การกำหนดคุณสมบัติของโปรแกรมจะกระทำผ่านหน้าต่าง System Preferences สามารถเรียกแสดงได้จากเมนู Window > Preferences โดยในหน้าต่าง System Preferences จะแบ่งหมวดการกำหนดค่าออกเป็น 10 หมวดด้วยกันคือ
Applications เป็นส่วนสำหรับการกำหนดโปรแกรมพื้นฐานในการแก้ไขไฟล์รูปภาพ
Compatbility เป็นส่วนสำหรับกำหนดการไฮไลท์ของ Component/Group และรูปแบบการหมุนของลูกกลิ้งเม้าส์
Drawing เป็นส่วนสำหรับกำหนดรูปแบบการวาดเส้นตรง การแสดงผล Crosshairs และเครื่องมือ Push/Pull
Extensions เป็นส่วนสำหรับเปิด/ปิดการทำงานของปลั๊กอิน
Files เป็นส่วนสำหรับกำหนดไดเรกทอรีของไฟล์
General เป็นส่วนสำหรับกำหนดค่าทั่วไปเช่น การบันทึกไฟล์ การแก้ปัญหาของโมเดลเป็นต้น
OpenGL เป็นส่วนสำหรับกำหนดค่าการแสดงผลในส่วนของ OpenGL
Shortcuts เป็นส่วนสำหรับกำหนดคีย์ลัดในการใช้งานคำ สั่งต่างๆ
Template เป็นส่วนสำหรับเลือกแม่แบบเริ่มต้นที่จะใช้ในการทำ งาน
Workspace เป็นส่วนสำหรับคืนค่าพื้นที่ทำงานและกำหนดขนาดไอคอนของเครื่องมือ
กำหนดค่าKeyboard Shortcut
Google SketchUp ได้กำหนดค่าในส่วนของ Keyboard Shortcut หรือคีย์ลัดเอาไว้ให้แล้วส่วนหนึ่ง เราสามารถที่จะกำหนดค่าของคีย์ลัดตามความถนัดในการใช้งานของตัวเองได้จากหน้าต่าง System Preferences ขึ้นมาแล้วเลือกไปที่ Shortcuts โดยจะมี ส่วนสำหรับกำหนดค่าดังนี้
Filter ใช้สำหรับกรองหาคำสั่งที่ต้องการ
Function เป็นส่วนสำหรับแสดงรายการคำสั่งทั้งหมดที่มีในโปรแกรม
Add Shortcut ใช้สำหรับกำหนดคีย์ลัดที่ต้องการ Assigned แสดงคีย์ลัดของคำสั่งที่ถูกกำหนดเอาไว้
+ เพิ่มคีย์ลัดไปไว้ใน Assigned
- ลบคีย์ลัดออกจาก Assigned
Reset All คืนค่าคีย์ลัดทั้งหมดให้เป็นค่ามาตราฐานที่โปรแกรมกำหนดมาให้
การเพิ่มคีย์ลัด
1. พิมพ์คำสั่งที่ต้องการเพิ่มคีย์ลัดลงไปในช่อง Filter เช่น Group
2. เลือกคำสั่งที่ต้องการจากช่อง Function
3. คลิกที่ช่อง Add Shortcut แล้วกดคีย์ที่ต้องการบนแป้นคีย์บอร์ดเช่น Ctrl+G
4. คลิกปุ่ม + คีย์ลัดจะถูกนำไปเก็บไว้ในช่อง Assigned
5. หลังจากที่กำหนดคีย์ลัดให้กับคำ สั่งต่างๆเสร็จแล้วให้คลิกปุ่ม OK
เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน แนะนำให้เพิ่มคีย์ลัดตามตารางต่อไปนี้
ในส่วนของคำสั่ง Back Line จะมีคีย์ที่กำหนดมาให้แล้วคือคีย์ K แนะนำให้ลบคีย์เดิมออกเพื่อเก็บคีย์เอาไว้ใช้กับคำสั่งอื่นๆที่จะเพิ่มในภายหลัง และหลังจากกำหนดค่าเสร็จแล้วเราสามารถที่จะส่งออกค่าได้โดยการคลิกที่ปุ่ม Export แล้วเลือกตำแหน่งจัดเก็บไฟล์โดยไฟล์จะมีนามสกุล .dat (ถ้าไม่มีการตั้งชื่อใหม่โปรแกรมจะตั้งชื่อมาตรฐานให้เป็น Preferences.dat) และถ้าต้องการนำกลับมาใช้ใหม่ก็ให้คลิกเลือกที่ปุ่ม Import แล้วเลือกไฟล์ Preferences ที่เคยบันทึกเก็บเอาไว้
หมายเหตุ: ไฟล์ Preferences จะบันทึกค่าในส่วนของ Shortcut และ File ในหน้าต่าง System Preferences เท่านั้น
การเลือกแม่แบบเพื่อใช้งาน
การทำงานในโปรแกรม Google SketchUp ไม่ว่าจะเป็นการเปิดโปรแกรมขึ้นมาหรือการสร้างงานใหม่ โปรแกรมจะทำการเรียกเอาแม่แบบที่ถูก กำหนดเอาไว้แล้วมาเป็นแม่แบบเริ่มต้นสำหรับการทำงาน
เราสามารถที่จะเลือกกำหนดแม่แบบเริ่มต้นสำหรับการทำงานได้จากหน้าต่าง System Preferences ในหมวด Template หรือเลือกจากหน้าต่าง Welcome to SketchUp ก็ได้เช่นกัน การเรียกแสดงหน้าต่าง Welcome to SketchUp สามารถเลือกได้จาก เมูน Help > Welcome to SketchUp
การกำหนดค่าในส่วนของ ModelInfo
Model Info เป็นส่วนสำหรับกำหนดรายละเอียดต่างๆของไฟล์งานที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนั้นเพื่อช่วยให้การทำงานมีความสะดวกและเหมาะสมกับการทำงานในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดการแสดงผลของแอนิเมชัน การแก้ไข Component/Group การกำหนดรายละเอียดของไฟล์ หน่วยวัด รูปแบบตัวอักษร เป็นต้น สามารถเรียกหน้าต่าง Model Info ได้จาก
เมนู Window > Model Info หรือคลิกที่ไอคอน
การบันทึกแม่แบบ(SaveAsTemplate)
เราสามารถบันทึกไฟล์งานเก็บไว้เป็นแม่แบบสำหรับใช้งานในครั้งต่อไปได้จากเมนู File > Save As Template... การบันทึกแม่แบบนั้นจะมีการเก็บค่าต่างๆที่กำหนดเอาไว้ในไฟล์งาน ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดค่าต่างๆใน Model Info มุมมองหรือรูปแบบการแสดงผลเป็นต้น
การใช้งานเครื่องมือSelect
การเลือกวัตถุด้วยเครื่องมือSelect วัตถุใน Google SketchUp จะแบ่งออกเป็น 6 รูปแบบด้วยกันคือ เส้น (Edge),พื้ผิว (Face), วัตถุที่ถูกรวมกลุ่ม (Group/ Component), เส้นนำ หรือเส้นไกด์ (Guide Line), ข้อความ (Text) เส้นวัดขนาด (Dimension Line) และแผ่นหน้าตัด (Section Plane) การเลือกวัตถุด้วยการคลิกเม้าส์ การเลือกวัตถุด้วยการคลิกจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบด้วยกันดังนี้
1. การคลิกเม้าส์ 1 ครั้งที่วัตถุจะเป็นการเลือกเฉพาะวัตถุที่ถูกคลิกเลือกเท่านั้น
2. การดับเบิลคลิกที่วัตถุจะแบ่งย่อยออกเป็น 4 รูปแบบคือ
2.1 ดับเบิลคลิกที่พื้นผิวจะเป็นการเลือกพื้นผิวและเส้นที่อยู่รอบพื้นผิวที่ถูกเลือก
2.2 ดับเบิลคลิกที่เส้นจะเป็นการเลือกเส้นและพื้นผิวที่อยู่ติดกับเส้นที่ถูกเลือก
2.3 ดับเบิลคลิกวัตถุที่เป็น Group/Component จะเข้าสู่โหมดแก้ไข Group/Component
2.4 ดับเบิลคลิกที่ข้อความ/เส้นวัดขนาดจะเป็นการแก้ไขข้อความ
2.5 ดับเบิลคลิกที่แผ่นหน้าตัดจะเป็นการเปิด/ปิดการทำ งานของแผ่นหน้าตัด
3. การทริปเปิลคลิกที่วัตถุ (คลิกเม้าส์ 3 ครั้งติดกัน) จะเป็นการเลือกวัตถุทั้งหมดบนรูปทรงเดียวกัน
การเลือกวัตถุด้วยการแดร็กเม้าส์(DragMouse)
การแดร็กเม้าส์หรือการคลิกแล้วลากเม้าส์เพื่อเลือกวัตถุจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบด้วยกันดังนี้ 1. การคลิกแล้วลากเม้าส์จากขวาไปซ้าย วัตถุที่อยู่ในขอบเขตของการลากเม้าส์จะถูกเลือกทั้งหมด 2. การคลิกแล้วลากเม้าส์จากซ้ายไปขวา วัตถุที่ขอบเขตของเม้าส์ลากผ่านจะถูกเลือกทั้งหมด
การใช้คีย์Ctrl, Shift และCtrl+Shiftร่วมกับเครื่องมือSelect
เราสามารถกดคีย์ Ctrl, Shift และ Ctrl+Shift ร่วมกับการใช้เครื่องมือ Select จะช่วยให้เลือกวัตถุหลายชิ้นเฉพาะส่วนที่ต้อง การได้โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้
Ctrl ใช้เพื่อเลือกวัตถุเพิ่ม
Shift ใช้เพื่อลดวัตถุที่ถูกเลือก
Ctrl+Shift ใช้เพื่อเลือก/ลดวัตถุ
นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกวัตถุทั้งหมดบนพื้นที่ทำงานได้โดยการใช้คำสั่ง Edit > Select All หรือกดคีย์ Ctrl+A และ ยกเลิกการเลือกวัตถุได้ด้วยคำสั่ง Edit > Select None หรือกดคีย์ Ctrl+T
หมายเหตุ: ในกรณีที่เข้าสู่โหมดแก้ไข Group/Component การใช้คำสั่ง Select All จะเป็นการเลือกเฉพาะวัตถุที่อยู่ใน Group/Component เท่านั้น
การเลือกวัตถุจากหน้าต่างOutliner
Outliner เป็นหน้าต่างแสดงรายการวัตถุที่เป็น Group และ Component สามารถใช้เลือกวัตถุที่อยู่ลึกลงไปใน Group/Component ได้ (วัตถุที่อยู่ลึกลงไปจะต้องเป็น Group หรือ Component ด้วย) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตั้งชื่อใหม่ให้กับวัตถุ และยัง สามารถเลือกวัตถุที่ถูกซ่อนได้ อีกทั้งยังสามารถคลิกขวาเพื่อเรียกใช้คำสั่งต่างๆได้เช่นเดียวกับการเลือกวัตถุบนพื้นที่ทำงาน
การใช้งาน Outliner โดยส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีที่แบบจำลองมีความซับซ้อนและมีวัตถุที่เป็น Group/Component หลายชิ้น ซึ่งจะช่วยให้การเข้าถึงวัตถุต่างๆนั้นทำได้ง่ายขึ้น การเปิดหน้าต่าง Outliner สามารถเลือกได้จากเมนู Window > Outliiner
วาดเส้นตรงด้วยเครื่องมือLine
การวาดเส้นตรงในลักษณะต่างๆ เครื่องมือ Line เป็นเครื่องมือสำหรับวาดเส้นตรง สามารถเรียกใช้งานได้จากไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Line หรือ กดคีย์ L การวาดเส้นตรงด้วยเครื่องมือ Line จะมีรูปแบบการวาดเส้นตรงอยู่ 2 วิธีด้วยกันคือ
1. Click-move-click เป็นการวาดเส้นตรงแบบการคลิกเม้าส์หนึ่งครั้งในตำแหน่งเริ่มต้นแล้วเลื่อนเม้าสไปยังตำแหน่งถัดไปแล้วคลิก เม้าส์อีกครั้ง วิธีนี้เมื่อปล่อยเม้าส์แล้วเลื่อนเม้าส์ไปยังตำแหน่งใดๆจะมีเส้นตรงเชื่อมต่อจากปลายเส้นที่เพิ่งวาดไปตามเคอร์เซอร์ของ เม้าส์ออกมาเสมอจนกว่าเส้นจะมีการบรรจบกันจนเกิดเป็นพื้นผิว
2. Click-drack-release เป็นการวาดเส้นตรงแบบการคลิกเม้าส์ในตำแหน่งเริ่มต้นค้างไว้แล้วลากไปปล่อยยังตำแหน่งที่ต้องการ วิธีนี้ เมื่อปล่อยเม้าส์แล้วการวาดเส้นจิสิ้นสุดลงทันที
เราสามารถเลือกกำหนดรูปแบบการวาดเส้นตรงได้จากหน้าต่าง System Preferecnes / Drawing / Click Style โดยค่ามาตราฐานของ โปรแกรมจะกำหนดรูปแบบการวาดเส้นตรงเป็นแบบ Auto detect ซึ่ง สามารถวาดเส้นตรงได้ทั้งสองวิธีข้างต้น
Tips: ในขณะที่ทำการวาดเส้นตรง สามารถกดคีย์ Esc เพื่อยกเลิกการ ทำงานในขณะนั้น
การกำหนดความยาวของเส้นด้วยMeasurement
ในขณะที่ใช้เครื่องมือ Line วาดเส้นไปในทิศทางต่างๆให้สังเกตที่เครื่องมือ Measurement จะเห็นว่าข้อความด้านหน้าของ ช่องกำหนดค่าจะเปลี่ยนเป็น Length และในช่องกำหนดค่าจะแสดงตัวเลขตามระยะของเส้นที่ถูกลากไป
เราสามารถกำหนดความยาวของเส้นด้วย Measurement ได้ด้วยกัน 2 กรณีคือ
1. กำหนดค่าในขณะที่ลากเส้นไปในทิศทางต่างๆ วิธีนี้หลังจากกำหนดค่าเสร็จจะยังคงมีเส้นเชื่อมต่อจากปลายเส้นตามเคอร์เซอร์ ออกมา
2. กำหนดค่าหลังจากที่วาดเส้นเสร็จแล้ว วิธีนี้จะทำให้การวาดเส้นสิ้นสุดลงทันทีไม่มีเส้นเชื่อมต่อตามออกมา แต่มีข้อแม้ว่าการ กำหนดค่าจะต้องกำหนดหลังจากที่วาดเส้นเสร็จโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนไปใช้เครื่องมือใดๆ ยกเว้นเครื่องมือเกี่ยวกับการจัดการมุมมอง
ปรับแต่งความยาวของเส้นด้วย EntityInfo
ในกรณีที่วาดเส้นเสร็จแลวแต่ลืมกำหนดความยาวของเส้นและมีการเปลี่ยนไปใช้เครื่อง มือใดๆแล้ว เรายังสามารถที่จะปรับแต่งความยาวของเส้นได้จากหน้าต่าง Entity Info (Window > Entity Info) โดยกำหนดค่าความยาวของเส้นได้จากช่อง Length
หมายเหตุ : เส้นที่สามารถปรับแต่งด้วย Entity Info ได้นั้น ปลายเส้นด้านใดด้านหนึ่งจะต้องไม่ เชื่อมต่อกับเส้นใดๆ เราจะเรียกเส้นในลักษณะนี้ว่าเส้นเปิด และถ้าเส้นนั้นปลายเส้นทั้งสองด้าน เชื่อมต่อกับเส้นใดๆ เราจะเรียกเส้นในลักษณะนี้ว่าเส้นปิด
องค์ประกอบของวัตถุในGoogle SketchUp
วัตถุหรือรูปทรงใน Google SketchUp จะประกอบไปด้วยเส้นและพื้นผิวเป็นหลัก โดยพื้นผิวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการ บรรจบกันของเส้นตั้งแต่ 3 เส้นขึ้นไป ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เราวาดเส้นมาบรรจบกันในระนาบเดียวกันก็จะเกิดพื้นผิวขึ้นภายใน ขอบเขตของเส้นเหล่านั้น และในส่วนของพื้นผิวเองจะมีด้วยกันอยู่ 2 ด้านคือ พื้นผิวด้านนอกและพื้นผิวด้านใน
การทำงานในมุมมอง2Dและ3D
การทำงานในโปรแกรมออกแบบ 3D ทั่วไปจะมีการทำงานในมุมมองทั้งแบบ 2D (Two Dimensions) และ 3D (Three Dimensions) โดยการทำงานในมุมมองแบบ 2D นั้น การทำงานจะอ้างอิงกับเส้นแกน 2 เส้น เช่น x, y หรือ x, z เป็นต้น
มุมมองการทำงานแบบ 2D จะมีอยู่ด้วยกัน 6 มุมมองคือ ด้านบน (Top) ด้านหน้า (Front) ด้านขวา (Right) ด้านหลัง (Back) ด้านซ้าย (Left) และด้านล่าง (Bottom) ซึ่งถ้าเราทำงานในมุมมองด้านซ้ายหรือด้านขวาก็จะอ้างอิงการทำงานกับแกน y (แกนสีเขียว) และแกน z (แกนสีน้ำเงิน) เป็นต้น ส่วนสำหรับการทำงานในรูปแบบ 3D นั้นจะทำงานกับแกนอ้างอิงทั้ง 3 แกน คือ x, y และ z ซึ่งก็คือมุมมองแบบ Iso นั่นเอง
การอ้างอิงทิศทางด้วยแกนอ้างอิง(Axes)
การวาดเส้นใน Google SketchUp จะมีการอ้างอิงทิศทางตามแกนอ้างอิง (Axes) ทั้ง 3 แกนเพื่อให้การสร้างเส้นในทิศทาง ต่างๆมีความถูกต้องและแม่นยำ โดยถ้าวาดเส้นขนานไปตามแกน x เส้นที่กำลังวาดอยู่จะแสดงเป็นสีแดง หรือถ้าวาดเส้นขนานไป ตามแกน y เส้นที่กำลังวาดอยู่จะแสดงเป็นสีเขียว เป็นต้น
การย้ายตำแหน่งแกนอ้างอิง
เราสามารถที่จะย้ายตำแหน่งของแกนอ้างอิงและปรับหมุนไปในทิศทางต่างๆได้เพื่อใช้อ้างอิงการสร้างเส้นหรือรูปทรงใน ทิศทางที่ต้องการ สามารถทำได้โดยเลือกไอคอน หรือเลือกจากเมนู Tools > Axes หรือจะใช้วิธีคลิกขวาที่แกนอ้างอิงแล้วเลือกคำ สั่ง Place ก็ได้เช่นกัน
นอกจากนี้เรายังสามารถย้ายแกนอ้างอิงไปยังตำแหน่งใดๆโดยการกำหนดตำแหน่งและทิศทางที่แน่นอนลงไป สามารถทำ ได้โดยคลิกขวาที่แกนอ้างอิงแล้วเลือกคำสั่ง Move จะปรากฎหน้าต่าง Move Sketching Context ขึ้นมา โดยจะมีตัวเลือกให้กำหนด ค่าทั้งในส่วนของการกำหนดตำแหน่งและการกำหนดองศาของแกนทั้ง 3 แกน
การอ้างอิงตำแหน่งด้วย Inference
Inferenceเป็นอีกความสามารถของ Google SketchUp ที่จะช่วยให้การสร้างชิ้นงานในตำแหน่งและทิศทางต่างๆสามารถ กระทำได้ง่ายขึ้น โดย Inference จะแสดงอยู่ในรูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆเช่น จุดสี เส้นทึบ เส้นประสีต่างๆ พร้อมแสดงข้อความที่ จะช่วยให้เรารู้ว่าขณะนั้นกำลังทำงานอยู่ที่ตำแหน่งไหน และอ้างอิงอยู่กับแกนใด
Inferecne แบบจุด(Point Inference)
จะปรากฎให้เห็นตามแนวเส้นและพื้นผิวของชิ้นงานพร้อมข้อความกำกับ โดยรูปแบบของจุด สี และข้อความจะแสดงผล แตกต่างกันออกไป
Inference แบบเส้น(LineInference)
จะปรากฎให้เห็นขณะมีการวาดเส้นไปยังทิศทางต่างๆที่อ้างอิงจากแกนอ้างอิงหรือเส้นตรงบนชิ้นงาน โดย Inference แบบเส้นจะแสดงให้เห็นด้วยเส้นที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปพร้อมแสดงข้อความกำกับ โดยรูปแบบของเส้น สี และข้อความจะแสดง ผลแตกต่างกันออกไป
Inferenceบนพื้นระนาบ(Planar Inference)
เป็น Inference ที่จะช่วยให้การสร้างเส้นหรือรูปทรงต่างๆบนพื้นระนาบทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะหมายถึงการทำงานบนพื้นผิวที่มี ความลาดเอียงในทิศทางต่างๆ รวมไปถึงตำแหน่งที่เป็นพื้นดินบนพื้นที่ทำงานด้วย
การแบ่งเส้นตรงออกเป็นส่วนๆด้วยคำสั่งDivide
เราสามารถแบ่งเส้นตรงออกเป็นส่วนๆที่เท่ากันได้โดยการคลิกขวาที่เส้นที่ ต้องการแล้วเลือกคำสั่ง Divide แล้วเลื่อนเม้าส์เพื่อกำหนดจำนวนการแบ่งเส้น โดย เลื่อนเม้าส์ไปทางซ้ายจะเป็นการลดจำนวนและเลื่อนเม้าส์ไปทางขวาจะเป็นการเพิ่ม จำนวนการแบ่งเส้น หรือจะกำหนดค่าด้วย Measurements ก็ได้เช่นกัน
วาดรูปสี่เหลี่ยมด้วยเครื่องมือRectangle
การวาดรูปสี่เหลี่ยมทั่วไป
Rectangle เป็นเครื่องมือสำหรับวาดรูปสี่เหลี่ยม โดยรูปสี่เหลี่ยมที่ได้จะ ประกอบไปด้วยเส้น 4 เส้นทำมุม 90 องศาบรรจบกันและมีพื้นผิวอยู่ด้านใน สามารถ เรียกใช้งานเครื่องมือ Rectangle ได้โดยคลิกที่ไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Rectangle หรือกดคีย์ R
การวาดรูปสี่เหลี่ยมด้วยเครื่องมือ Rectangle เราจะใช้วิธีคลิกเม้าส์ลงบน ตำแหน่งที่ต้องการจากนั้นเลื่อนเม้าส์ไปยังทิศทางต่างๆจนได้ขนาดของรูปสี่เหลี่ยมที่ ต้องการแล้วคลิกเม้าส์อีกครั้ง
กำหนดขนาดของรูปสี่เหลี่ยมด้วยMeasurments
การกำหนดขนาดของรูปสี่เหลี่ยมด้วย Measurments จะใช้วิธีการพิมพ์ขนาดที่ต้องการลงไป เช่น 5, 8 หรือ 10m, 12m เป็นต้น
การวาดรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสและสี่เหลี่ยมแบบGolden
ในขณะที่วาดรูปสี่เหลี่ยมด้วยเครื่องมือ Rectangle ถ้าปรากฎเส้นแทยงมุมพร้อมข้อความกำกับเป็น Square หรือ Golden Section จะเป็น Inference อีกลักษณะหนึ่งที่จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่าขณะนั้นรูปสี่เหลี่ยมที่เราวาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส หรือเป็นรูป สี่เหลี่ยมแบบ Golden ซึ่งจะทำให้ง่ายในการสร้างรูปสี่เหลี่ยมทั้งสองแบบ
ทำความรู้จักกับGolden Section
คำว่า Golden Section เป็นชื่อที่ถูกตั้งใน 2,000 ปีให้หลังในศตวรรษที่ 15 โดย Luca Pacioli และ Leonardo da Vinci เรียก มันว่า Divine Proportion (สัดส่วนศักดิ์สิทธิ์) คำว่า “Golden” ถูกนำมาใช้อีกครั้งในปี 1853 ในหนังสือของนักคณิตศาสตร์ Martin Ohm และยิ่งเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในนวนิยายเรื่อง The Da Vinci Code ของแดนบราวน์
Golden Section ยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อดังนี้ Golden Proportion, Golden Ratio, Golden Number, Gonden Mean และ Golden Rectangle
Golden Section มีสัดส่วน 0.618:1 ซึ่งเท่ากับ 1.64803 39887 49894 84820 ซึ่งถูกเรียกว่า Phi (ตามชื่อนักประติมากรรม ชาวกรีก Phidias ผู้ปั้นรูปปั้นประดับบนวิหารพาร์เธนอน 440 BC) โดยอนุโลมสัดส่วน 2:3, 5:8, 8:10 และ 89:144 ให้เป็นสัดส่วนที่ สมบูรณ์ ชาวกรีกเชื่อว่ามันเป็นสัดส่วนพื้นฐานของความงามของสรรพสิ่งในจักรวาลและกฎแห่งธรรมชาติ เชื่อกันว่าพีรามิตอียิปต์ก็ สร้างด้วยสัดส่วนนี้
Golden Section มีความสัมพันธ์กับเลข Fibonacci Sequence ซึ่งเป็นตัวเลขที่สร้างขึ้นจากการเริ่มต้นที่เลข 0, 1 และต่อ เนื้องไปด้วยเลขใหม่ที่เป็นผลมาจากผลรวมของเลขสองตัวแรกคือ 0+1 = 1, 1+1 = 2, 1+2 = 3, 2+3 = 5, 3+5 = 8, ... ทำให้เกิดการ เรียงลำดับของตัวเลข 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, ... ลำดับการเรียงของอัตราส่วนในลักษณะนี้จะให้ค่า 1/1 = 1, 2/1 = 2, 3/2 = 1.5, 5/3 = 1.666..., 8/5 = 1.6, 13/8 = 1.6525, 21/13 = 1.615..., 34/24 = 1.619, 55/34 = 1.6176, 89/55 = 1.681...
Golden Section ถูกนำมาใช้ในงานออกแบบต่างๆทั้งในด้านสถาปัตยกรรม การจัดองค์ประกอบของภาพถ่าย การวาดภาพ ไปจนถึงนำมันมาใช้เป็นสัดส่วนพื้นฐานของร่างกายมนุษย์และกฎแห่งธรรมชาติ
การใช้งานเครื่องมือPush/Pull
Push/Pull เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ดึงและดันพื้นผิวของวัตถุ เป็นเครื่องมือสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่มักถูกเรียกใช้งานเป็นประจำ ในการขึ้นโมเดลด้วย Google SketchUp สามารถเรียกใช้งานได้โดยคลิกที่ไอคอน หรือเลือกได้จากเมนู Tools > Push/Pull หรือ กดคีย์ P
เครื่องมือ Push/Pull จะสามารถทำงานได้เฉพาะกับพื้นผิวของวัตถุ โดยจะใช้หลักการในการดึงพื้นผิวขึ้นมา หรือดันพื้นผิว เข้าไป การดันพื้นผิวสามารถที่จะใช้ในการตัดเจาะวัตถุได้ด้วยโดยการดันให้เสมอพื้นผิวด้านหลังของวัตถุ
การใช้งานเครื่องมือPush/Pullร่วมกับคีย์Ctrl
ในขณะที่ใช้เครื่องมือ Push/Pull ถ้ากดคีย์ Ctrl หนึ่งครั้ง จะเห็นว่าเคอร์เซอร์ของเครื่องมือจะมีเครื่องหมาย + เพิ่มเข้ามา ซึ่ง จะเป็นการดึงพื้นผิวในลักษณะคัดลอกพื้นผิวเพิ่มขึ้นมา
วัตถุแบบSolid และNon Solid
ใน Google SketchUp 8 ได้เพิ่มกลุ่มเครื่องมือ Solid ขึ้นมาจึงได้มีการแบ่งรูปแบบของวัตถุออกเป็นแบบ Solid และ Non Solid เพื่อให้สามารถใช้งานกับเครื่องมือในกลุ่ม Solid ได้ โดยวัตถุที่เป็นแบบ Solid นั้นจะต้องเป็นรูปทรงสามมิติ ซึ่งพื้นผิวทั้งหมดจะ ต้องปิดทึบและเชื่อต่อกันทุกด้าน นอกจากนี้วัตถุที่เป็นแบบ Solid จะต้องเป็นวัตถุที่เป็น Group/Component ด้วย
เครื่องมือCircle และ Polygon
การใช้งานเครื่องมือCircle
Circle เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างรูปวงกลม สามารถเรียกใช้ได้โดยคลิกที่ไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Circle หรือ กดคีย์ C
การสร้างรูปวงกลมด้วยเครื่องมือ Circle ให้คลิกเม้าส์ลงบนตำแหน่งที่ ต้องการแล้วลากเม้าส์ไปยังทิศทางต่างๆจนได้ขนาดที่ต้องการแล้วจึงคลิกเม้าส์อีกครั้ง
การใช้งานเครื่องมือPolygon
Polygon เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างรูปหลายเหลี่ยม สามารถเรียกใช้งานได้ โดยคลิกที่ไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Polygon การสร้างรูปหลายเหลี่ยมด้วยเครื่องมือ Polygon จะมีวิธีการเช่นเดียวกับ การสร้างรูปวงกลมด้วยเครื่องมือ Circle
กำหนดขนาดของรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมด้วยMeasurements
การกำหนดขนาดของรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมที่ต้องการด้วยเครื่องมือ Measurements โดยขณะที่ใช้เครื่องมือ Circle หรือ Polygon ลากกำหนดขนาดจะเห็นว่าข้อความหน้าช่องกำหนดค่าจะเปลี่ยนเป็น Radius ซึ่งถ้าเราพิมพ์ค่าที่ต้องการลงไปจะเป็น การกำหนดค่าในส่วนของรัศมีของรูปวงกลมหรือรูปหลายเหลี่ยม เช่นถ้าต้องการวาดรูปวงกลมขนาด 10 cm เราจะพิมพ์ค่าลงไปเป็น 5 cm ถึงจะได้รูปวงกลมขนาด 10 cm ตามที่เราต้องการ
กำหนดจำนวนด้านของรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมด้วยMeasurements
จำนวนด้านมาตราฐานที่โปรแกรมกำหนดมาให้สำหรับรูปวงกลมนั้นจะมีจำนวนด้านด้วยกัน 24 ด้าน และ 6 ด้านสำหรับรูป หลายเหลี่ยม การกำหนดจำนวนด้านให้กับรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมด้วยเครื่องมือ Measurements สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธีดังนี้
1. หลังจากที่เลือกเครื่องมือ Circle หรือ Polygon ข้อความหน้าช่องกำหนดค่าจะเปลี่ยนเป็น Sides ให้พิมพ์จำนวนด้านที่ต้องการ แล้วเคาะ Enter จากนั้นจึงเริ่มสร้างรูปวงกลมหรือรูปหลายเหลี่ยม
2. กำหนดค่าหลังจากที่สร้างรูปวงกลมหรือรูปหลายเหลี่ยมเสร็จแล้วโดยพิมพ์จำนวนด้านที่ต้องการตามด้วยตัว s เช่น 32s เป็นต้น
ปรับแต่งรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมด้วย Entity Info
เราสามารถปรับแต่งขนาดและจำนวนด้านของรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยม ได้จากหน้าต่าง Entity Info โดยการปรับแต่งนั้นให้คลิกที่เส้นรอบวงของรูปวงกลมหรือ รูปหลายเหลี่ยม แล้วปรับเปลี่ยนขนาดได้จากการกำหนดค่าในช่อง Radius และกำหนด จำนวนด้านได้จากช่อง Segments
Tips: การสร้างรูปวงกลมและรูปหลายเหลี่ยมในแนวระนาบต่างๆจะใช้วิธีการล็อคแนว ระนาบโดยการเลื่อนเม้าส์ไปยังแนวระนาบที่ต้องการแล้วกดคีย์ Shift ค้างไว้ จากนั้น เลื่อนเม้าส์มาสร้างวงกลมในตำแหน่งที่ต้องการ
การใช้งานเครื่องมือArc และFreehand
สร้างเส้นโค้งด้วยเครื่องมือArc
Arc เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างเส้นโค้ง สามารถเรียกใช้งานได้โดยคลิกที่ไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Arc หรือ กดคีย์ A การสร้างเส้นโค้งด้วยเครื่องมือ Arc จะใช้การคลิกทั้งหมด 3 ครั้งด้วยกันโดยการคลิกครั้งแรกเพื่อกำหนดตำแหน่งเริ่มต้น ของการวาด จากนั้นเลื่อนเม้าส์ไปยังทิศทางที่ต้องการแล้วคลิกเม้าส์อีกครั้งเพื่อกำหนดความกว้าง แล้วเลื่อนเม้าส์อีกครั้งเพื่อกำหนด ความนูนของเส้นโค้งแล้วจึงคลิกเม้าส์เพื่อสิ้นสุดการสร้างเส้นโค้ง
จำนวนด้านมาตราฐานของเส้นโค้งจะถูกกำหนดมาให้ที่ 12 ด้าน สามารถกำหนดค่าและปรับแต่งได้เหมือนกับการใช้เครื่อง มือ Circle และ Polygon โดยใช้เครื่องมือ Measurements และ Entity Info
สร้างเส้นอิสระด้วยเครื่องมือFreehand
เครื่องมือ Freehand เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างเส้นอิสระ โดยส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้ในการสร้างลักษณะของภูมิประเทศใน การเขียนแบบ 2D หรือใช้ร่วมกับเครื่องมือในกลุ่ม Sandbox เพื่อสร้างลักษณะภูมิประเทศแบบ 3D
การเรียกใช้งานเครื่องมือ Freehand ให้คลิกที่ไอคอน หรือเลือกจากเมนู Draw > Freehand โดยการวาดเส้นอิสระด้วย เครื่องมือ Freehand จะใช้การคลิกเม้าส์ค้างไว้แล้วลากเส้นเป็นรูปทรงที่ต้องการแล้วจึงปล่อยเม้าส์ ซึ่งถ้าเส้นที่วาดนั้นวาดมาบรรจบ กันหรือตัดผ่านกันก็จะมีการสร้างพื้นผิวขึ้นมาให้ด้วย
การใช้งานเครื่องมือEraser
เครื่องมือ Eraser เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ลบวัตถุต่างๆบนพื้นที่ทำงาน สามารถเรียกใช้งานได้โดยคลิกที่ไอคอน หรือ เลือกจากเมนู Tools > Eraser หรือกดคีย์ E โดยการใช้งานเครื่องมือ Eraser นั้นหลังจากที่เลือกเครื่องมือแล้วก็ให้เลื่อนเม้าส์ไปคลิก วัตถุที่ต้องการลบทีละชิ้น หรือจะใช้การคลิกเม้าส์ค้างแล้วลากเม้าส์ผ่านไปยังวัตถุที่ต้องการลบ วัตถุที่ถูกลากผ่านจะถูกไฮไลท์และ หลังจากที่ปล่อยเม้าส์วัตถุเหล่านั้นจะถูกลบออกไป
นอกจากการลบวัตถุด้วยเครื่องมือ Eraser แล้วเรายังสามารถที่จะคลิกที่ไอคอน หรือกดคีย์ Delete (Edit > Delete) เพื่อ ลบวัตถุที่ถูกเลือกอยู่ในขณะนั้นออกไป หรือจะใช้วิธีคลิกขวาที่วัตถุแล้วเลือกคำสั่ง Eraser ก็ได้เช่นกัน
Tips: เราสามารถใช้คีย์ Shift และ Ctrl ร่วมกับเครื่องมือ Eraser ซึ่งจะทำงานเฉพาะกับวัตถุที่เป็นเส้นเท่านั้น โดยการใช้งานเครื่องมือ Delete ร่วมกับคีย์ Shift จะเป็นการซ่อนเส้น การใช้ร่วมกับคีย์ Ctrl จะทำให้เส้นนั้นเรียบเนียน และถ้าใช้งานร่วมกับคีย์ Shift+Ctrl จะ ทำให้เส้นที่เรียบเนียนกลับมาเป็นเส้นปกติ (เฉพาะเส้นขอบของพื้นผิว)
หมายเหตุ: การใช้เครื่องมือ Eraser เพื่อลบวัตถุนั้นจะสามารถใช้ลบวัตถุได้เฉพาะเส้นกับวัตถุที่เป็น Group/Component เท่านั้น โดยการลบเส้นถ้าเป็นเส้นขอบของพื้นผิวจะทำให้พื้นผิวที่อยู่ภายในเส้นนั้นถูกลบไปด้วย แต่ถ้าเส้นนั้นเป็นเส้นตัดแบ่งพื้นผิวการลบ เส้นจะลบเฉพาะเส้นเท่านั้นซึ่งจะทำให้พื้นผิวที่ถูกตัดแบ่งนั้นกลายเป็นพื้นผิวเดียวกัน และถ้าต้องการลบเฉพาะพื้นผิวจะใช้วิธีการ คลิกขวาที่พื้นผิวแล้วเลือกคำสั่ง Eraser หรือจะใช้เครื่องมือ Select (Spacebar) คลิกเลือกที่พื้นผิวแล้วกดคีย์ Delete ก็ได้ (การลบ เฉพาะพื้นผิวเส้นที่อยู่รอบพื้นผิวจะยงคงอยู่)
การใช้งานเครื่องมือMove &Rotate
ย้ายวัตถุด้วยเครื่องมือMove
เครื่องมือ Move เป็นเครื่องมือสำหรับใช้เคลื่อนย้ายวัตถุไปยังตำแหน่งต่างๆ สามารถเรียกใช้งานได้จากไอคอน หรือ เรียกจากเมนู Tools > Move หรือกดคีย์ M การเคลื่อนย้ายวัตถุด้วยเครื่องมือ Move จะมีรูปแบบการทำงานด้วยกัน 2 รูปแบบดังนี้
1. ใช้เครื่องมือ Select เลือกวัตถุที่ต้องการ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือ Move เคลื่อนย้ายวัตถุไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
2. ใช้เครื่องมือ Move คลิกที่วัตถุแล้วย้ายไปยังตำแหน่งที่ต้องการ
วัตถุที่ถูกย้ายด้วยเครื่องมือ Move จะแตกต่างกันไปตามลักษณะของวัตถุที่ถูกเลือกเช่น ถ้าเคลื่อนย้ายพื้นผิว เส้นรอบนอก ของพื้นผิวจะถูกย้ายตามไปด้วย หรือถ้าเคลื่อนย้ายเส้นขอบของพื้นผิวเส้นเดียว พื้นผิวก็จะขยายหรือลดตามทิศทางที่เส้นถูกเคลื่อน ย้ายไปเป็นต้น
การหมุนวัตถุด้วยเครื่องมือMove
การใช้งานเครื่องมือ Move กับวัตถุที่เป็น Group/Component เมื่อเลื่อนเม้าส์ไปยังด้านใดๆของวัตถุจะปรากฎเครื่องหมาย + สีแดง และถ้าเลื่อนเม้าส์ไปที่เครื่องหมาย + เคอร์เซอร์จะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือ Rotate ชั่วคราวพร้อมกับแสดงรูปไม้โปรฯสีแดง ซึ่งถ้าเราคลิกเม้าส์ก็จะสามารถปรับหมุนวัตถุได้ทันที
Tips: การหมุนวัตถุด้วยเครื่องมือ Move สามารถที่จะกำหนดองศาที่ต้องการลงไปได้ โดยให้สังเกตที่ช่องกำหนดค่าของ Measurements จะเปลี่ยนเป็น Angle โดยค่าเป็นบวกจะทำให้วัตถุหมุนทวนเข็มนาฬิกา และถ้าค่าเป็นลบจะทำให้วัตถุหมุนตามเข็มนาฬิกา เช่น ถ้ากำหนดค่าลงไปเป็น 30 วัตถุจะหมุนทวนเข็มนาฬิกาไป 30 องศา หรือ -15 วัตถุจะหมุนตามเข็มนาฬิกาไป 15 องศาเป็นต้น
หมุนวัตถุด้วยเครื่องมือRotate
เครื่องมือ Ratate เป็นเครื่องมือสำหรับหมุนวัตถุ สามารถเรียกใช้งานได้จากไอคอน หรือเรียกจากเมนู Tools > Rotate หรือกดคีย์ Q การหมุนวัตถุด้วยเครื่องมือ Rotate จะมีรูปแบบการทำงานด้วยกัน 2 รูปแบบดังนี้
1. ใช้เครื่องมือ Select เลือกวัตถุที่ต้องการ จากนั้นจึงใช้เครื่องมือ Rotate ทำการปรับหมุนวัตถุ
2. ใช้เครื่องมือ Rotate คลิกที่วัตถุแล้วปรับหมุนไปยังทิศทางที่ต้องการ
การหมุนวัตถุด้วยเครื่องมือ Rotate จะใช้การคลิก 3 ครั้งด้วยกันโดยการคลิกครั้งที่ 1 เพื่อกำหนดตำแหน่ง (จุดศูนย์กลางของ องศา) คลิกครั้งที่ 2 เพื่อกำหนดทิศทางเริ่มต้น (ค่าขององศาเท่ากับ 0 ) แล้วปรับหมุนไปยังทิศทางที่ต้องการ และคลิกครั้งที่ 3 เพื่อกำ หนดตำแหน่งสุดท้ายให้กับการหมุนวัตถุ
คัดลอกวัตถุด้วยเครื่องมือMove และRotate
เครื่องมือ Move และ Rotate ยังมีความสามารถในการใช้คัดลอกวัตถุที่ต้องการได้โดยใช้งานร่วมกับการกดคีย์ Ctrl เพื่อคัด ลอกวัตถุที่ต้องการ สามารถคัดลอกวัตถุทีละชิ้นหรือหลายชิ้นก็ได้
การคัดลอกวัตถุทีละชิ้น
ขณะที่ใช้เครื่องมือ Move ย้ายวัตถุ หรือใช้เครื่องมือ Rotate หมุนวัตถุให้กดคีย์ Ctrl หนึ่งครั้งจะเป็นการคัดลอกวัตถุชิ้นนั้น ออกไป (เคอร์เซอร์ของเครื่องมือจะมีเครื่องหมาย + เพิ่มขึ้นมา) โดยขณะใช้เครื่องมือ Move เราจะได้วัตถุเพิ่มขึ้นและเลือกจัดวางใน ตำแหน่งที่ต้องการ และขณะที่ใช้เครื่องมือ Rotate จะได้วัตถุเพิ่มขึ้นและหมุนไปจัดวางในตำแหน่งที่ต้องการ
การคัดลอกวัตถุทีละหลายชิ้น
การคัดลอกวัตถุทีละหลายชิ้นจะมีอยู่ 2 ลักษณะด้วยกันคือ
1. การคัดลอกวัตถุแบบเพิ่มระยะ วัตถุที่ถูกคัดลอกจะเพิ่มออกไปในทิศทางที่กำหนดและมีระยะห่างของวัตถุที่เท่ากัน โดยหลังจาก คัดลอกวัตถุแบบปกติแล้วให้พิมพ์ค่าลงไปใน Measurements ด้วยเครื่องหมาย * และจำนวนที่ต้องการคัดลอก เช่น *5 เป็นต้น การคัดลอกในลักษณะนี้นำระยะห่างหรือองศาของวัตถุต้นแบบกับวัตถุที่ถูกคัดลอกออกไปชิ้นแรกเป็นตัวตั้งและคูณด้วยจำนวนที่ ต้องการ วัตถุจะถูกคัดลอกเพิ่มออกไปเป็นระยะตามระยะห่างของตัวตั้ง
2. การคัดลอกวัตถุแบบแบ่งระยะ วัตถุจะถูกคัดลอกภายในระยะห่างของวัตถุต้นแบบกับวัตถุที่ถูกคัดลอก โดยหลังจากคัดลอกวัตถุ โดยกำหนดทิศทางหรือองศาเสร็จแล้วให้พิมพ์ค่าลงไปใน Measurements ด้วยเครื่องหมาย / และจำนวนที่ต้องการคัดลอก เช่น /4 เป็นต้น การคัดลอกในลักษณะนี้จะนำระยะห่างของวัตถุต้นแบบกับวัตถุที่ถูกคัดลอกชิ้นแรกเป็นตัวตั้งและหารด้วยจำนวนที่ต้องการ วัตถุจะถูกคัดลอกเพิ่มเข้ามาระหว่างวัตถุต้นแบบกับวัตถุที่ถูกคัดลอกชิ้นแรกโดยแบ่งระยะห่างที่เท่ากัน
รู้จักกับAuto-Fold
Auto-Foldเป็นอีกหนึ่งความสามารถใน Google SketchUp เป็นลักษณะการหักมุมของพื้นผิวอัตโนมัติเมื่อมีการเคลื่อน ย้ายหรือปรับหมุนวัตถุโดยที่วัตถุนั้นจะต้องไม่เป็น Group/Component ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราวาดรูปสี่เหลี่ยมขึ้นมา 1 รูปแล้วใช้ เครื่องมือ Line ลากเส้นแบ่งวัตถุนั้นออกเป็น 2 ส่วน จากนั้นใช้เครื่องมือ Move คลิกที่เส้นแบ่งแล้วดึงขึ้นไปด้านบนตามแกน z จะเห็น ว่าเส้นจะถูกดึงขึ้นไปด้านบนพร้อมกับพื้นผิวที่ถูกตัดแบ่งนั้นจะถูกหักมุมโดยอัตโนมัติเป็นต้น
ในบางครั้งเราอาจจะไม่สามารถทำ Auto-Fold ได้เนื่องจากความสามารถของ Inference บนพื้นระนาบที่จะทำให้การ เคลื่อนย้ายวัตถุบนพื้นผิวจะไปตามแนวระนาบของพื้นผิวนั้น (จะเกิดขึ้นกับการวาดรูปทรงภายในพื้นผิวและใช้เครื่องมือ Move เพื่อ เคลื่อนย้ายวัตถุ) เราจะแก้ปัญหาโดยการกดคีย์ Alt หรือคีย์ลูกศรช่วย โดยในขณะที่ใช้เครื่องมือ Move คลิกลากวัตถุให้กดคีย์ Alt หรือ คีย์ลูกศรหนึ่งครั้ง เคอร์เซอร์ของเครื่องมือ Move จะเปลี่ยนเป็น ก็จะสามารถดึงวัตถุเพื่อทำ Auto-Fold ได้
หมายเหตุ: การกดคีย์ลูกศรเพื่อทำ Auto-Fold การกดคีย์จะขึ้นอยู่กับว่าวัตถุที่ต้องการทำ Auto-Fold นั้นอยู่ในทิศทางใดเช่น ถ้าวัตถุ อยู่ที่ด้านบนเราจะใช้การกดคีย์ลูกศรขึ้น หรือถ้าวัตถุอยู่ด้านข้างเราจะใช้การกดคีย์ลูกศรซ้ายหรือขวาเป็นต้น
Tips: การทำ Auto-Fold กับรูปทรงที่ขึ้นจากเครื่องมือ Circle หรือ Polygon ในขณะที่ใช้เครื่องมือ Move ให้เลื่อนเม้าส์ไปที่เส้นขอบ ของรูปในตำแหน่ง Endpoint โดยเส้นขอบจะต้องไม่ถูกไฮไลท์แล้วจึงคลิกเม้าส์เพื่อทำ Auto-Fold
การใช้งานเครื่องมือFollowMe
Follow Me เป็นเครื่องมือสำหรับปรับแต่งโมเดล และใช้ขึ้นรูปทรงต่างๆได้ สามารถเรียกใช้งานได้จากไอคอน หรือเรียก จากเมนู Tools > Follow Me การใช้งานเครื่องมือ Follow Me บนวัตถุจะมีลักษณะคล้ายๆกับการใช้เครื่องมือ Push/Pull จะแตกต่าง กันตรงที่เครื่องมือ Follow Me นั้นจะวิ่งไปตามเส้นขอบของวัตถุตามทิศทางที่กำหนด
การลบมุมของวัตถุให้โค้งมน
ตัวอย่างนี้จะเป็นเทคนิคง่ายๆในการใช้เครื่องมือ Follow Me และ Arc ทำการลบมุมของรูปทรงสี่เหลี่ยมด้านบนให้โค้งมน โดยมีขั้นตอนดังนี้
1. สร้างรูปทรงสี่เหลี่ยมขึ้นมาหนึ่งรูป แล้วใช้เครื่องมือ Arc (A) สร้างเส้นโค้งที่มุมด้าน บนของรูปทรงสี่เหลี่ยม
2. ใช้เครื่องมือ Follow Me คลิก 1 ครั้งที่พื้นผิวตรงมุมด้านบนแล้วลากเม้าส์ไปรอบๆตามขอบจนมาบรรจบกันแล้วให้คลิกเม้าส์อีกครั้ง จะเห็นว่ามุมด้านบนของวัตถุจะหายไปและมีความโค้งมนตามที่เรากำหนดต้นแบบไว้ในข้อ 1
3. กดคีย์ Ctrl+Z เพื่อย้อนกลับการทำงานไปก่อนหน้านี้ จากนั้นให้ใช้เครื่องมือ Select (Spacebar) เลือกเส้นขอบด้านบนทั้ง 4 เส้น
4. เลือกเครื่องมือ Follow Me เคอร์เซอร์ของเครื่องมือจะเปลี่ยนเป็นรูปเครื่องมือ Push/Pull (ตรงนี้น่าจะเป็นบั๊กของโปรแกรม เพราะ ในเวอร์ชันก่อนๆจะไม่เปลี่ยน) แล้วคลิกที่พื้นผิวตรงมุมด้านบนของรูปทรงสี่เหลี่ยม ทันทีที่คลิกมุมของวัตถุจะถูกลบออกไปทันที
5. ต่อไปให้สร้างรูปดังตัวอย่างที่มุมด้านล่างของพื้นผิวโดยสร้างไว้ที่ด้านนอก แล้วลบเส้นขอบด้านบนและด้านขวาออกไป เราจะใช้ ภาพที่สร้างขึ้นนี้เป็นต้นแบบสำหรับทำฐานของรูปทรงสี่เหลี่ยม
6. ใช้เครื่องมือ Select คลิกเลือกที่พื้นผิวด้านล่างแล้วใช้เครื่องมือ Follow Me คลิกที่รูปต้นแบบที่สร้างขึ้นเราก็จะได้ฐานของรูปทรง สี่เหลี่ยมตามต้นแบบที่สร้างขึ้น
หมายเหตุ: รูปที่ใช้เป็นต้นแบบในการทำงานกับเครื่องมือ Follow Me ในโปรแกรม Google SketchUp จะถูกเรียกว่าโปรไฟล์ (Profile)
การขึ้นรูปทรงกลมและรูปทรงครึ่งวงกลม
ในโปรแกรม Google SketchUp จะไม่มีเครื่องมือสำเร็จรูปในการขึ้นรูปทรงต่างๆเหมือนในโปรแกรม 3D ทั่วไป ดังนั้นการขึ้น รูปทรงกลม (Sphere) และรูปทรงครึ่งวงกลมจะใช้ความสามารถของเครื่องมือ Follow Me ในการขึ้นรูปทรง
การขึ้นรูปทรงกลม
1. ปรับมุมมองของพื้นที่ทำงานไปเป็นมุมมองด้านหน้าแล้วสร้างรูปวงกลมในแนวตั้งด้วยเครื่องมือ Circle (C)
2. ปรับมุมมองไปเป็นแบบ Iso แล้วสร้างรูปวงกลมในแนวระนาบของแกน x และแกน y ต่ำลงไปจากวงกลมรูปแรกพอประมาณ
3. ใช้เครื่องมือ Select (Spacebar) คลิกที่เส้นรอบนอกของรูปวงกลมด้านล่าง
4. ใช้เครื่องมือ Follow Me คลิกที่พื้นผิวของรูปวงกลมรูปบน เราก็จะได้รูปทรงกลมตามต้องการ
หมายเหตุ: ในกรณีที่ขึ้นรูปทรงกลมแล้วพื้นผิวด้านหน้าด้านหลังเกิดสลับด้านกันก็ให้คลิกเม้าส์ขวาที่รูปทรงกลมแล้วเลือกคำสั่ง Reverse Faces จะเป็นการสลับด้านของพื้นผิว
การขึ้นรูปทรงครึ่งวงกลม
1. จากขั้นตอนการขึ้นรูปวงกลมในขั้นตอนที่ 2 เราจะใช้วิธีแบ่งครึ่งรูป วงกลมรูปใหญ่ออกเป็น 1/2 หรือ 1/4 ส่วนก็ได้โดยใช้เครื่องมือ Line (L) ในการแบ่งส่วน
2. ใช้เครื่องมือ Select เลือกพื้นผิวของรูปวงกลมด้านล่างแล้วใช้ เครื่องมือ Follow Me คลิกที่รูปโปรไฟล์ด้านบนเราก็จะได้รูปทรงครึ่ง วงกลมตามต้องการ
หมายเหตุ: การคลิกเลือกที่เส้นรอบพื้นผิวกับการคลิกเลือกที่พื้นผิว แล้วใช้เครื่องมือ Follow Me คลิกที่รูปโปรไฟล์จะให้ผลลัพธ์ที่เหมือน กัน ยกเว้นการคลิกเลือกเฉพาะเส้นที่ต้องการโดยเส้นที่ถูกเลือกจะ ต้องเป็นเส้นที่เชื่อมต่อกัน
การขึ้นรูปทรงด้วยเครื่องมือFollowMeตามเส้นPath
เครื่องมือ Follow Me นอกจากจะขึ้นรูปทรงตามเส้นรอบพื้นผิวแล้วยังสามารถที่จะใช้ได้กับเส้นเดี่ยวๆที่ไม่มีพื้นผิวได้อีกด้วย วิธีนี้จะเรียกเส้นเหล่านนี้ว่าเส้น Path โดยจะใช้เป็นเส้นนำทางให้กับโปรไฟล์ในการขึ้นรูปทรง
สร้างสปริงจากเส้นPatch
1. วาดรูปครึ่งวงกลมขึ้นมา 1 รูป แล้วกดคีย์ Ctrl+A เพื่อเลือกวัตถุทั้งหมด
2. ใช้เครื่องมือ Rotate ปรับมุมมองและเลื่อนเม้าส์จนรูปไม้โปรฯเปลี่ยนเป็นสีเขียว กดคีย์ Shift ค้างไว้เพื่อล็อคทิศทางแล้วคลิกเม้าส์ที่ มุมด้านซ้ายของรูปครึ่งวงกลม จากนั้นปรับหมุนวัตถุให้เอียงขึ้นไป 10 องศา
3. ใช้เครื่องมือ Move คัดลอกรูปครึ่งวงกลมเพิ่มขึ้นมาอีก 1 รูป
4. คลิกขวาที่รูปครึ่งวงกลมรูปใหม่แล้วใช้คำสั่ง Flip Along > Green Direction แล้วตามด้วยคำสั่ง Flip Along > Red Direction
5. ใช้เครื่องมือ Move คลิกที่มุมด้านขวาของรูปครึ่งวงกลมรูปใหม่แล้วลากขึ้นไปชนกับมุมด้านขวาบนของรูปครึ่งวงกลมรูปเดิม
6. ใช้เครื่องมือ Eraser ลบเส้นตรงของรูปวงกลมทั้งสองรูปทิ้งไป
7. เลือกเส้นทั้งสองเส้นแล้วใช้เครื่องมือ Move คลิกที่ปลายเส้นด้านล่างแล้วคัดลอกขึ้นไปชนกับปลายเส้นด้านบน พิมพ์ค่า *4 เพื่อคัด ลอกเส้นเพิ่มขึ้นไปอีก 4 ชุด
8. ใช้เครื่องมือ Circle สร้างรูปวงกลมที่ปลายเส้นด้านล่าง
9. ใช้เครื่องมือ Select เลือกเส้น Path ทั้งหมดแล้วใช้เครื่องมือ Follow Me คลิกที่รูปวงกลมด้านล่าง เพียงเท่านี้เราก็จะได้รูปทรงสปริง ที่เกิดจากการใช้เครื่องมือ Follow Me ขึ้นรูปทรงตามเส้น Path
เครื่องมือTapeMeasure และ Protractor
การใช้งานเครื่องมือTapeMeasure
เครื่องมือ Tape Measure เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับวัดระยะ และสร้างเส้นไกด์ อีกทั้งยังสามารถใช้ในการปรับเปลี่ยนขนาด ของวัตถุได้ด้วย สามารถเรียกใช้งานได้จากไอคอน หรือเรียกจากเมนู Tools > Tape Measure หรือกดคีย์ T
การสร้างเส้นGuide
การใช้เครื่องมือ Tape Measure สร้างเส้นไกด์จะใช้วิธีคลิกที่เส้นซึ่งจะใช้เป็น ตำแหน่งเริ่มต้นเพื่อใช้กำหนดระยะห่าง จากนั้นลากเม้าส์ออกไปจนได้ระยะที่ต้องการแล้ว คลิกเม้าส์ โดยเส้นไกด์จะวางอยู่ในแนวขนานกับเส้นที่ลากออกมาเสมอ
Tip: เราสามารถใช้เครื่องมือ Tape Measure ดับเบิลคลิกที่เส้นเพื่อสร้างเส้นไกด์ในแนว ของเส้นนั้น
หมายเหตุ: การใช้เครื่องมือ Tape Measure คลิกตำแหน่งเริ่มต้นในตำแหน่งปลายเส้น หรือจุดเชื่อมต่อของเส้น จะเป็นการสร้างเส้นไกด์จากตำแหน่งนั้นยาวไปในทิศทางต่างๆ
การวัดระยะ
หลังจากที่คลิกเลือกเครื่องมือ Tape Measure ให้สังเกตว่าที่เคอร์เซอร์ของเครื่องมือจะมีเครื่องหมาย + อยู่ด้วยซึ่งเครื่องมือ จะพร้อมสำหรับการสร้างเส้นไกด์ แต่ถ้าเราต้องการที่จะทำการวัดระยะเราจะใช้วิธีการกดคีย์ Ctrl หนึ่งครั้งเครื่องหมาย + ที่เคอร์เซอร์ ของเครื่องมือจะหายไป (การกดคีย์ Ctrl จะเป็นการสลับระหว่างการวัดระยะกับการสร้างเส้นไกด์)
การใช้TapeMeasureปรับขนาดของวัตถุ
การปรับขนาดวัตถุจะใช้วิธีคลิกจุดเริ่มต้นที่เป็นจุดปลายหรือจุดเชื่อมต่อของเส้นหนึ่งครั้งแล้วลากเม้าส์ไปคลิกยังจุดปลาย หรือจุดเชื่อมต่อของเส้นที่ต้องการ จากนั้นพิมพ์ขนาดที่ต้องการลงไปใน Measurements แล้วเคาะ Enter จะมี Dialog ขึ้นมาแจ้ง ยืนยันการปรับขนาด ถ้าต้องการปรับขนาดให้คลิกปุ่ม Yes และถ้าไม่ต้องการให้คลิกปุ่ม No
จากภาพตัวอย่างเราจะคลิกจากมุมของประตูด้านหนึ่งมายังอีกด้านหนึ่งซึ่งมีความกว้างอยู่ที่ 0.8723 เมตร (ภาพซ้าย) จาก นั้นเมื่อพิมพ์ค่าลงไปเป็น 1 เมตรแล้วเคาะ Enter จะพบกับ Dialog ยืนยัน คลิกปุ่ม Yes (ภาพกลาง) จะเห็นว่าหลังจากคลิกปุ่ม Yes แล้วความกว้างของประตูจะเปลี่ยนไปเป็น 1 เมตรตามที่เรากำหนด (ภาพขวา) วิธีนี้จะทำให้วัตถุทั้งหมดในพื้นที่ทำงานถูกปรับขนาด ตามไปด้วย และถ้าต้องการปรับขนาดเฉพาะประตูโดยไม่ให้ขนาดของบ้านเปลี่ยนไปจำเป็นที่จะต้องทำประตูให้เป็น Group หรือ Component แล้วเข้าไปในโหมดแก้ไข Group/Component แล้วจึงทำการปรับขนาด