หากจะเล่าเรื่องการวิ่งคงต้องย้อนไปเมื่อสามปีที่แล้วคือวันที่ 2 ธันวาคม 2561 ไปออกงานวิ่งครั้งแรกที่ อำเภอธาตุพนม จ. นครพนม ที่ลงระยะ 10.5 km จบด้วยเวลา 57 นาที รู้สึกภูมิใจมากเพราะว่าเท่าที่เคยซ้อมมาที่ ม. อุบลก็ไม่เคยวิ่งระยะนี้ได้ต่ำกว่า หนึ่งชั่วโมงเลย
เมื่อพูดถึงการซ้อมที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีก็ต้องกล่าวถึงหนองอีเจม หนองน้ำภายในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่มีเส้นทางโดยรอบสำหรับวิ่ง เดิน ขี่จักรยานที่มีระยะทางรวมประมาณ 3 km ผมเองเริ่มโดยการเดินออกกำลังกายช่วงเดือนมีนาคม 2561 เนื่องจากได้นาฬิกาออกกำลังกายมา ต้องเก็บจำนวนก้าวนั้นเอง ทุกวันก็ต้องหาเวลาออกมาเดิน เริ่มจากเดินจริง ๆ ครับ เริ่มจากหาเวลาออกมาสูดอากาศข้างนอก แต่ทุกออกมาทุกวัน ! แต่ด้วยเสียงรบเร้าของเพื่อนร่วมงาน ลูกศิษย์ ผมเลยตัดสินใจ วิ่งหลังจากที่ผมเดินอย่างเดียวเลยตลอดสามเดือนที่ผ่านมา ยังจำได้ดี วันแรกที่ออกวิ่งนั้น วิ่งได้แค่ 200 เมตร เท่านั้น แล้วก็เกิดอาการจุกอย่างมากทำให้ไม่สามารถวิ่งต่อได้
ผมก็เริ่มใหม่ครับสำหรับวันใหม่ ก็วิ่งได้ยาวขึ้นเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุด ไม่ไหวก็หยุด ไม่ฝืนนะครับ และแล้วก็วิ่งได้ยาวขึ้นเรื่อย ๆ จนครบรอบหนองอีเจมได้สามกิโลเมตรแล้ว เมื่อเวลาผ่านไปหกเดือน ผมก็ได้ตัดสินใจสมัครงานวิ่งแรกที่ อ. ธาตุพนม ซึ่งก่อนที่ผมจะสมัครวิ่งนี้ ผมได้วิ่งต่อเนื่องได้เกิน 10 km แล้ว เพียงแค่เวลานั้นยังไม่ดีเท่าวันงาน ซึ่งทำให้ผมเข้าใจพลังงานของวิ่งที่ทำให้เรานั้นมีพลังบางอย่าง และดึงศักยภาพของเราออกมาในวันนั้น ยิ่งบรรยาากาศเสียงเชียร์ของคนดูข้างทาง ทำให้เรามีแรงวิ่งมากขึ้นไปอีก
ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ วันที่ผมวิ่งมาราธอนคือวันที่ 22 มกราคม 2565 ที่งานบุรีรัมย์มาราธอน ซึ่งวิ่งกลางคืน ซึ่งเป็น 3 ปี หากนับจากผมวิ่งที่งานวิ่ง และ 3 ปีครึ่ง เมื่อนับจากวันที่ผมวิ่งจริงจังที่หนองอีเจม หรือ 3 ปีเก้าเดือน หากนับจากวันที่ผมพาตัวเองออกมาสูดอากาศข้างนอก และเดินที่หนองอีเจม
เมื่อพูดถึงสถิติการวิ่งของผมนั้นช่วงตั้งแต่ปี 2561 - 2564 ผมก็ได้ไปงานวิ่งต่าง ๆ ครับ เป็นการสะสมประสบการณ์ แต่ผมก็ยังคิดว่ายังเป็นจำนวนไม่มาก เพราะผมไปแค่ปีละ 5 - 6 ครั้งเท่านั้น แต่ถ้าพูดถึงระยะสะสมของการวิ่งนั้น ผมพอจะสรุปได้ดังนี้ (ข้อมูลจาก app Strava) ปี 2562 ผมวิ่งได้ 2334 km ปี 2563 วิ่งได้ 2478 km และปี 2564 วิ่งได้ 3500 km (ช่วงที่สมัครมาราธอนก็ได้เกิน 3000 km แล้ว)
ทุกอย่างเริ่มขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2564 เมื่อสมัครบุรีรัมย์มาราธอนเพราะเสียงรบเร้าจากเพื่อน ๆ นักวิ่งว่า เมื่อวิ่งเยอะขนาดนี้ (ดูจากจำนวนกิโลเมตรต่อปี) ต้องไปต่อแล้ว เพราะว่าผมได้วิ่ง half-marathon (21.1 km) หลายงานแล้ว ผมคิดในใจ (นานพอควร) สุดท้ายก็ตัดใจลงงานบุรีรัมย์มาราธอน เนื่องจากเป็นงานที่มาตรฐานสูง ผมน่าจะได้ประสบการณ์ที่ดีจากงานที่ปิดถนนได้ 100% แถมเสียงกองเชียร์ตลอดเส้นทางวิ่ง (แต่ขณะนั้น ผมน่าจะวิ่งได้ไกลสุด แบบต่อเนื่องได้เพียง 22 km) การวิ่งที่เกินกว่า 20 km นั้น เราจำเป็นต้องเติมเกลือแร่ และเติมพลังงานในรูปของเจลพลังงานของนักวิ่ง ที่ต้องกินประมาณ ทุก ๆ 10 km
ในช่วงการซ้อมนั้น เราจำเป็นต้องวิ่งให้ยาวที่สุด เท่าที่จะยาวได้ โดยควรได้ระยะทางต่อเนื่องเกิน 35 km ผมเองนั้นในช่วงแรกที่วิ่งเกิน 30 km (เดือนพฤศจิกายน) ผมยังจำได้ดี วันนั้นเป็นช่วงตอนเช้า พอวิ่งได้เกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว และอากาศเริ่มร้อน ผมก็ไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ เนื่องจากท้องร้อง และร้อนมาก เป็นบทเรียนที่หนึ่งว่า หากเราจะผ่านระยะ 30 km นี้ผมจำเป็นต้องวิ่งมาที่จุดที่วางน้ำ เติมเกลือแร่ หรือต้องกินอะไรซักอย่างเข้าไปไม่ให้ท้องร้อง (การวิ่งต้องมีแผนการสิ)
หลังจากนั้นผมก็ยังสามารถวิ่งต่อเนื่องได้ 30 km 35 km และ 40 km ยังเก็บระยะมาราธอนไว้สำหรับวันงานเท่านั้น
ที่ ระยะ 19 km ที่ห้วยจรเข้มาก
ผมขอพูดถึงวันงานหนึ่งวัน ทีมนักวิ่ง UBU Running ได้ไปสำรวจเส้นทางที่ห้วยจรเข้มาก ทำให้การตกแต่งบริเวณอ่างเก็บน้ำที่ใกล้ตัวเมืองบุรีรีมย์
ที่พักของเราก็ใกล้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตเพียง 3 km บนทางหลวงหมายเลข 226 ดังนั้นจากที่พักเราได้สำรวจเส้นทามาราธอน km 6 - 10 แล้วจากกิโลเมตรที่ 10 เข้าไปในเส้นทางของหมู่บ้าน มุ่งหน้าสู่ห้วยจรเข้มาก ที่ กิโลเมตรที่ 16 และวิ่งบนสันเขื่อนของห้วยจรเจ้มาก ก่อนจะออกจากห้วยจระเข้มาก ไปยังเขตห้ามล่าสัตว์ห้วยจรเข้มาก บนทางหลวงหมายเลข 3070
แผนที่เป็นระยะทางมาราธอนที่ทีมได้มีโอกาสได้ดู และสำรวจก่อนวันแข่งหนึ่งวัน ซึ่งจะมีเนินที่กิโลเมตรที่ 19 ถึง 21
วันนี้เราได้ขับรถไปถึงแยกภัทรบพิตรซึ่งเป็นกิโลเมตรที่ 7 และ 28 ของระยะมาราธอน
และแล้ววันที่ 22 มกราคม 2565 ก็มาถึง ซึงเช้านี้อากาศเย็นพอควร แต่ตกสายและบ่ายอากาศค่อนข้างร้อน (จะรอดไหมเรา)
วันนี้มาราธอนปล่อยตัวเวลา 18.30 น. ภายในสนามแข่งรถช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต
ก่อนปล่อยตัวอากาศเย็นลงหน่อย และยังคุยกับอาจารย์เพื่อนนักวิ่งว่า ฝนจะไหมนี้ ส่วนตัวตอนนั้น คิดว่าไม่น่าตก
และแล้วฝนก็ตกครับ เริ่มจากปรอย ๆ และก็แรงขึ้น เรื่อย ๆ จนเปียกไปหมดแล้ว (รวมทั้งรองเท้าด้วย)
ต่อจากนี้ผมขอเล่าประสบการณ์ของผมตามช่วงกิโลเมตรต่าง ๆ โดยอาจจะแบ่งเป็น ทุก ๆ 5 กิโลเมตร โดยใช้ข้อมูลจาก แผนที่จากนาฬิกาออกกำลังกายและข้อมูลที่วัดโดย RFID tag จากงานเอง
(ภาพจาก อ. รัชวุฒิ)
18:26 คือเวลาปล่อยตัวในงานวันนั้น ยังจำได้แม่นเพราะว่าดูนาฬิกาในสนามตลอดเวลา ตอนนั้นคือเปียกมากแล้ว เราต้องไปต่อล่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
0 - 5 km: นักวิ่งจะต้องวิ่งภายในสนามแข่งรถช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประมาณ 4.5 km ซึ่งตอนนั้นเริ่มมีน้ำขังที่พื้นแล้ว ผมก็พยายามหลบบ้าง แต่ก็ไม่พ้น รองเท้าตอนนั้นเปียกไปหมดแล้ว แถมฝนยังตกตลอด เพื่อน ๆ นักวิ่งก็พยายามหาช่องทางการวิ่งของตัวเอง วันนี้ผมจะวิ่งคู่ไปกับอาจารย์ออฟ (เพื่อนนักวิ่ง UBU Running) ด้วย pace 5:20 นาที ต่อกิโลเมตรโดยประมาณ (ซึ่งผมนำข้อมูลจากผู้จัดมาพล๊อตเป็นกราฟทุก ๆ 5 กิโลเมตร) ก่อนอออกจาสนามแข่งรถนัั้น บริเวณทางที่แข่งรถทางตรงพบว่า มีน้ำขังค่อนข้างมาก หลบอย่างไรก็เจอน้ำ (ลุย!) ผมเองนั้นก็เคยวิ่งตากฝนที่ ม. อุบล ไม่นึกเลยว่าประสบการณ์แบบนั้นจะต้องเอามาใช้ในวันนี้ เราผ่านจุดเชคแรกที่ระยะกิโลเมตร เมื่อออกจากสนามสู่ถนนหลวงหมายเลข 226 ในช่วงนี้ยังทำเวลาเป็นไปตามเป้าหมายคือไม่เกินที่ตั้งใจไว้มากนัก โดยทั่วไปแล้วในช่วงแรกนักวิ่งไม่ควรเร่งวิ่ง เพราะว่าอาจจะหมดแรง การที่วิ่งเกินเวลาเป้าหมายนิดหน่อยก็ไม่ถือว่าเสียหายมากนัก ในช่วง 5 กิโลเมตรนี้ผมวิ่งได้ 5 นาที 24 วินาที ต่อกิโลเมตร
5 - 10 km: พอถึงทางหลวงหมายเลข 226 เหล่านักวิ่งต้องเลี้ยวซ้ายไปทางแยกแยกภัทรบพิตรซึ่งเป็นจุดกลับตัวและเป็นระยะ 7 km ช่างภาพจะอยู่นั้นจำนวนมาก เพื่อเก็บภาพบรรยากาศของเหล่านักวิ่ง และนักวิ่งสามารถเลือกซื้อได้หลังจบงานวิ่ง หลังจากกลับตัวผมได้หยิบยาเม็ดเกลือแร่ออกมาอมหนึ่งเม็ด แทนการเติมเกลือแร่ในช่วงแรกที่อาจจะเข้าจุดน้ำได้ลำบาก ผมเองในช่วงแรกก็ถือขวดน้ำมาด้วย (2 ขวดเล็ก) ที่ระยะก่อน 10 km นักวิ่งต้องเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเล็ก ๆ เรียบคลองมุ่งหน้าสู่ห้วยจรเข้มาก ถนนนี้น่าจะเป็นถนนภายในหมู่บ้านแต่มีสองฝั่งโดยมีคลองส่งน้ำอยู่ตรงกลาง ซึ่งนักวิ่งจะวิ่งฝั่งหนึ่ง และกองเชียร์จะอยู่อีกฝั่งหนึ่ง (เมื่อวานทีมวิ่งก็ได้ผ่านเส้นทางนี้) ในช่วง 5 km นี้ ผมทำความเร็วได้เกินเป้าหมายนิดหน่อย และที่ระยะ 10 km ผมก็ได้เติมเจลอีกซอง เนื่องจากเจลซองแรกได้เติมก่อนการปล่อยตัว
10 - 15 km: ช่วงนี้เป็นถนนภายในหมู่บ้าน (บ้านปรุบุมะค่า) เป็นทางที่มีบ้านและทุ่งนาสลับกันไป และที่ระยะประมาณ 14 กิโลเมตร ผมก็ได้กินเม็ดเกลือแร่อีก วันนี้ตั้งใจว่าจะกินเม็ดเกลือแร่ทุก ๆ 7 กิโลเมตร และกินเจลพลังงานทุก ๆ 10 กิโลเมตร เวลาในช่วงนี้ได้ตามเป้าหมาย และยังวิ่งสบาย ๆ เรื่อย ๆ เนื่องจากเกือบทุกวันผมจะวิ่ง 10 กิโลเมตรตลอดระยะว่าปีกว่าที่ผ่านมา
15 - 20 km: ที่ระยะ 16 km เป็นจุดแรกที่แจกเจลพลังงานของงานบุรีรัมย์มาราธอน ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องเติมเจลของงานวิ่งด้วย ซึ่งในงานนี้จะแจกที่กิโลเมตรที่ 16 และ 28 (เป็นผลจากการทำการบ้านมาก่อน) ที่ทางแยกถึงห้วยจรเข้มาก นักวิ่งต้องเลี้ยวซ้ายวิ่งด้านล่างของถนนที่ขนานกับสันเขื่อน ค่อย ๆ วิ่งขึ้นเนิน ก่อนจะเลี้ยวขวาขึ้นสันเขื่อนจรเข้มาก เหล่ากองเชียร์อยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 18 คอยให้กำลังใจนักวิ่ง และแล้วก็ผ่านกิโลเมตรที่ 19 ที่ทีมนักวิ่งมาสำรวจเมื่อวาน และเราออกห้วยจรเข้มาก ถึงกิโลเมตรที่ 20 ซึ่งน่าจะเป็นเนินที่สูงหนึ่งของงานวิ่งนี้ ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นคือ กิโลเมตรที่ 19-20 คือ +5 m และ กิโลเมตรที่ 20-21 คือ +8 m เมื่อดูเวลาผมและเพื่อนนักวิ่งก็ยังทำเวลาได้ดียังอยู่ในสถิติที่ตั้งใจ
20 - 25 km: ผมผ่าน half-marathon ด้วยอาการที่ค่อนข้างปกติ เนื่องจากเป็นระยะที่ผมคุ้นเคย ใช้เวลาไปแล้วทั้งหมด 1 ชั่วโมง 51 นาทีโดยประมาณ ยังต้องวิ่งบนหลวงหมายเลข 3070 ผ่าน เขตห้ามล่าสัตว์ป่านบนอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก ผ่านหมู่บ้าน และจากถนนหลวง 3070 ก็เลี้ยวขวา เข้าถนนหลวง 2445 ก่อนจะกลับตัวหลังกิโลเมตรที่ 23 เข้าตัวเมืองบุรีรัมย์ ช่วงก่อนถึงกิโลเมตรที่ 25 ผมรู้สึกจุกขึ้นมา อาจจะเนื่องจาก ดื่มเจลพลังงานของงานวิ่งหลังกิโลเมตรที่ 16 และได้ดื่มเจลพลังงานที่เตรียมไว้ตอนประมาณกิโลเมตรที่ 24 ผมกลัวมากว่าพลังงานจะหมดก่อน เพราะช่วงเวลาที่ซ้อมพลังงานจะหมดตอนช่วงกิโลเมตรที่ใกล้ 30 km
25 - 30 km: หลังกิโลเมตรที่ 25 จะขึ้นเนินอีกครั้งก่อนเข้าตัวเมืองบุรีรีมย์ ช่วงนี้เรียกว่าเป็น เขากระโดง (ช่วงนี้เราได้วิ่งเส้นทางเดียวกันกับ half-marathon แล้ว) ผมมองเห็นวัดเขากรโดงอยู่ด้านซ้าย จึงยกมือไหว้และขอให้ผมวิ่งจนสำเร็จด้วย (สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มา) ที่กิโลเมตรประมาณ 26 ผมได้บอกเพื่อนนักวิ่งว่าผมจุก เพื่อนนักวิ่งก็ได้แนะนำว่าไม่หายใจเข้าทางปาก แต่หายใจออกได้ ผมทำตามอาการก็ดีขึ้น ก่อนรับเจลของงานวิ่งอีกครั้งที่กิโลเมตรที่ 28 เหล่านักวิ่งก็วิ่งมาผ่านแยกภัทรบพิตร หลังจากกิโลเมตรที่ 28 น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ เนื่องจากผมบอกเพื่อนนักวิ่งที่วิ่งมาด้วยกันตั้งแต่ต้นแล้ว ผมไม่ไหวแล้ว ให้เขาไปก่อนเลย เดี่ยวผมจะตามไปด้วยความเร็วของผมเอง ที่ km ที่ 29 เราได้เจอเพื่อนนักวิ่ง UBU running ที่วิ่งในระยะ half marathon สองคนที่มาทักทายกัน หลังจากกิโลเมตรที่ 29 นี้ผมได้วิ่งคนเดียวเนื่องจากร่างกายเริ่มอ่อนแรง และผมก็หยิบเจลซองสุดท้ายขึ้นมา ซองนี้มีส่วนผสมของคาเฟอีนด้วย จบที่่เชค point นี้เวลาผมก็ยังเป็นปกติ แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าหลัง km ที่ 30 นี้ เหมือนหนังชีวิต ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับการวิ่งมาราธอนได้
30 - 35 km: ช่วงนี้ผมวิ่งคนเดียวแล้ว เลย กิโลเมตรที่ 30 จะวิ่งผ่านสนามช้างอารีนาซึ่งเป็นเส้นชัย และมีจอ LED ขนาดใหญ่ ถ่ายภาพนักวิ่ง ซึ่งผมไม่รู้หรอกว่าผมได้ขึ้นจอไหม อาจจะได้ขึ้นก็ได้ ถ้าดูจากแผนที่เป็นช่วงที่ค่อนข้างได้เปรียบเพราะว่าลงเนิน (ครั้งหน้าต้องใช้ช่วงเวลานี้ให้เป็นประโยชน์) ในงานวิ่งนี้แจกน้ำเป็นแก้วกระดาษ ผมพยายามมองหาขวดน้ำ เพราะว่าตอนซ้อม ผมมักถือขวดน้ำวิ่งเป็นประจำ และพบว่าผู้ชมการวิ่งได้วางขวดน้ำไว้หน้าบ้านให้หยิบ ผมวิ่งเข้าใส่เลย หยิบมาหนึ่งขวด ช่วงนี้เองผมเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ก่อนถึงกิโลเมตรที่ 33 นักวิ่งต้องผ่านวงเวียนช้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 หลังจากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหลวงหมายเลข 288 ขวดน้ำที่ผมถืออยู่ถึงกับหลุดมือที่กิโลเมตรที่ 33 - 34 และผมก็ทิ้งขวดน้ำที่กิโลเมตร ที่ 34 ลงถังขยะของจุดบริการน้ำ นักวิ่งต้องกลับตัวที่เกือบกิโลเมตรที่ 35 ซึ่งเป็นช่วงที่ pace 3 ชั่วโมง 45 นาทีแซงผมไป เป้นผู้หญิงหนึ่งคน และผู้ชายหนึ่ง ผมมองไปทาง pacer นิดหนึ่งแล้วพยายามวิ่งเกาะไป ถ้าผมเกาะได้ผมน่าจะจบตามเวลาที่ลูกโป้งได้เป็น แต่ผมรู้สึกว่า pace วิ่งเร็วไป ซึ่งควรจะเป็น pace 5 นาที 20 วินาที ต่อกิโลเมตร ผมเทียบกับนาฬืกาแล้ว ผมว่าเขาวิ่งเร็วกว่านั้น ซึ่งผมเดาได้ว่าระยะทางทั้งหมดนี้ต้องมากกว่า 42.195 km แน่ เพราะว่า pacer วิ่งเร็วกว่าปกติ และก่อนถึง km ที่ 35 ผมได้ลดความเร็วลงมาก เพื่อพักเหนื่อย ช่วงนี้ผมใช้เวลามากกว่าช่วงอื่น ๆ ถึง 2 นาที ยังไม่จบนะครับ ช่วงต่อไปผมจะเสียเวลามากกว่านี้อีก
<--กิโลเมตรที่ 32 - 33 (พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1) https://goo.gl/maps/XN4QnMiuTXoGqaDh6
--> กิโลเมตรที่ 34 - 35 เทศบาลชุมเห็ด
35 - 40 km เป็นช่วงที่ผมหยุดพักมากที่สุด สังเกตจากกราฟที่ความถี่ในการก้าวลดลงถึงมากกว่า 7 ครั้ง เป็นช่วงที่ใช้เวลานาน และถูกนักวิ่งแซงไปเกือบ 30 คน หลังผ่านกิโลเมตรที่ 35 นักวิ่งต้องเลี้ยวซ้าย (ณ แยกแสงรุ่ง) เข้าถนนสุนทรเทพ ผมเริ่มหยุดบ่อยที่จุดเติมน้ำที่ กิโลเมตรที่ 36 ดื่มหลายแก้ว ทั้งน้ำ และเกลือแร่ เติมทุกอย่างหยิบอะไรก็หยิบ ข้าวจี่ก็หยิบ กินได้ครึ่งหนึ่งก็เอา ทำให้เสียเวลาค่อนข้างมาก แต่ผมประเมินแล้ว หัวใจผมเต้นแรงมาก ช่วงนี้เป็นแหล่งชุมชน และมีกองเชียร์เช่นเดิม ผมมองเป็นตุ่มใส่น้ำด้วยเกือบวิ่งเข้าไปเอามาราดตัวแล้ว หลังจากผ่านสะพานยาว แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเข้าถนนคูเมือง ที่กิโลเมตรที่ 37 เลี้ยวขวาเข้าถนนจิระ ผ่านศาลหลักเมือง (ที่ทีมนักวิ่งได้มากินข้าวเที่ยง) ผมยังจำได้บริเวณศาลหลักเมืองประดับประดาด้วยสีแดงชุมชนชาวจีนอย่างชัดเจน ผมพยายามวิ่งอยู่กลางถนน และผมรับขวดน้ำ จากคุณป้าคนหนึ่งที่ยืนมอบให้นักวิ่งอยู่ข้างทาง พ้นบริเวณศาลหลักเมืองแล้ว เป็นถนนที่ถนนจิระ (หมายเลข 218) ตัดกับถนนหลวงหมายเลข 2445 นักวิ่งเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 อีกครั้ง
39 - 40 km: ผ่านพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 1 ซึ่งยังไม่ถึงกิโลเมตรที่ 40 ผมยังมีเหนื่อยบ้าง และชะลอความเร็วเพื่อให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง จะเห็นว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่อัตราการการก้าวของผมลดลง เพราะว่ามันมีฮึดบางประการบอกผมว่าอีกไม่ถึง 3 km นี้ผมต้องไม่ชะลอความเร้วแล้ว ถ้าเปรียบเทียบมันก็คือการวิ่งหนึ่งรอบที่หนองอีเจม ที่ผมวิ่งประจำนี้เอง ผมตั้งแน่วแน่ว่า ผมจะทำความเร็วเท่าที่ทำได้ แต่ต้องมากกว่าช่วงที่ผมชะลอความเร็ว
40 - 42.55 km: ช่วงนี้นักวิ่งจะวิ่งกลับไปเส้นชัยที่สนามช้างอารีน่า เป็นช่วงที่ขึ้นเนิน (ตามแผนที่) หากคราวหน้าต้องวางแผนให้ดี ผมเริ่มทำความเร็วได้แล้ว หลังกิโลเมตรที่ 41 หากดูเวลาย้อนหลังในช่วงกิโลเมตร 40 - 41 ผมวิ่งได้ 6 นาที 39 วินาที แต่หลังกิโลเมตรที่ 41 แล้ว ผมเร่งอย่างเดียวเลย ทำให้ผมทำความเร็วได้มากขึ้น แต่อาจจะเนื่องว่าเป็นช่วงขึ้นเนินทำให้ผมได้เวลาช่วง กิโลเมตรที่ 41 ถึง 42 คือ 5 นาที 24 วินาที และช่วงสุดท้ายตามที่นาฬิกาจับได้คือ 340 เมตร เป็นช่วงที่ pace เป็น 5:21 นาที/เมตร
ระยะที่นาฬิกาจับได้วันนี้คือ 42.54 km โดยมี pace เฉลี่ยคือ 5:25 นาที/km
เป็นการเร่งเข้าเส้นชัยที่ผมเองภูมิใจมาก อย่างน้อยเราก็ไม่หมดแรง และเดินเข้าเส้นชัย ผมไม่รู้แรงฮึดนี้มากจากไหน หลังจากเข้าเส้นชัยผมก็ดีใจ เดินไปรับเหรียญ รับเสื้อ finisher ตัวผมเปียกไปหมด รวมทั้งรองเท้าด้วย ...