อาณาจักรศรีวิชัย
อาณาจักรศรีวิชัย
(พุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘)
เมื่ออาณาจักรฟูนันล่มสลายลงในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ นั้น ดินแดนทางแหลมทองได้เกิด
การตั้งอาณาจักรศรีวิชัย (จีนเรียก ชิลิโฟชิ หรือ คันโทลี หรือโคยิง) ขึ้นภายใต้การนำ
ของราชวงศ์ ไศเลนทร์ มีอาณาเขตครอบคลุมแหลมมลายู เกาะชวา เกาะสุมาตรา
ช่องแคบมะละกา ช่องแคบซุนดา และบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย ทำให้อาณาจักรศรีวิชัย
สามารถควบคุมเส้นทางค้าขายระหว่างจีนกับอินเดียรวมทั้งอาหรับ เปอร์เซีย และยุโรปได้
อาณาจักรศรีวิชัยนี้มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองปาเล็มบังในเกาะสุมาตราของ อินโดนีเซีย
ขึ้นมาถึงบริเวณแหลมโพธิ์ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมืองท่า
(ตามพรลิงค์หรือตำพะลิงค์)ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการพบศิลาจารึกภาษามาเลย์เกี่ยวกับ
อาณาจักรศรีวิชัยนี้ที่วัดเสมาเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วน เมืองครหิ ในสมัยศรีวิชัยนั้น
เป็นเมืองท่าค้าพริก ดีปลีและพริกไทยเม็ด โดยมีต้นหมากต้นมะพร้าวอยู่มาก แต่ก็ยังมี
ความเชื่ออยู่ว่าเมืองครหินั้นไม่น่าจะใช่เมืองไชยา กล่าวคือ ในหนังสือจู ฝาน จีน
ของจีนเจา จู เกวาะ ได้ระบุชื่อเมืองต่างๆที่ขึ้นแก่อาณาจักรซัมฮุดซี หรือชาวกะ มีชื่อ
เมืองเกียโลหิ ซึ่งยุติชื่อว่าเป็นเมืองครหิ ตรงกับคำที่จารึก(ภาษาเขมร)ครหิที่อยู่บนฐาน
พระพุทธรูปนาคปรกสำริดองค์ใหญ่ ซึ่งพบอยู่ใกล้วัดเวียง เมืองไชยา ซึ่งเป็นสถานที่
แห่งเดียวที่สุมาตราที่สั่งขึ้นมาให้อำมาตย์คลาไน ผู้ครองเมืองครหิจัดการหล่อขึ้น
เมื่อพ.ศ.๑๗๒๖ ตรงกับมหาศักราช ๑๑๐๕ จึงมีข้อถกเถียงถึงว่า ครหิ นั้นเป็นการแสดง
อำนาจทางเขมรหรือเกาะสุมาตรา ซึ่งน่าจะเป็น ครหิ ที่เกิดขึ้นหลังจาก
อาณาจักรศรีวิชัยล่มสลายลงแล้วหรือไปขึ้นอยู่กับเมืองตามพรลิงค์ในพ.ศ.๑๗๐๐
ดังนั้นเมืองไชยานั้นคงจะไม่ใช่เมืองครหิและน่าจะเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัย
เสียมากกว่าเมืองปาเล็มบัง เมืองไชยานั้น ได้มีการสร้างเจดีย์แบบมหายาน ให้องค์เจดีย์
เป็นรูปสีขระ แปลว่า แบบภูเขา คือเจดีย์ที่มียอดจำนวนมาก ตามคติให้มีพระพุทธเจ้า
หลายพระองค์ เช่น พระพุทธเจ้าพุทธะ พระมัญชุศรี พุทธะ พระญาณิพุทธะ เป็นต้น
ซึ่งตรงกับเรื่องราวที่ว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัยให้สร้างไอษฎิเคหะ คือ เรือนอิฐหรือ
ปราสาทอิฐขึ้น ๓ หลัง สำหรับประดิษฐานพระปฏิมาของ ปัทมปาณี วัชรปาณี และ
มารวิชัย ในพื้นที่เมืองไชยาแห่งนี้ พบว่านอกจากจะสร้างเจดีย์ที่พระบรมธาตุแห่งนี้
แล้วยังมี เจดีย์ที่วัดแก้ว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแต่ชำรุด และเจดีย์ที่วัดหลง เดิมนั้น
เหลือแต่ฐานที่อิฐที่มีลักษณะเดียวกัน พระบรมธาตุไชยาองค์ปัจจุบันนี้ได้รับ
การบูรณะใหม่ เดิมนั้นเป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนอุโมงค์ที่บรรจุหีบศิลาใบใหญ่ใส่พระบรมธาตุ
และสิ่งของต่างๆ เดิมที่พื้นมีรูระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒ ซม ๒ แห่ง
ต่อมาได้อุดเสีย ต่อมาแม่น้ำพาเอาดินมาถมบริเวณหมู่บ้านเวียงสูงประมาณ ๓ เมตรหรือ
๖ ศอก ส่วนพระเจดีย์นี้จมลงไปในดินประมาณเมตรครึ่ง ต้องขุดแต่งกัน เมืองครหิแห่งนี้
หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยหมดอำนาจลงก็ถูกทิ้งร้างมาจนถึงสมัยอยุธยา พุทธศาสนาจึงได้
ฟื้นฟูขึ้นโดยมีการสร้างพระพุทธรูปศิลาทึบขนาดใหญ่จากหินที่เขานางเอ อยู่หลังสวนโมกข์
มีอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ องค์ สำหรับคำว่า ไชยา นั้นน่าจะนำมาจากคำว่า ศรีวิชัย
ซึ่งขุดพบศิลาจารึกพ.ศ.๑๓๑๘ ที่ระบุชื่อ พระยาศรีวิชัยนั้นว่า ศรีวิชเยนทรราชา,
ศรีวิชเยศวรภูบดี และศรีวิชยนฤบดี ที่หมายถึง พระเจ้าแผ่นดินเมืองศรีวิชัย
นั่นหมายถึงศุนย์กลางอำนาจของพวกไศเรนทร(ราชาแห่งจอมเขา)อยู่ที่บริเวณเมืองไชยา
ซึ่งเหมาะสมที่จะติดต่อกับอินเดียโดยเฉพาะที่เบ็งคอล และเป็นเหตุให้
พระอวโลติเกศวรโพธิสัตว์ที่เป็นฝีมือของช่างแบบปาละแท้เดินทางมาประดิษฐานที่
เมืองไชยาได้ โดยเฉพาะการติดต่อมหาวิทยาลัยนาลันทาซึ่งเป็น
มหาวิทยาลัยพุทธศาสนามหายานในเบ็งคอล จนมีความปรากฏในจารึกแผ่นทองแดง
พบที่นาลันทาเมื่อพ.ส.๑๓๙๒ ว่า ด้วยการที่ไศเรนทรอุปถัมภ์มหาวิทยาลัยแห่งนั้นไปจาก
ไชยา ในบริเวณเมืองไชยานั้นมีเขาน้ำร้อนเป็นภูเขาประจำวงศ์ไศเรนทรสำหรับใช้
ประดิษฐานพระเป็นเจ้าตามลัทธิพราหมณ์ แม้จะมีการนับถือพุทธศาสนาแล้ว
ก็ยังยึดถือเป็นประเพณีการอาบน้ำร้อนที่ออกมาจากพุบนเขานั้นถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งมีการจัดทำสระน้ำสำหรับอาบของพระราชาตามประเพณีของอินเดีย เรื่องนี้หากรวม
ไปถึงบริเวณเขานางเอ แล้วจะพบว่าหน้าถ้ำนั้นมีสระบัวขนาดใหญ่สองสระ
น่าจะมีบริเวณที่เหมาะสมให้ราชาแห่งไศเรนทรสร้างวังประทับร้อนอยู่บนเนินที่เขานี้
เพราะมองเห็นสระน้ำได้สวยงาม และหากจะทิ้งทองประจำวันลงสระตามตำนานราชา
แห่งซาบากก็ทำได้ เมืองไชยาโบราณนี้เดิมเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองตามพรลิงค์
(เมืองนครศรีธรรมราช)ซึ่งมีชุมชนเมืองเก่า และสร้างเจดีย์พระบรมธาตุไชยา เจดีย์ที่วัดแก้ว
เจดีย์ที่วัดเวียง เจดีย์ที่วัดหลง และพระอวโลกติเกศวรอย่างชวาอยู่จำนวนมากโดยเฉพาะ
พระอวโลกิเตศวรขนาดเท่าคนที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดี เส้นทางติดต่อนั้นมีแม่น้ำหลวง(แม่น้ำตาปี)
ไหลผ่าน เมื่อสำรวจเส้นทางน้ำพบว่าไปได้ถึงคีรีรัฐซึ่งมีทางข้ามไปลงที่แม่น้ำตะกั่วป่า
ได้อย่างสบาย น่าจะเป็นเส้นทางเดินของชาวอินเดียทางหนึ่ง สำหรับเมืองตามพรลิงค์
นั้นมีพระมหาธาตุองค์เดียว เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในสมัยหลัง และมีหาดทรายแก้วกับ
ลุ่มแม่น้ำน้อย ประการสำคัญอ่าวบ้านดอนนั้นเป็นแหล่งที่เรือสินค้าจากจีนใช้เป็น
ท่าจอดเรือในสมัยโบราณได้ และรอบอ่าวบ้านดอนนั้นก็เป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ
ในจารึกพ.ศ.๑๗๗๓ ระบุว่า พระเจ้าจันทภาณุยังมีอำนาจอยู่เหนือดินแดนรอบอ่านบ้านดอน
สำหรับเมืองครหินั้นน่าจะอยู่แถวใต้เขมรลงมาทางญวน หรือแถวคอคอดกระ
พุทธศาสนาแบบมหายานเจริญรุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัย หลวงจีนอี้จิง เคยเดินทางจาก
เมืองกวางตุ้งประเทศจีนทางเรือของอาหรับผ่านฟูนัน มาพักที่อาณาจักรศรีวิชัยนี้
ในเดือน ๑๑ พ.ศ. ๑๒๑๔ เป็นเวลาสองเดือน ก่อนที่จะเดินทางต่อผ่านเมืองไทรบุรี
ผ่านหมู่เกาะคนเปลือยนิโคบาร์ ถึงเมืองท่าตามรลิปติที่อินเดีย เพื่อสืบพระพุทธศาสนา
หลวงจีนอี้จิงบันทึกไว้ว่า ประชาชนทางใต้ของแหลมมลายูส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
ซึ่งได้อิทธิพลมาจากพ่อค้ามุสลิมอาหรับ ที่เดินทางผ่านเพื่อไปยังประเทศจีน ศาสนาอิสลาม
ได้เผยแผ่ไปยัง มะละกา กลันตัน ตรังกานู ปาหัง และปัตตานีจนกลายเป็นรัฐอิสลามไป
ต่อมาในพ.ศ.๑๕๖๘(ค.ศ. 1025) อาณาจักรศรีวิชัยถูกอาณาจักรโจฬะ จาก
อินเดียตะวันออกเฉียงใต้ ยกทัพเรือเข้าโจมตีทำให้อ่อนกำลังลง หลังจากนั้นในพ.ส.๑๙๔๐
อาณาจักรศรีวิชัย ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอาณาจักรมัชปาหิต ที่มีอำนาจจากชวา
อาณาจักรสุโขทัยในสมัย พ่อขุนรามคำแหงนั้นได้แผ่อำนาจลงมายังหัวเมืองต่างๆ
ตลอดแหลมมาลายู และมีเมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองสำคัญที่คอยดูแลหัวเมืองทางใต้
<< ย้อนกลับ ต่อไป อาณาจักรของพม่า >>