ความเป็นมาท้องคุ้งเพิ่มโอกาสทางการศึกษา
ความเป็นมา
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มีจุดมุ่งหมายให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และให้คนไทยได้รับโอกาสทางการศึกษาที่เท่าเทียมกันอย่างมีคุณภาพต่อเนื่อง กำหนดให้สถานศึกษาสามารถจัดการศึกษาได้สามรูปแบบคือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การฝึกอาชีพหรือประสบการณ์การทำงาน การเทียบโอนผลการเรียนจึงเป็นกลไกสำคัญในการเชื่อมโยงการศึกษาทั้งสามรูปแบบให้เลื่อนไหลไปมาได้อย่างเป็นระบบ โดยผู้เรียนสามารถเปลี่ยนรูปแบบการศึกษาหรือย้ายสถานศึกษา เพื่อให้มีโอกาสได้เลือกเรียนตามหลักสูตรและรูปแบบการศึกษาที่เหมาะสมกับความถนัดและความสนใจและความสามารถที่แท้จริงของตนเอง และ มาตรา 27 กำหนดให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำสาระของหลักสูตรตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตรแกนกลาง ในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพชุมชน และสังคม รวมทั้งเปิดโอกาสให้เทียบโอนผลการเรียนระหว่างรูปแบบการจัดการศึกษา ซึ่งมีแนวการจัดการศึกษาและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน สามารถเทียบโอนกันได้
ปัจจุบัน โรงเรียนวัดท้องคุ้ง “ไพโรจน์ประชาสรรค์” จัดการศึกษาในระบบ ประเภทขยายโอกาสทางการศึกษา เปิดสอนตั้งแต่ชั้นปฐมวัย ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ตั้งอยู่เลขที่ 9/3 หมู่ 2 ตำบลนาป่า อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี สภาพชุมชนรอบบริเวณโรงเรียน มีลักษณะติดต่อกับนิคมอุตสาหกรรมบางปะกงเฟส 2 และนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ทำให้มีประชากรจากภาคอื่นเดินทางมาแสวงหางานทำจำนวนมาก ในเขตพื้นที่มีหมู่บ้านจัดสรร และบ้านเช่ามากมาย ผู้ปกครองจำนวนมากไม่มีทะเบียนบ้านแน่นอนเนื่องจากไม่แจ้งการย้าย และย้ายถิ่นบ่อย มีประชากรประมาณ 28,862 คน สถานที่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบโรงเรียนได้แก่ ตลาด หมู่บ้านจัดสรร บ้านเช่า ห้องแถวให้เช่า รวมทั้ง ร้านค้าต่างๆ ผู้ปกครองประมาณร้อยละ 90 มีอาชีพรับจ้างในโรงงาน และ ประมาณร้อยละ 10 มีอาชีพค้าขายเล็กๆน้อยๆ เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นมาหางานทำ มีรายได้เฉลี่ย 5,000 บาทต่อเดือน และจากการสำรวจระดับการศึกษาของประชาชนในตำบลนาป่าปีการศึกษา 2554 พบว่า มีผู้ที่ไม่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 152 คน ในจำนวนนี้เป็นนักเรียนที่ออกกลางคันร้อยละ 98 สืบเนื่องมาจากสาเหตุปัญหาต่างๆ เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาชู้สาว ปัญหาครอบครัว ฯลฯ นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 1 พบว่ามีเด็กออกกลางคันเป็นจำนวนมาก จากสภาพปัญหาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในแต่ละปีจะมีนักเรียนส่วนหนึ่งที่ไม่จบการศึกษา ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปจะพบว่ามีนักเรียนส่วนหนึ่งที่ไม่จบการศึกษาสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะส่งผลตามมาหลายๆด้าน เช่น ปัญหาสังคม การเพิ่มอัตราการว่างงาน แรงงานด้อยคุณภาพ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการลักขโมย เป็นต้น ที่จะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย อีกทั้งจำนวนผู้เรียนที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับมากเท่าไร รัฐย่อมสูญเสียงบประมาณและเกิดความสูญเปล่าทางการศึกษา เนื่องจากต้องเสียเวลา เสียค่าใช่จ่ายที่เกิดจากการจัดการเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ ในขณะที่ผลลัพธ์ และผลผลิตที่ได้ไม่คุ้มค่าทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
จากปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการฝ่ายบริหารโรงเรียน จึงมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือนักเรียนที่ตกหล่นจากการศึกษาในระบบ เช่น นักเรียนจบไม่พร้อมรุ่น นักเรียนที่ออกกลางคัน และมีปัญหาต่าง ๆ ทั้งทางด้านพฤติกรรมนักเรียน ปัญหากับระบบการศึกษา ปัญหาที่เกิดจากครูผู้สอน ปัญหาจากการประเมินผล ปัญหาจากผู้ปกครอง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้ผู้เรียนต้องพลาดโอกาสจากการศึกษาในระบบ จึงจำเป็นปรับการใช้หลักสูตรสถานศึกษา เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวข้างต้น และรองรับสิทธิและโอกาสให้นักเรียนได้รับการศึกษา มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 อย่างสอดคล้องกับกลยุทธ์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลัก 3 ประการ ดังนี้
1.1 หลักการปฏิรูปการศึกษา โดยการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ลักษณะการจัดการเรียนการสอน เน้นการจัดการเรียนการสอนนอกเวลาราชการโดยใช้วันเสาร์เป็นเวลาสอบ , สอนเสริม เป็นการผสมผสานการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย โดยใช้หลักสูตรสถานศึกษาตามปกติ
1.2 หลักความยืดหยุ่น โดยอาศัย มาตรา ๑๕ (๒) และ(๓) การศึกษานอกระบบ ยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมายรูปแบบ, วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาของการศึกษา การวัดและการประเมินผล ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา การศึกษาตามอัธยาศัยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสนใจ ศักยภาพความพร้อม และโอกาสโดยศึกษาจากบุคคล ประสบการณ์สังคมสภาพแวดล้อม สื่อหรือแหล่งความรู้อื่นๆ
1.3 หลักกฎหมาย สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545
มาตรา 39 โรงเรียนเป็นนิติบุคคล โดยกระจายอำนาจให้สถานศึกษาจัดการศึกษา
มาตรา 4 วรรคสาม “การศึกษาตลอดชีวิต” หมายความว่า การศึกษาที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างตลอดชีวิต
มาตรา 15 การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยสถานศึกษาอาจจัดการศึกษาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือทั้ง 3 รูปแบบก็ได้
ทางโรงเรียน จึงได้จัดทำโครงการ 3 ระบบทางเลือกเพื่อการศึกษา โดยมีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานร่วมกันพิจารณาถึงแนวทางในการดำเนินการที่เหมาะสมที่สุด โดยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการดำเนินการอย่างเป็นระบบ