมบัติและเมธอด
NULL: ไม่มีค่า
$data = null;
ตัวอย่างการใช้งานประเภทข้อมูลที่หลากหลาย:
$score = 95; // Integer
$average = 78.5; // Float
$fullName = "John Doe"; // String
$isPassed = true; // Boolean
$students = array("Alice", "Bob", "Charlie"); // Array
ในภาษา PHP, ตัวดำเนินการ (Operators) เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในการดำเนินการกับค่าหรือข้อมูล ตัวดำเนินการเหล่านี้สามารถทำการคำนวณหรือเปรียบเทียบข้อมูลในโปรแกรมได้ ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์เป็นหนึ่งในประเภทของตัวดำเนินการที่ใช้ในการคำนวณตัวเลข เช่น การบวก, ลบ, คูณ, หาร และการหารเอาเศษ(modulus)
การใช้ตัวดำเนินการใน PHP ช่วยให้เราสามารถทำการคำนวณทางคณิตศาสตร์ได้อย่างง่ายดาย และสามารถใช้งานร่วมกับตัวแปรหรือค่าต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบ่งประเภทของตัวดำเนินการออกเป็นหลายประเภท เช่น:
2.2.1 ตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic Operators)
ตัวดำเนินการเหล่านี้ใช้ในการทำคำนวณพื้นฐาน เช่น การบวก, การลบ, การคูณ, การหาร และการหารเอาเศษ
+ (บวก): ใช้ในการบวกค่าของสองตัวแปรหรือค่าคงที่ เช่น $a + $b
- (ลบ): ใช้ในการลบค่าของตัวแปรหรือค่าคงที่ เช่น $a - $b
* (คูณ): ใช้ในการคูณค่าของสองตัวแปร เช่น $a * $b
/ (หาร): ใช้ในการหารค่าของสองตัวแปร เช่น $a / $b
% (หารเอาเศษ) ใช้ในการหารเอาเศษจากการหาร เช่น $a % $b (จะให้ผลลัพธ์เป็นเศษจากการหาร)
2.2.2 ตัวดำเนินการการกำหนดค่า (Assignment Operators)
ใช้ในการกำหนดค่าให้กับตัวแปร เช่น:
= กำหนดค่าให้กับตัวแปร เช่น $a = 5;
+=, -=, *=, /=, %= ตัวดำเนินการเหล่านี้ใช้ในการดำเนินการคำนวณและกำหนดผลลัพธ์ให้กับตัวแปรในเวลาเดียวกัน เช่น $a += 5; (หมายถึง $a = $a + 5;)
2.2.3 ตัวดำเนินการการเปรียบเทียบ (Comparison Operators)
ใช้ในการเปรียบเทียบค่าของตัวแปรและส่งผลลัพธ์เป็นค่าบูลีน (true หรือ false) เช่น:
== เท่ากัน
!= ไม่เท่ากัน
> มากกว่า
< น้อยกว่า
>= มากกว่าหรือเท่ากับ
<= น้อยกว่าหรือเท่ากับ
ตัวอย่างโปรแกรมการใช้ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ:
<?php
$x = 5;
$y = 10;
if ($x < $y) {
echo "x น้อยกว่า y";
} // แสดงผล x น้อยกว่า y
?>
<?php
$a = 20;
$b = 15;
if ($a > $b) {
echo "$a is greater than $b\n";
} else {
echo "$a is not greater than $b\n";
}
?>
2.2.4 ตัวดำเนินการเชิงตรรกะ (Logical Operators)
ใช้ในการประมวลผลการเปรียบเทียบหลายเงื่อนไข เช่น:
&& และ (AND) คืนค่า true เมื่อทุกเงื่อนไขเป็นจริง
|| หรือ (OR) คืนค่า true เมื่อมีเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งเป็นจริง
! ไม่ (NOT) ใช้ในการกลับค่าจาก true เป็น false หรือจาก false เป็น true
ตัวอย่างการใช้งาน:
<?php
$a = true;
$b = false;
if ($a && $b) {
echo "ทั้งคู่เป็นจริง";
} else {
echo "อย่างน้อยหนึ่งค่าเป็นเท็จ"; // แสดงผล อย่างน้อยหนึ่งค่าเป็นเท็จ
}
?>
การเข้าใจการใช้งานตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์และการใช้ตัวดำเนินการประเภทต่าง ๆ ใน PHP จะช่วยให้คุณสามารถสร้างโปรแกรมที่สามารถทำงานคำนวณและประมวลผลข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง
การแปลงประเภทข้อมูล (Type Casting) ในภาษา PHP คือกระบวนการที่ใช้ในการแปลงค่าของตัวแปรจากประเภทหนึ่งไปยังอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นการบังคับให้ตัวแปรทำงานกับประเภทข้อมูลที่ต้องการ โดยการแปลงประเภทข้อมูลสามารถทำได้ทั้งแบบอัตโนมัติและแบบที่ต้องระบุอย่างชัดเจน PHP เป็นภาษาที่มีการแปลงประเภทข้อมูลอัตโนมัติ (Dynamic Typing)
2.3.1 การแปลงประเภทข้อมูลแบบอัตโนมัติ (Implicit Type Casting หรือ Type Juggling)
ในบางกรณี PHP จะทำการแปลงประเภทข้อมูลให้โดยอัตโนมัติ เช่น เมื่อใช้ตัวแปรประเภทหนึ่งร่วมกับตัวแปรอีกประเภทหนึ่ง PHP จะทำการแปลงประเภทของตัวแปรที่ต้องการให้เหมาะสมกับการคำนวณหรือการเปรียบเทียบ โดยไม่จำเป็นต้องระบุประเภทข้อมูลชัดเจน ตัวอย่างเช่น:
$a = 10; // $a เป็น Integer
$b = "5"; // $b เป็น String
$result = $a + $b; // PHP จะแปลง $b จาก String เป็น Integer แล้วทำการบวก
echo $result; // Output: 15
ในตัวอย่างนี้, PHP แปลงตัวแปร $b จาก String เป็น Integer โดยอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถทำการบวกกับตัวแปร $a ได้
2.3.2 การแปลงประเภทข้อมูลแบบชัดเจน (Explicit Type Casting)
การแปลงประเภทข้อมูลแบบชัดเจนจะต้องใช้การระบุประเภทข้อมูลที่ต้องการแปลง โดยการใช้การแปลงประเภทในรูปแบบ (type) หรือ settype() ซึ่งช่วยให้สามารถกำหนดประเภทข้อมูลได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างการแปลงประเภทแบบชัดเจน:
$a = "10.5"; // $a เป็น String
$b = (int) $a; // การแปลงจาก String เป็น Integer
echo $b; // Output: 10
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ฟังก์ชัน settype():
$a = "10.5"; // $a เป็น String
settype($a, "integer"); // แปลง $a เป็น Integer
echo $a; // Output: 10
วิธีการแปลงประเภทข้อมูล:
แปลงเป็น integer: (int) หรือ (integer)
แปลงเป็น float: (float) หรือ (double)
แปลงเป็น string: (string)
แปลงเป็น array: (array)
ตัวอย่างการแปลงประเภทข้อมูล:
$var = "123"; // ข้อมูลเริ่มต้นเป็น string
// แปลงเป็น integer
$intVar = (int)$var;
echo $intVar; // แสดงผล 123
// แปลงเป็น float
$floatVar = (float)$var;
echo $floatVar; // แสดงผล 123.0
// แปลงเป็น array
$arrayVar = (array)$var;
print_r($arrayVar); // แสดงผล Array ( [0] => 123 )
โปรแกรม php https://www.programiz.com/php/online-compiler/