📣ข่าวประชาสัมพันธ์📣
📣ข่าวประชาสัมพันธ์📣
ยังไม่นับรวมอยู่ใน 10 หน้า ควรมี ชื่อ - นามสกุล, โรงเรียน, สาขา คณะ มหาวิทยาลัยที่สมัคร และใช้รูปภาพตัวเองในชุดนักเรียน
เขียนบอกหัวข้อของเนื้อเรื่องใน Portfolio ว่ามีอะไร อยู่หน้าไหนบ้าง?
เขียนเรียงความบอกเป้าหมาย แรงบันดาลใจของเรา ให้กรรมการอ่านแล้วรับรู้ว่า ทำไมเราถึงอยากเรียนที่นี่ มีความตั้งใจ และเหมาะสมกับสาขานั้นๆ มากแค่ไหน
เขียนข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา เช่น ชื่อ - นามสกุล อายุ วัน/เดือน/ปี เกิด ที่อยู่ เป็นต้น
เขียนรายเอียดการศึกษา ว่าปัจจุบันเรียนอยู่ที่ไหน เคยเรียนที่ไหนมาบ้าง? และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือควรใส่เกรดเฉลี่ยรวม GPAX ในระดับม.ปลาย 4 หรือ 5 เทอม
รวมรวมผลงาน การแข่งขัน เกิยรติบัตร ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะทำมาเยอะหรือน้อยแค่ไหน ก็ไม่ควรรวบมาใส่ทั้งหมด แต่ควรเลือกผลงานที่โดดเด่น เกี่ยวข้องกับสาขาที่สมัคร และเป็นผลงานที่ไม่นานเกินไปตั้งแต่สมัยอนุบาล ไม่ควรนานเกินระดับมัธยม 3 - 4 ปี
อาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่ได้รางวัล แต่เป็นสิ่งที่เสริมสร้างประสบการณ์ และความรู้ที่เกี่ยวข้องกับคณะที่สมัคร เช่น การเข้าค่าย อบรม จิตอาสา ทำงานพิเศษ รวมถึงงานอดิเรกที่ชอบทำ และเชื่อมโยงกับคณะนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่แค่ใส่รูปภาพ แต่ควรมีคำบรรยาย อธิบายสั้นๆ ว่าสิ่งนั้นๆ คืออะไร และได้เรียนรู้และประโยชน์อะไรจากการทำสิ่งนี้
ข้อมูลตรงประเด็น เนื้อหากระชับ ได้ใจความ
จัดเรียงเนื้อหาให้เป็นสัดส่วน มีหัวข้อชัดเจน เนื้อหาไม่ปะปนกัน
ฟอนต์และสีของอักษรอ่านง่าย ชัดเจน ให้ความสำคัญกับความชัดเจนมากกว่าความสวยงาม
ไม่ควรมีคำผิด! ตรวจสอบความถูกต้องหลายๆ ครั้ง เพื่อให้กรรมการเห็นถึงความตั้งใจ ไม่พลาด
Portfolio ควรมีรูปแบบและเนื้อหาสอดคล้องกับคณะที่สมัคร ถ้ายื่นหลายคณะ หลายมหาวิทยาลัย ก็ควรทำหลายๆ เล่ม ถ้าเปลี่ยนสี หรือธีมตามสีของมหาวิทยาลัยก็จะดูพิเศษมากขึ้น
มีความคิดสร้างสรรค์ และเป็นตัวของตัวเอง
หน้าที่ของแต่ละคนสำคัญมากในการทำงานให้สำเร็จ การเลือกคนที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ จึงเป็นสิ่งที่ต้องเคลียร์ให้ชัดเจนก่อนเริ่มงาน หากเป็นไปได้เมื่อได้รับโจทย์แล้วอาจมีการประชุมครั้งแรก เพื่อกำหนดขอบเขตของแต่ละหน้าที่ ควรแบ่งหน้าที่ให้เพื่อนในกลุ่มตามความเหมาะสมและความถนัด เช่น เพื่อนคนนี้ถนัดงานที่ครีเอตก็จัดให้รับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับงานออกแบบ การทำแบบนี้จะช่วยให้แต่ละคนโฟกัสกับงานที่ตัวเองต้องทำได้อย่างถูกจุด ที่สำคัญเวลาแบ่งงานควรแบ่งตอนอยู่กันครบทุกคนจะได้รู้ว่าใครมีหน้าที่อะไรในงานชิ้นนี้บ้าง และการแบ่งหน้าที่ต้องมีความเท่าเทียมด้วย
หลังจากได้รับโจทย์ของงาน และรู้วันที่กำหนดส่งมาแล้ว สิ่งที่สำคัญอีกอย่างนอกจากการแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม ก็คือ กำหนดเป้าหมายเดดไลน์ของแต่ละหน้าที่ให้ชัดเจนว่า งานของใครต้องเสร็จวันไหน ยิ่งถ้าเป็นงานที่ต้องมีการรับไม้ต่อ เช่น ทีมออกแบบกราฟิก ต้องส่งงานต่อให้ทีมตัดต่อ ก็ควรกำหนดไปเลยว่าต้องเสร็จภายในวันไหน เพื่อให้อีกทีมได้ดำเนินงานต่อ และอย่างน้อยงานทั้งหมดควรเสร็จล่วงหน้าสัก 2-3 วัน เพื่อที่จะได้มีเวลาตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนส่งว่ามีจุดไหนที่อยากเพิ่มเติม หรือต้องแก้ไขไหม ถ้าเสร็จวันที่กำหนดส่งเลยหากมีจุดผิดพลาดที่ต้องแก้ไขอาจทำให้ส่งงานไม่ทันได้ เดี๋ยวจะโดนหักคะแนนเอา!
เมื่อทุกคนเริ่มทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมนัดเพื่อน ๆ ในกลุ่ม มา follow up กันว่า แต่ละคนทำงานไปถึงไหนแล้ว เพื่อดูความคืบหน้าของงาน หรือมีใครติดปัญหาอะไรจะได้ช่วยกันคิดหาทางออก เพื่อให้งานออกมาสำเร็จตามที่ต้องการ ไม่ควรมีใครต้องทำงานกลุ่มเพียงลำพัง การอัปเดตสถานะของงานร่วมกันก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้งานนั้นดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้สะดวกยิ่งขึ้น ยิ่งถ้างานนั้นเป็นงานที่ต้องทำระยะยาว เช่น ทั้งเดือน หรือทั้งเทอม ก็ยิ่งต้องมีการอัปเดตและติดตามงานกันอยู่เสมอ
วิธีการทำงานเป็นกลุ่มที่ดีอย่างยั่งยืน คือ การรับฟังความคิดเห็นของคนในกลุ่มทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะการรับฟังคำแนะนำเกี่ยวกับงานที่แต่ละคนเป็นคนรับผิดชอบ น้องๆ อาจจะให้ Feedback หรือคำแนะนำเพื่อนในกลุ่มเป็นรายคนกันในวันที่อัปเดตงาน เพื่อที่จะได้นำคำแนะนำเหล่านั้นไปวิเคราะห์ ปรับปรุง และพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น
เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ก็อย่าลืมจัดประเมินการทำงานของแต่ละคน อาจทำ Google Form ให้เพื่อนๆ ช่วยกันประเมินคะแนนในการทำงานของแต่ละคน โดยไม่ต้องแสดงตัวตน เพื่อที่จะได้รู้ข้อดีและข้อควรปรับปรุงของตนเอง ทำให้การทำงานกลุ่มครั้งต่อไปราบรื่นขึ้น
ถ้าต้องเจอกับเพื่อนที่ไม่ช่วยงาน ไม่สนใจอะไรเลย ถึงขั้นที่เราพูดจนไม่รู้จะพูดยังไง หรือยื่นข้อเสนอต่างๆ นานา ไปแล้ว แต่เพื่อนคนนั้นก็ยังเพิกเฉย ละเลย ไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด จนมีผลกระทบกับงานกลุ่ม ถ้าเราและเพื่อนคนอื่นๆ จัดการไม่ได้จริงๆ ก็คงถึงเวลาที่เราจะต้องยืมมืออาจารย์ประจำวิชามาช่วยจัดการแล้วล่ะค่ะ การให้อาจารย์เป็นคนเตือนเพื่อนคนนั้นอาจทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมาบ้าง เพราะอาจารย์น่าจะมีวิธีการที่พูดได้ดีกว่าเรา ที่สำคัญ ถ้าเพื่อนคนนั้นรู้ว่าเรื่องที่เขาไม่ยอมช่วยงานไปถึงหูอาจารย์ประจำวิชาแล้วล่ะก็เขาจะต้องกระตือรือร้นขึ้นมาบ้างแหละค่ะ