สังคมมนุษย์
ก่อนประวัติศาสตร์

สังคมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์


แผ่นดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอิสาน ถือว่าเป็นแผ่นดินที่เกิดขึ้นในยุคโลกยุคแรกที่มี
สัตว์ดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่ ดังที่ปรากฏมี ไดโนเสาร์ ช้างดึกดำบรรพ์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีถึงยุคโลกของมนุษย์
แผ่นดินนี้จึงมีเรื่องราวสมัยก่อนประวัติศาสตร์(PREHISTORY)เช่นเดียวกัน จากการสำรวจขุดค้นทางโบราณคดี
เมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๒๔ นั้นพบว่ามี ๔ สมัยเช่นกัน คือ สมัยหินเก่า(PALAEOLITHIC) สมัยหินกลาง(MESOLITHIC)
สมัยหินใหม่(NEOLITHIC)และสมัยโลหะ(METAL AGE) ซึ่งได้มีการแบ่งเป็นสมัยสำริด(BRONZE AGE )และ
สมัยเหล็ก(IRON AGE)

แต่เมื่อมีการกำหนดเอาสังคมของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์เป็นเกณฑ์ศึกษาแล้วก็ปรากฏว่า
มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในสมัยต่างๆที่เคยกำหนดเอาเครื่องมือหินและเครื่องมือโลหะเป็นหลักในการแบ่งสมัยนั้น
เมื่อได้ศึกษาความเกี่ยวข้องกันในเรื่องอายุสมัย เทคโนโลยี การดำรงชีวิต การตั้งถิ่นฐานและสภาพแวดล้อมแล้ว
ปรากฏว่ามนุษย์ได้ความสัมพันธ์ที่คาบเกี่ยวสมัยกัน ยังใช้เครื่องมือหินและเครื่องมือโลหะร่วมสมัยกัน
จึงทำให้มีการแบ่งสมัยกันใหม่โดยกำหนดเอาสังคมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ มาแบ่งตามความเจริญทางวัฒนธรรม
ตามอย่างยุโรป โดยแบ่งเป็น

สังคมล่าสัตว์(HUNTING AND FOOD-GATHERING SOCIETY)และ
สังคมกสิกรรม(VILLAGE FARMING SOCIETY)

สังคมล่าสัตว์
(HUNTING AND FOOD-GATHERING SOCIETY)
สังคมล่าสัตว์ เป็นสังคมมนุษย์สมัยหินเก่าและหินกลางที่มีความเป็นอยู่คล้ายคลึงกันแตกต่างก็เพียงลักษณะ
ของเครื่องมือ ซึ่งพบว่าเครื่องมือสับตัดในสมัยหินเก่ากับเครื่องมือหินกระเทาะหน้าเดียวในสมัยหินกลาง
ของวัฒนธรรมโหบิเนียน ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มีความประณีตกว่า ทำให้ต้องรวมสังคมของสมัยหินเก่าและ
หินกลางไว้เป็นสังคมล่าสัตว์เหมือนกัน ลักษณะเครื่องมือในวัฒนธรรมโหบีเนียนนั้นมีการทำจากสะเก็ดหิน
เข้าใจว่าใช้ติดกับไม้เช่นหัวธนูและใบหอก ที่ติดกับไม้ไผ่ และเครื่องมือแกนหินกระเทาะหน้าเดียว

กลุ่มของวัฒนธรรมโหบีเนียนนี้ได้กระจายแพร่หลายไปในแถบเอเซียอาคเนย์และหมู่เกาะต่างๆ
ตั้งแต่ ๑๐,๐๐๐ -๕,๐๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช ต่อมาประมาณ ๕,๐๐๐ -๗,๐๐๐ ปีก่อน

คริสตศักราช กลุ่มชนชนเหล่านั้นได้ทำเครื่องมืออย่างใหม่ขี้นและแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่นๆ ซึ่งพบว่ามีแหล่งโบราณคดี
อยู่๔ แห่งซึ่งมีอายุแตกต่างกันเช่น ในมาเลเซียพบที่กัวเคอชัว(GUA KECHIL)อายุ ๔,๘๐๐ปี(ก่อนหลัง ๘๐๐ ปี)มาแล้ว
ในไทย ที่ถ้ำผี(SPIRIT CAVE) อายุประมาณ ๗,๖๒๒ ปี(ก่อนหลัง ๓๐๐ ปี)มาแล้วและถ้ำปุงฮุง(BANYAN VALLEY CAVE)
อายุ๑,๑๐๐ ปีมาแล้ว ในกัมพูชาพบที่แลงเสปียน(LEANG SPAENG)อายุ ๖,๒๔๐ ปี(ก่อนหลัง ๗๐ ปี)มาแล้ว
จากการศึกษาของ ดร.เชสเตอร์ เอฟ กอร์แมน(CHESTER F GORMAN) นักโบราณคดีชาวอเมริกันได้พบว่า
มีข้อสนับสนุนในเรื่องมนุษย์สมัยนั้นเริ่มรู้จักทำนาเป็นครั้งแรกในบริเวณที่ราบของเอเซียอาคเนย์ (ที่โนนนกทา)และ
บ้านเชียง ซึ่งมีอายุ ๔,๕๐๐ -๕,๕๐๐ ปีมาแล้ว ในชั้นดินที่ ๑ นั้นพบพืชจำพวกน้ำเต้า บวบ พืชประเภทถั่ว พริกไทย
และถั่วพันธ์เมล็ดแบนกว้าง ซึ่งคนกลุ่มวัฒนธรรมโหบีเนียนมีความคุ้นเคยและอาจนำมาปลูก และพบว่ามีการสัตว์
ในบริเวณแถบที่อยู่อาศัย เช่น กวาง ลิง หมู วัวใตามทุ่งหญ้า ค้างคาวในถ้ำ ปลาและหอยที่อาศัยอยู่ในลำน้ำ
ใกล้กับแหล่งโบราณคดี


แหล่งทำเครื่องมือหินนั้นพบอยู่ที่ริมแม่น้ำโขง อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย และแหล่งนายกองศูน ตำบลในเขต
อำเภอดอนตาล จังหวัดนครพนมซึ่งอยู่ริมแม่น้ำโขง เช่นกัน ส่วนแหล่งที่อยู่อาศัยที่ต้องใช้ถ้ำหรือเพิงผาบริเวณริมน้ำนั้น
ถือว่าน่าจะเป็นการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในสังคมล่าสัตว์นั้น ยังไม่พบในภาคนี้ แต่ในภาคเหนือได้พบวัฒนธรรมโหบีเนียน
อยู่ตามแหล่งโบราณคดีที่เป็นถ้ำต่างๆมากมาย เช่น ถ้ำผี อยู่เหนือแม่ฮ่องสอนไป ๖๐ กิโลเมตร อายุประมาณ ๑๑,๔๕๐ ปี
(ก่อนหรือหลัง๒๐๐ ปี) ซึ่งสำรวจพบว่า มีการทับถมของชั้นดิน ๕ ชั้น ระหว่างชั้นดินนั้นพบทั้งชั้นดินที่เป็นวัฒนธรรมโหบีเนียน
ชั้นดินที่อยู่อาศัยล่าสุดที่มีอายุ ๖๐๐๐ ปีก่อนคริสตศักราช และชั้นที่อยู่ในสมัยเพลสโตซีนตอนปลาย และถ้ำองบะมี
อายุ ๙๒๓๐ปี(ก่อนหรือหลัง๑๖๐ ปี)ก่อนคริสตศักราช


ชุมชนของวัฒนธรรมโหบีเนียน(HOABINHIAN)นั้นมีการรู้จักใช้พืชและรู้จักการล่าสัตว์มาใช้ในการดำรงชีพ
จึงมีพื้นฐานของการล่าสัตว์ จับปลา และเก็บสะสมอาหาร โดยเฉพาะการรู้จักอาศัยธรรมชาติรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์
ตามฤดูกาลเช่น ฤดูแล้งรู้จักล่าสัตว์ ฤดูฝนมีการจับปลาและเก็บพืชพันธ์นานาชนิดเป็นอาหาร ที่มนุษย์รู้จักเลือกบริเวณ ๒ แห่ง
คือ เพิงหินที่เกิดจากการก่อตัวของหินปูน ซึ่งอยู่ใกล้ลำธารเล็กและป่าบนเขา เช่นถ้ำเขาในเขตเพชรบูรณ์ และ
บริเวณที่อยู่ใกล้ชายน้ำชายฝั่งทะเลเช่น ริมแม่น้ำโขง เป็นแหล่งของชุมชนที่ดำรงชีวิตในสังคมล่าสัตว์


ชุมชนนี้รู้จักการล่าสัตว์ การจับปลาและเก็บสะสมอาหาร บางกลุ่มอาจจะรู้วิธีปลูกพืชแล้วเช่น เผือก มัน และ
พืชที่ปลูกง่ายไม่ต้องดูแล เป็นต้น ซึ่งเป็นพืชที่ให้คาร์โบรไฮเดรทที่คนต้องการ เพราะจะอาศัยแต่โปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้น
ย่อมไม่เพียงพอ สัตว์ที่ถฃุกล่ามี วัวป่า หมู่ป่า กวาง ส่วนสัตว์ที่ใช้วิธีดักจับได้แก่ กระต่าย พังพอน ชะมด อีเห็น และ
สัตว์น้ำที่จับมีหอย ปลาชนิดต่างๆ ซึ่งพบว่ามีภาพเขียนสีตามผนังถ้ำหลายแห่งมีเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์
สังคมล่าสัตว์นี้ในภาคอีสานนั้นเริ่มเมื่อ ๑๒,๐๐๐-๑๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว และน่าจะสิ้นสุดเมื่อ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว



สังคมกสิกรรม

(VILLAGE FARMING SOCIETY)

สังคมกสิกรรม เป็นสังคมที่มีความหลากหลาย และไม่อาจสรุปว่าเป็นสมัยหินใหม่และสมัยโลหะได้ ซึ่งพบว่า
มีเครื่องมือขวานหินขัดและโลหะปะปนกันอยู่ ซึ่งพบทั้งมีเหล็กกับสำริดปนกันกับพบว่าบางแห่งมีการแยกใช้สำริด
กับเหล็กเช่นที่ บ้านเชียง บ้านนาดี เป็นต้นและพบว่าบางแห่งไม่มีขวานหินขัดอยู่ด้วย

ชุมชนของสังคมกสิกรรมพบมากในภาคอิสาน เป็นชุมชนที่เริ่มต้นเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์มากว่า ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว
เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้รับอิทธิพลมาจากภายนอก ชุมชนนี้นอกจากรู้จักการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์แล้วยังรู้จักค้าขาย
แลกเปลี่ยนสินค้า ซึ่งมีการแยกแรงงานออกมาทำอาชีพเฉพาะเช่น ช่างปั้นภาชนะดินเผา ช่างทอผ้า ช่างทำเครื่องมือ
จากโลหะ ชาวนาและพวกเลี้ยงสัตว์ ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงานเหล่านี้

การเพาะปลูกในชุมชนนั้นส่วนใหญ่ปลูกข้าว พบที่แหล่งโบราณคดีที่โนนนกทาและที่บ้านเชียง มีวิธีปลูกข้าวแบบเลื่อนลอย(SWIDDEN RICE CULTIVATION) โดยแต่ละช่วงปีนั้นจะอาศัยน้ำจากฝนและพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์
โดยหว่านเมล็ดข้าวลงไป โดยไม่มีการพรวนหรือไถดิน(หรืออาจจะมีการขุดไถก็ได้) เมื่อปลูกข้าวได้สักปีสองปี
ก็หาที่ดินใหม่ เนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ เหมือนเร่ร่อนทำนาไปตามที่ต่างๆวนเวียนไปรอบๆที่อยู่อาศัย
หลังจาก ๓,๖๐๐ -๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ชุมชนของสังคมกสิกรรมได้รู้จักปลูกข้าวด้วยวิธีการกักเก็บน้ำ(INUNDATION SYSTEM)
ซึ่งทำนาโดยรู้จักใช้เหล็กเป็นทำเครื่องมือมาถากถางขยายพื้นที่ทำนา และรู้จักเลี้ยงควายมาใช้งานเป็นเครื่องทุ่นแรง
โดยมีการไถพรวนดินแล้วอาจะจะหว่านเมล็ดข้าวลงไป แทนวิธีการ การทำนาแบบเลื่อนลอยคอยย้ายที่ดิน
มาใช้วิธีกักเก็บน้ำใส่ไว้ในที่ดิน หรือหาแอ่งน้ำเป็นแปลงทำนาปลูกข้าว โดยเฉพาะรู้จักยกคันดินกั้นน้ำเป็นอันนา
ทำให้ชุมชนนั้นไม่ต้องเคลื่อนย้ายที่ดินเพาะปลูกบ่อย ๆ แต่ต้องเลี้ยงควายใช้เป็นแรงงานไถนาและ
ขนย้ายพืชพันธ์ธัญญาหาร

ข้าวนั้นเป็นอาหารหลักของชุมชนโบราณในภาคอีสานมาหลายพันปี การเพาะปลูกข้าวนั้นน่าจะเริ่มมาจาก
ประเทศจีนตอนเหนือซึ่งนิยมปลูกข้าวฟ่างแล้วจึงแพร่ขยายลงมาทางภาคอีสาน ซึ่งมีหลักฐานจากร่องรอยของ
แกลบข้าวหรือเปลือกเมล็ดข้าวประทับอยู่บนเนื้อภาชนะเศษดินเผาที่พบจากแหล่งโบราณคดีบนที่ราบ และ
แกลบที่ฝังในสนิมเหล็กซึ่งอยู่บนอาวุธที่ทำด้วยเหล็กสมัยก่อนประวัติศาสตร์


การเปลี่ยนแปลงวิธีการทำนานั้นน่าจะสืบเนื่องมาจากการเพิ่มจำนวนประชากรที่มีมากขึ้น จึงจำเป็นต้อง
หาวิธีการทำนาเพื่อให้มีผลผลิตเพิ่มเพียงพอกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น


ส่วนการเลี้ยงสัตว์นั้น สำรวจพบว่าพบโครงกระดูกวัว กรามของหมู ที่แหล่งโบราณคดีโนนนกทา พบกระดูกหมา
ที่แหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียง เป็นหลักฐานว่าชุมชนนี้มีการเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย เลี้ยงหมู เลี้ยงหมา สำหรับหมานั้น
เป็นสัตว์เลี้ยงชนิดเดียวที่ไม่ได้มีในพื้นที่เป็นสัตว์ที่นำจากที่แห่งอื่น(อินเดียหรือจีน)มาเลี้ยงเมื่อ๒,๕๐๐-๓,๖๐๐ ปีมาแล้ว
สำหรับการล่าสัตว์นั้นพบว่า การล่าสัตว์ ดักสัตว์และจับสัตว์น้ำ ได้ทำกันมากเมื่อ ๕,๖๐๐ -๓,๖๐๐ ปีมาแล้ว
ช่วงเวลาที่ถัดมาตั้งแต่ ๓,๖๐๐-๒,๐๐๐ ปีมาแล้วการล่าสัตว์และจับสัตว์น้ำก็ยังมีอยู่แต่ลดลง เนื่องจากประชากรในระยะนั้น
มีความเป็นอยู่ดีขึ้นและสามารถปลูกข้าวที่มีผลผลิตเพียงพอ จึงไม่จำเป็นต้องล่าสัตว์หรือดักจับสัตว์
จับปลากันมากมายนัก ประกอบกับเป็นระยะเวลาที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลาย ทำให้สัตว์ป่าพากันอพยพหาแหล่งทำกินใหม่


ในชุมชนกสิกรรมนั้นภาคอีสานรู้จักทำโลหะขึ้นก่อนแหล่งโบราณคดีอื่นในประเทศไทยคือเมื่อ ๓,๐๐๐-๕,๐๐๐ ปี
รู้จักทำสำริด และเมื่อ ๒,๕๐๐-๓,๖๐๐ ปีมาแล้วรู้จักทำเหล็ก ต่อมาในแหล่งโบราณคดีอื่นก็พบว่ามีการทำโลหะเช่นเดียวกัน
สำหรับแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงนั้นพบว่าเริ่มทำสำริดจากการนำทองแดงผสมกับดีบุก เมื่อประมาณ ๕,๕๐๐ -๕,๖๐๐ ปีมาแล้ว ถือว่าเก่าแก่กว่าการทำสำริดในบริเวณตะวันออกกลางที่เริ่มทำสำริดด้วยการนำทองแดงผสมกับสารหนูหรือพลวงก่อน
แล้วจึงรู้จักนำทองแดงผสมดีบุก เมื่อประมาณ ๓,๒๐๐ ปีมาแล้ว ก่อนการทำเหล็กจะเข้ามาแทนที่เมื่อประมาณ ๓,๖๐๐ ปีมาแล้ว
ทำให้สำริดนั้นได้เปลี่ยนรูปแบบจากอาวุธเป็นเครื่องประดับหรืออย่างอื่นแทน ส่วนการทำอาวุธนั้นใช้เหล็กทำ


ดังนั้นในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย ลาว จีน พม่าและกัมพูชา จึงเป็นแหล่งโบราณคดีที่มีแร่ทองแดง
ดีบุกและเหล็ก จำนวนเพียงพอจึงทำให้มีการพัฒนาการทำโลหะและภาคอีสานนั้นถือว่าเป็นแหล่งทำสำริด
ที่มีอายุเก่าแก่แห่งหนึ่ง


สังคมกสิกรรมนั้นเป็นชุมชนที่มีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ประเพณีการฝังศพ ทำเครื่องมือ เครื่องใช้ด้วยหิน
รู้จักทำเครื่องสำริดและเครื่องมือเหล็ก รู้จักการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งถิ่นฐาน
ในการขุดสำรวจที่แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง โนนนกทา และบ้านนาดี นั้นพบว่าชั้นดินชั้นล่างสุดพบเครื่องสำริด
ซึ่งเป็นส่วนผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก นอกจากนี้ยังพบว่าแหล่งดีบุกนั้นอยู่ที่ลาวและแหล่งทองแดงอยู่ที่จังหวัดเลย
จึงเข้าใจว่าต้องมีการแลกเปลี่ยนโลหะทั้งสองแหล่งมาใช้ทำสำริดตั้งแต่เริ่มตั้งถิ่นฐาน
เช่นเดียวกันก็มีการแลกเปลี่ยนสินค้าอื่นๆ


สังคมกสิกรรมในภาคอีสานเริ่มเมื่อประมาณ ๖,๐๐๐ ปีมาแล้ว และสิ้นสุดเมื่อประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว


แหล่งโบราณคดีของสังคมกสิกรรมที่เก่าแก่ที่สุดคือ แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ตำบลบ้านเชียง อำเภอหนองหาน
จังหวัดอุดรธานีและแหล่งโบราณคดีบ้านโนนนกทา อำเภอภุเวียง จังหวัดขอนแก่น มนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่ตั้งถิ่นฐาน
ในชุมชนนี้ ไม่มีหลักฐานที่มา(น่าจะมาจากแหล่งอื่น) แต่เข้ามาอาศัยพื้นที่ราบทำการเพาะปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์
ทำเครื่องมือสำริดเลย เวลาต่อมาจึงมีการติดต่อกับชุมชนอื่น แล้วขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางจนทำให้การเพาะปลูก
เกิดขึ้นจำนวนในแหล่งโบราณคดีทางภาคอีสาน แหล่งโบราณคดีของสังคมกสิกรรมที่สำคัญในช่วง ๕,๖๐๐ปีมาแล้ว
-๓,๐๐๐ปีมาแล้ว นั้นตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของภาคอีสานเรียกว่า แอ่งสกลนคร นับว่าเป็นถิ่นฐานของสังคมกสิกรรมที่เก่าแก่
ด้วยพื้นดินแอ่งนี้มีลักษณะของดินที่สามารถอุ้มน้ำทำให้เหมาะสมกับการเพาะปลูกข้าวได้และมีจำนวนน้ำฝนที่ตกชุก
เกินกว่า ๑,๒๕๐ มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งเหมาะสำหรับที่ราบขั้นบันไดขั้นต่ำใกล้แม่น้ำลำธาร และชนิดของดิน


สินค้าที่ชุมชนแต่ละแห่งใช้แลกเปลี่ยนกันนั้นคือ แร่ทองแดง แร่ดีบุก และแร่เกลือ ที่ใช้รักษาเนื้อสัตว์และอาหาร มีแหล่งเกลือหลายแห่งในบริเวณรอบหนองหาน และกุมภวาปี ซึ่งมีอายุ ๒,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว เป็นยุคที่ชุมชนกสิกรรมได้มีการขยายตัวมากขึ้นกว่าสังคมกสิกรรมในระยะแรกเมื่อ ๖,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปี มาแล้ว


แหล่งโบราณคดีของสังคมกสิกรรมที่สำคัญในช่วง๓,๐๐๐-๒,๐๐๐ ปี มาแล้วนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอีสาน เรียกว่า
แอ่งโคราช เป็นถิ่นฐานของสังคมกสิกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เช่นรู้จักวิธีทำนาโดยใช้แรงงานสัตว์เลี้ยง
มาช่วยทุ่นแรง คือ เลี้ยงควายไว้สำหรับไถนาทำไร่ รู้จักสร้างเครื่องมือเหล็กมาช่วยถากถางป่าขยายพื้นที่เพาะปลูก
รู้จักระบบกักเก็บน้ำ(INUNDATION SYSTEM)มาใช้ในการปลูกข้าว เนื่องจากดินในพื้นที่นี้มีลักษณะไม่ค่อยอุ้มน้ำ
มีเกลือปนและมีความซึมซาบของน้ำมาก จำนวนน้ำฝนที่ตกลงมานั้นน้อยกว่า ต่อมาชาวนาที่ทำนาในบริเวณแอ่งสกลนคร
ได้พากันอพยพมาทำนาที่แอ่งโคราช ทำให้ได้เรียนรู้การทำนาใหม่ที่ให้ผลผลิตมากกว่า
โดยเฉพาะทำนาด้วยวิธีกักเก็บน้ำ(ยกคันนา)และใช้ควายช่วยในการทำงานและเป็นเครื่องทุนแรงโดยวิธีไถพรวนดิน
ซึ่งเป็นการทำนาโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยการทำนาในที่ราบขั้นบันไดขั้นกลางและสูง


การติดต่อและแลกเปลี่ยนสินค้ากับชุมชนอื่นๆ นั้นในแหล่งโบราณคดีได้พบว่ามีแร่ทองแดง แร่ดีบุก ลูกปัดหิน
และลุกปัดแก้ว ลูกปัดหอยมือเสือและเกลือ เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงแนวโน้มว่า ชุมชนกสิกรรมที่พบนั้น
มีการติดต่อกับชุมชนแหล่งอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้ากันซึ่งเป็นสินค้าชนิดใดบ้างนั้นต้องศึกษาแหล่งผลิตเช่น
ลูกปัดแก้วและลูกปัดหินสีนั้นพบหลายแห่งในภาคอีสาน น่าจะเชื่อว่าพื้นที่นี้ได้มีการติดต่อกับแหล่งอารยธรรมของอินเดีย
หรือ มีการนำต่อมาจากชุมชนอื่น


สรุปได้ว่าสังคมกสิกรรมของชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น ได้มีการตั้งถิ่นฐาน(SETTLEMENT PATTERN)
ครั้งแรกในบริเวณที่ราบขั้นบันไดหรือตะพักลำน้ำขั้นต่ำ(LOW TERRACE)ใกล้แม่น้ำลำธารที่มีลักษณะของดิน
ที่เหมาะสมกับการปลูกข้าวมาก ทำให้ชุมชนขยายตัวออกไปตั้งถิ่นฐานที่บริเวณที่ราบขั้นบันไดหรือบนตะพักลำน้ำขั้นกลาง
ขั้นสูง(MIDDLE AND HIGH TERRACE)และที่ราบน้ำท่วมในบริเวณอื่น โดยอาศัยเทคโนโลยีที่สูงกว่ามาช่วย
ทำให้ชุมชนสมัยนั้นมีรูปแบบการดำรงชีวิต(SUBSISTENCE PATTERN)โดยรู้จักการเลี้ยงสัตว์ ปลูกข้าวเป็นอาหาร
แล้วพัฒนาวิธีการล่าสัตว์ ดักสัตว์ และจับสัตว์น้ำมาเป็นอาหารด้วยเครื่องมือจับสัตว์และรู้จักติดต่อกับชุมชนอื่น.
เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าของชุมชน ซึ่งมีการขยายตัวการตืดต่อไปยังบริเวณอื่นๆมากมาย


เครื่องมือเครื่องใช้ในสังคมล่าสัตว์และสังคมกสิกรรมนั้น พบว่ามีการพัฒนาเครื่องมือทางด้าน
เทคโนโลยี(TECHNOLOGY) กล่าวคือสังคมกสิกรรมยุคแรกนั้นมีการใช้เครื่องมือหินคือขวานหินขัด
ซึ่งอาจเครื่องมือสำริดปนอยู่บ้าง ซึ่งต่อมาได้มีเครื่องมือที่ทำด้วยสำริดและเมื่อมีการทำเครื่องมือด้วยเหล็ก
โลหะผสมสำริดจึงถูกนำไปใช้ทำเครื่องประดับและพิธีกรรมทางศาสนาแทน เช่น กำไล แหวน ตุ้มหู ห่วงสำริด
เครื่องราง เป็นต้น ในภาคอีสานพบที่แหล่งโบราณคดีบ้านโนนนกทา เป็นต้น


พิธีกรรมของสังคมมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่พบนั้นคือ การฝังศพ ซึ่งมีประเพณีมาตั้งแต่เริ่มตั้งถิ่นฐานแล้ว
โดยการฝังศพนั้นพบว่ามีการขุดหลุมก่อนแล้วจึงใส่ศพลงไป ในหลุมฝังศพนั้นส่วนมากมักมีการวางสิ่งของเครื่องใช้
ของผู้ตายลงไปด้วย พร้อมกับภาชนะดินเผา ที่จัดวางเป็นกลุ่ม ทั้งในลักษณะภาชนะใสอาหารวางไว้เป็นเครื่องเซ่น
และเป็นภาชนะดินเผาขนาดต่างๆเหมือนสิ่งของเครื่องใช้ประจำตัวผู้ตายเช่นเดียวกับขวานหินขัด สร้อยลูกปัด
กำไล สำริด แหวน และอื่นๆ เหมือนเป็นประเพณีฝังศพที่ต้องใส่สิ่งของเหล่านี้ให้ผู้ตาย ซึ่งมีจำนวนมากหรือน้อย
ตามฐานะของผู้ตาย ความเชื่อในการฝังศพนั้น เชื่อว่าผู้ตายไปแล้วย่อมต้องการอาหารและสิ่งของเครื่องใช้
ดังนั้นผู้ที่เป็นญาติที่มีชีวิตอยู่ต้องทำพิธีกรรมนำสิ่งของไปใส่อุทิศให้ เพื่อให้เกิดความพอใจแก่ผู้ตาย
หากไม่ทำก็จะทำให้เกิดความทุกข์ยาก บันดาลให้น้ำท่วมฝนแล้งในวันหน้าได้ บางแห่งไม่พบว่ามีสิ่งของอะไร
ข้อที่น่าสังเกตก็คือ การวางศรีษะไปตามทิศทาง ซึ่งพบว่ามีการวางศรีษะกันหลายทิศทาง แต่ยังไม่พบว่า
มีการฝังศพไปทางทิศใดทิศหนึ่งให้แน่นอน


<< ย้อนกลับ ต่อไป ศิลปถ้ำ:ภาพเขียนก่อนประวัติศาสตร์ >>