--- เบื้องหลังลดค่าเงิน ---
ความเป็นมาของการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราครั้งสำคัญนี้ ผู้ที่เป็นตัวจักรสำคัญที่สุดคนหนึ่งก็คือ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจคนสำคัญของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นั่นเอง
ดร.วีรพงษ์ฯ เล่าว่า
"ก่อนหน้านั้น สถานการณ์ของสถาบันการเงินอยู่ในขั้นล่อแหลมมาก ส่อเค้าว่าจะล้มกันเป็นทิวแถว แล้วก็เกิดการระบาดของแชร์ลูกโซ่ขึ้นทั่วไป จนทำให้สถานการณ์ทางการเงินของประเทศซึ่งซวดเซอยู่แล้วยิ่งทรุดหนักลงไปอีก
รัฐบาลจึงต้องยื่นมือเข้าปราบปรามแชร์ลูกโซ่เหล่านั้นจนราบคาบไปในที่สุด
อย่างไรก็ตามรัฐบาลก็พยายามหลีกเลี่ยงการปรับปรุงค่าเงิน เพราะเห็นว่ามันมีผลกระทบทางการเมืองอย่างมากมายมหาศาล
ขณะเดียวกันเงินสกุลดอลลาร์ก็ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะเหตุว่าประธานาธิบดีเรแกนต้องการที่จะหาเสียง ก็พยายามปราบเงินเฟ้อโดยการขึ้นค่าเงินของตน วิธีขึ้นค่าเงินก็ขึ้นดอกเบี้ย สหรัฐฯ ให้ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยเรื่อย ๆ ค่าเงินดอลลาร์ ก็เลยถูกหิ้วขึ้นสูงตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี 2526 ถึง 2527 แล้วยังมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ประมาณเดือนพฤศจิกายน 2527 ซึ่งก็เป็นสมัยที่สองของประธานาธิบดีเรแกน
เงินบาทที่ผูกไว้กับเงินดอลลาร์ถูกหิ้วสูงขึ้นตามไปด้วย แล้วการส่งออกของเราที่มันส่งไม่ออกอยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่ใหญ่ ของที่เราส่งออกยิ่งแพงขึ้นไปอีก ส่วนนำเข้าก็ถูกลง เพราะเงินบาทแข็งขึ้นตามเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ยิ่งทำให้ฐานะดุลการค้า ดุลบัญชีเดินสะพัดของเรายิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ
ในที่สุด รัฐบาลก็ประกาศควบคุมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารทั้งระบบไม่ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยหรือขยายสินเชื่อเกิน 18% โดยเอาฐานปีที่แล้วเป็นตัวตั้ง ซึ่งการใช้มาตรการตัวนี้แทนที่จะเป็นผลดี กลับเป็นผลเสียอย่างมหาศาล เพราะธนาคารพาณิชย์ก็ถือโอกาสเรียกเงินสินเชื่อจากลูกค้าที่เห็นว่ามีปัญหาคืน ธุรกิจต่าง ๆ ก็เลยยิ่งมีปัญหาขึ้นอีกล้มกันระเนระนาดอย่างมากมายในปี 2526"
ปลายเดือนสิงหาคม 2526 หลังวันเกิด พลเอก เปรมฯ ดร.วีรพงษ์ฯ ก็เข้าพบท่านนายกรัฐมนตรี แล้วบอกว่า
"ป๋าครับ คงจะต้องเลิกแล้วมาตรการนี้ และควรจะลดค่าเงินบาท"
"เอาอะไรมาพูด ไปฟังดร.ไพจิตรฯ มาใช่ไหมนี่ ดร.ไพจิตรฯ ก็มาพูดอย่างเดียวกัน" พลเอก เปรมฯ หมายถึง ดร.ไพจิตร เอื้อทวีกุล ซึ่งขณะนั้นไปเป็นกรรมการธนาคารโลกแล้ว
"ไม่เลยครับ ผมไม่ได้พบกับดร.ไพจิตรฯ เลย แต่ว่าสถานะการเงินการคลังเราคงหิ้วไปไม่ไหวแล้วเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ไม่มีทีท่าจะหยุดการขึ้นราคาแต่ประการใด" ดร.วีรพงษ์ฯ ชี้แจง
แต่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีการใช้มาตรการสินเชื่อ 18% ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม 2526 ก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ติดต่อกันมาจนถึงหลังปีใหม่
ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้มาแจ้งให้ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลทราบว่า
ฐานะการเงินการคลังของไทยไปไม่ไหวแล้ว
ดร.วีรพงษ์ฯ จึงไปเรียนให้นายกรัฐมนตรีทราบ แต่ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่แย่มาก ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับปัญหาน้ำท่วม และโครงการป้องกันน้ำท่วมใน กทม. ซึ่ง พลเอกเปรมฯ อนุมัติงบประมาณ 1,200 ล้านเพื่อใช้ในโครงการนี้ จนส่งผลให้ปัจจุบันปัญหาน้ำท่วมคลายความรุนแรงลงเป็นอันมาก
หลังปีใหม่ ดร.วีรพงษ์ฯ ก็ไปรายงานปัญหาการเงินของประเทศให้นายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้ง และบอกว่า
ไม่มีทางเลือก ต้องลดค่าเงินบาท
ซึ่งนับว่าเป็นข่าวร้ายสำหรับคนเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนสถานการณ์สินเชื่อ 18% ประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์กันหนักขึ้น
ประกอบกับมีคนอีกจำนวนหนึ่งได้รับความเดือดร้อนจากกรณีแชร์ล้ม ทรัสต์ล้ม ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก
ปลายเดือน เมษายน 2527
มีการประชุมคณะกรรมการของ ธนาคารโลก กับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ที่กรุงวอชิงตัน โดยฝ่ายไทยมี นายสมหมาย ฮุนตระกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายนุกูล ประจวบเหมาะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการคลังของประเทศอีก 2-3 ท่าน เข้าร่วมประชุมด้วย
มีการทบทวนฐานะการเงินการคลังของไทยอย่างเป็นความลับกันที่นั่น แม้แต่ ดร.วีรพงษ์ฯ เองก็ไม่ได้รับทราบผลการประชุมในครั้งนั้น
ซึ่งสรุปได้ว่าสถานการณ์ล่อแหลมเต็มทีแล้ว และตกลงใจกันว่าคงจะต้องลดค่าเงินบาทแน่
แต่สิ่งสำคัญที่นายสมหมายฯ ต้องการไม่ใช่การลดค่าเงินบาท รัฐมนตรีคลังต้องการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจากการที่ไปผูกติดไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ ให้มาเป็นระบบที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมเพราะทั่วโลกได้เลิกระบบที่จะตรึงค่าเงินของตนไว้กับดอลลาร์สหรัฐฯ กันแล้ว
เมื่อท่านเหล่านั้นกลับมาจากการประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศกับธนาคารโลก ก็กำลังเตรียมการที่จะประสานกับ ดร.วีรพงษ์ฯ และพลเอก เปรมฯ แต่บังเอิญ พลเอก เปรมฯ ป่วยพอดี และไปเช็คเส้นเลือดหัวใจที่สหรัฐฯ
พอ พลเอก เปรมฯ กลับมาได้ไม่นานก็ปรากฏว่าเลือดเกิดเป็นลิ่มแล้วไปอุดที่ปอดต้องเข้าโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ก็เลยต้องรอจนกระทั่งนายกรัฐมนตรีกลับมาพักฟื้นที่บ้าน
วันที่ 29 ตุลาคม 2527 มีการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจตามปรกติ โดยมี พลเอก ประจวบ สุนทรางกูร รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานแทนนายกรัฐมนตรี หลังการประชุม นายสุธี สิงห์เสน่ห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็เดินมากระซิบหยอก ดร.วีรพงษ์ฯ ว่า
"ท่านที่ปรึกษาใหญ่ ได้ข่าวว่าอยากลดค่าเงินบาทใช่ไหม"
"มันควรจะทำตั้งนานแล้ว แต่ป๋าป่วยอยู่นะ" ดร.วีรพงษ์ฯ กล่าว
"ถ้าอยากลด บ่ายสามโมงให้ไปพบรัฐมนตรีสมหมายที่กระทรวง"
"เอ้าไปก็ไป"
"แล้วผมจะนัดให้" นายสุธีฯ บอกแล้วก็เดินอ้อมโต๊ะไปที่นายสมหมายฯ กระซิบอะไรกันครู่หนึ่งแล้วเดินกลับมาที่ดร.วีรพงษ์ฯ
"โอเค โอเค ผมนัดให้แล้ว"
พอถึงเวลาบ่ายสามโมง ดร.วีรพงษ์ฯ ก็ไปถึงกระทรวงการคลัง และพบกับคณะของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งตอนนั้นเปลี่ยนตัวเป็น นายกำจร สถิรกุล แล้ว
นายกำจรฯ เตรียมจะชี้แจงเหตุผล แต่ดร.วีรพงษ์ฯ บอกว่า
"ไม่ต้องชี้แจง เสียเวลาเปล่า ๆ จะเอาเมื่อไหร่ล่ะ"
"มันต้องเตรียมการอะไรต่อมิอะไร ควรจะเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน" ผู้ว่าการฯ กล่าว
"ท่านรัฐมนตรีสมหมายฯ ตัดสินใจแน่นอนแล้วหรือ" ดร.วีรพงษ์ฯ ถาม
"แน่นอน ถ้าท่านนายกฯ อนุมัติ"
และคนที่จะสามารถไปชี้แจงนายกรัฐมนตรีได้ก็คือที่ปรึกษา ซึ่งดร.วีรพงษ์ฯ ก็รับอาสา
"แต่ว่าทำไมต้องวันที่ 9 พฤศจิกายน" ดร.วีรพงษ์ฯ ถาม
"มันต้องเป็นวันศุกร์ เพราะประกาศไปแล้วมันต้องมีวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อเตรียมการชี้แจงอะไรต่าง ๆ เพราะถ้าประกาศวันธรรมดาจะวุ่นวายแน่นอน ต้องมีมาตรการหลายอย่างออกมา เช่น ประกาศคุมราคาน้ำมัน"
"เอ้า ศุกร์ก็ศุกร์ แต่ทำไมไม่เอาศุกร์ที่ 2 นี้ ต้องเป็นศุกร์ที่เร็วที่สุด"
"ทำไมล่ะ" รัฐมนตรีสมหมายฯ ถามขึ้น
ดร.วีรพงษ์ฯ ชี้แจงว่า
"อย่าลืมนะ เราจะต้องดำเนินการให้สั้นที่สุด เพราะการรักษาความลับอันนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าหากว่าความลับรั่วไหลไปแล้ว มีการเก็งกำไรในวงการเงินของประเทศ การลดค่าเงินบาทจะทำไม่ได้"
"เห็นด้วย แต่ก็กลัวว่าทางแบงก์ชาติจะทำไม่ทัน"
"ถ้ารัฐมนตรีจะกรุณาออกคำสั่ง ทุกคนต้องทำทัน"
ก็เป็นอันว่า เอาวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527
ดร.วีรพงษ์ฯ เล่าต่อไปว่า
"5 วันนี่ เราก็นอนไม่หลับทั้ง 5 วันอยู่แล้ว ถ้าช้า 15 วัน เราก็นอนไม่หลับทั้ง 15 วัน วันนั้นเป็นวันจันทร์ กว่าจะเลิกลากันเกือบจะ 6 โมงเย็น ตอนผมไปนั้นบ่าย 3 โมง ก็ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงอยู่ที่กระทรวงเพื่อเตรียมการซักไซ้กันเรื่องระบบใหม่ เพราะมันไม่ใช่การลดค่าเงินบาทเท่านั้นที่จริงมันเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศเลยจากระบบที่เคยผูกติดไว้กับดอลลาร์ มาเป็นระบบที่ใช้ Basket of currency (ตะกร้าเงิน) นอกจากนี้ ก็มาถกเถียงกันเรื่องจะเปิดเผย Basket หรือไม่เปิดเผยจะ Float (ลอยตัว) หรือไม่ Float อะไรเหล่านี้
มีการซักไซ้ข้อดีข้อเสียว่าทำไมถึงเลือก
1. ไม่เปิดเผย Basket
2. ไม่ได้ Float เต็มที่ อะไรต่ออะไร แล้วก็วิธีระเบียบบริหาร Basket หน่วยงานที่เกี่ยวว่าจะมีผู้ใดรับผิดชอบ ระเบียบของทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนจะออฟเดดอย่างไร ผมก็ต้องซักไซ้ไล่เลียง จนกระทั่งเป็นที่เข้าใจตรงกันทุกฝ่าย
มาถึงเรื่องลดค่าเงินบาท เราก็ไม่เรียกว่าลดค่าเงินบาท เราเรียกว่าการปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท คุณสมหมายฯ ตั้งชื่อว่า การปรับปรุงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราและการปรับค่าเงินบาท
เมื่อผมกลับไปบ้านก็ประมาณ 6 โมง มีการเตี๊ยมกันว่า ผมจะนัดแนะให้คุณสมหมายฯ ไปพบนายกรัฐมนตรี โดยที่ทราบมาว่า ท่านแข็งแรงพอสมควรแล้วที่จะรับสถานการณ์อันนี้ได้ แต่ยังไม่ได้มาทำงาน
ประมาณ 6 โมงเศษ ๆ ของวันที่ 29 ตุลาคม 2527 ผมก็โทรศัพท์ไปที่บ้านสี่เสา ขอพูดกับป๋า ผมก็บอกว่า
"ป๋าครับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ขอให้ผมมานัดป๋าเพื่อขอเข้าพบมีเรื่องสำคัญมากที่จะกราบเรียน แล้วต้องกราบเรียนนายกรัฐมนตรีเท่านั้นจะกราบเรียนรองนายกฯก็ไม่ได้ เพราะมันสำคัญมาก"
ป๋ารู้ทันทีว่าเรื่องอะไร ป๋าก็บอกว่า
"รู้หรือเปล่าว่าป๋ายังไม่สบาย ยังไม่ได้ไปทำงานเลย ไม่ต้องมา ไปบอกด้วยว่าไม่ต้องมา การเมืองก็กำลังจะแย่"
ผมก็บอกว่า
"ป๋าครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ"
ป๋าก็บอกอีกว่า
"ไม่ต้องมา ไม่ต้องมา"
ผมก็ยังตื๊อท่านต่อไป ท่านก็ยืนยันว่า
"ไม่ต้องมา"
ผมก็บอกอีกว่า
"ถ้าอย่างนั้น ผมขอไปพบป๋า"
ป๋ายืนยันว่าไม่ต้องอีก ผมก็วางหู ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็โทรไปบอกท่านรัฐมนตรีสมหมายฯ ว่า
"ไม่สำเร็จ ป๋ารับไม่ได้ ป๋ายังป่วยอยู่"
ทุกคนที่กำลังนั่งรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านคุณสมหมายฯ ก็เซ็งหมด
ในที่สุดประมาณ 2 ทุ่ม รัฐมนตรีศุลี มหาสันทนะ ก็โทรมาหาผมว่า
"ท่านนายกฯ โทรมาบอกว่า อาจารย์โทรไปหาท่าน จะขอเข้าพบนายกฯ ใช่ไหม"
ผมก็ตอบว่า
"ใช่ครับ"
ท่านก็ถามอีกว่ามีเรื่องอะไรเล่าให้ผมฟังได้ไหม ผมก็ได้บอกและชี้แจงให้ท่านฟังหมดทุกอย่าง ใช้เวลาเข้าใจว่ากว่าสองชั่วโมงครึ่งทางโทรศัพท์ ท่านก็บอกว่า
"อาจารย์เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วผมจะโทรกลับมาอีกที"
ผมก็วางหูแล้วโทรไปรายงานรัฐมนตรีสมหมายฯ อีกครั้งว่า
"คุณศุลีโทรมา ผมเลยเรียนชี้แจงท่านไป 2-3 ชั่วโมง รัฐมนตรีสมหมายฯ จะถือไหม ถ้าหากว่าผมจะนัดให้ทีมเราไปพบรัฐมนตรีศุลีฯ แทนป๋าพรุ่งนี้ ที่ห้องทำงานของท่านรัฐมนตรีศุลีฯ"
คุณสมหมายฯ ก็ตอบผมว่า
"อาจารย์ ถ้าผมจะต้องทำอะไรก็ตามที่จะทำให้การผลักดันนโยบายสำคัญของชาติอันนี้เป็นผลสำเร็จ ผมยินดีทำทั้งสิ้น ผมไม่ถือเรื่องเกียรติยศหรือว่าเรื่องอะไรทั้งนั้น ถ้าหากนายกฯ สั่งให้ผมพบใคร แล้วผมถือว่าผมทำตามคำสั่งได้ทั้งสิ้นถ้าหากว่างานแก้ไขปัญหาการเงินการคลังของชาติจะได้ทำสำเร็จลุล่วงไป"
ผมก็บอกว่า
"ถ้าอย่างนั้นท่านรัฐมนตรีเตรียมพร้อมไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวท่านรัฐมนตรีศุลีฯ จะโทรมา ผมจะถือโอกาสนัด"
1-2 ชั่วโมงต่อมา ท่านรัฐมนตรีศุลีฯ ก็โทรมาบอกว่า
"พรุ่งนี้ อาจารย์มาหาผมได้ไหม"
ผมก็บอกว่า
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ผมขออนุญาตให้รัฐมนตรีสมหมายฯ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ และผมไปพบท่านที่ทำเนียบ ท่านจะขัดข้องไหม"
ท่านก็บอกว่า
"เอ๊ะ อาจารย์มาก่อนดีกว่า"
ผมก็บอกท่านอีกว่า
"ไม่ได้ครับ เพราะเวลาไม่มีแล้ว ขออนุญาตให้รัฐมนตรีคลังไปพร้อมกัน"
ท่านก็บอกว่า
"ผมมาทำงานเช้านะ ประมาณ 7 โมง"
ผมก็ตกลงว่าจะไปหาท่าน 7 โมงเช้า
แต่รู้สึกว่าท่านยังไม่โอเค ท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อน วางหูก่อน
ก็คงโทรไปหาป๋า
ประเดี๋ยวท่านก็โทรมาอีกบอกว่า
โอเค ผมก็โทรไปบอกท่านรัฐมนตรีสมหมายว่า โอเค
วันรุ่งขึ้น 7 โมงเช้า เราก็ยกพวกกันไป ปรากฏว่าท่านรัฐมนตรีศุลีฯ ยังไม่มา 8 โมงเช้าก็ยังไม่มา พอ 8 โมงครึ่งเรากำลังจะกลับกัน เพราะรัฐมนตรีสมหมายฯ ท่านก็รอมาชั่วโมงกว่า สักครู่ ท่านรัฐมนตรีศุลีฯ ก็เดินเขยก ๆ ขึ้นมาที่บันได ท่านก็บอกว่า
"ขอโทษเถอะ พอดีไปประชุมกรรมาธิการที่สภาฯ"
แต่ผมเชื่อว่าท่านไปอยู่กับป๋า
พวกเราก็ดีใจ แห่กันเข้าไปในห้อง ให้คุณกำจรฯ เป็นคนนำ เสร็จแล้วรัฐมนตรีศุลีฯ ก็บอกว่า
"เอาละ ผมเข้าใจและรับทราบข้อมูลแล้ว ผมขอหารือกับดร.วีรพงษ์ฯ"
พอคนอื่นไป ท่านก็จัดแจงต่อสายให้ผมพูดกับป๋า ป๋าก็บอกว่า
"วีรพงษ์ฯ คุณศุลีฯ มารายงานแล้วว่า เราจะมาพูดเรื่องอะไร เรื่องมันเป็นอย่างไรนะ เล่าให้ป๋าฟังอีกที ทางโทรศัพท์นี่แหละ"
ผมก็เล่าให้ป๋าฟังเหมือนกับที่เล่าให้คุณศุลีฯ ฟัง โดยยกตัวอย่างข้อดีเรื่องสินค้าเกษตรที่ส่งออก เหรียญหนึ่งเมื่อก่อนได้ 23 บาท แต่เดี๋ยวนี้จ่าย 27 บาท ราคาเป็นเงินบาทมันก็ต้องขึ้น อะไรก็ว่ากันไป สำหรับการนำเข้าเมื่อก่อนซื้อรถเหรียญหนึ่งต้องจ่าย 23 บาท เดี๋ยวนี้จ่าย 27 บาท คนก็จะไม่ซื้อ คนจะซื้อน้อยลง อะไรก็ว่ากันไป ส่วนเรื่องข้อเสียผมไม่ค่อยพูดเท่าไหร่
แล้วป๋าก็บอกว่า
"ผลดี เอาล่ะพอจะฟังไว้ก่อน แต่ผลเสียรู้สึกว่าเราไม่ค่อยเน้นเลย เราจะมีแนวโน้มไปทางรัฐมนตรีคลังเกินไป ให้ไปค้นข้อเสียและวิธีแก้ไขว่ามีอะไรบ้าง"
ผมก็บอกว่า
"กราบเรียนป๋าเดี๋ยวนี้เลย ว่าข้อเสียที่สำคัญที่สุดของการลดค่าเงินบาทมีอยู่ 2-3 ประการคือ
1. จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ เพราะเหตุว่าของที่นำเข้ามาจะต้องมีราคาเป็นเงินบาทแพงขึ้น แต่สิ่งที่เป็นตัวฉุดให้เงินเฟ้อสูงเท่าที่ผ่านมา 2-3 ปีนี้คือราคาน้ำมันและค่าบริการรัฐวิสาหกิจ ถ้าหากว่ามีการลดค่าเงินบาท แล้วเราปล่อยให้เงินเฟ้อมันเฟ้อในอัตราเดียวกับการลดค่าเงินบาท แปลว่าเจ๊ากัน ไม่มีประโยชน์อะไรในการส่งออก เพราะของก็แพงขึ้นในอัตราที่เท่ากับการลดค่าเงินบาท ของส่งออกก็ราคาเดิม ไม่มีประโยชน์
บางประเทศยิ่งแย่กว่านั้นใหญ่ ก็คือว่า เมื่อลดค่าเงินแล้วปล่อยให้เงินเฟ้อสูงกว่าอัตราการลดค่าเงิน เช่น เราลดตอนนี้ 15% ถ้าเงินเฟ้อเกิน 15% ของส่งออกแทนที่จะถูกลง แต่กลับแพงขึ้นอีก ก็ยิ่งเป็นผลร้าย การลดค่าเงินบาทก็จะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อมีอยู่ 2-3 อย่าง คือ ราคาน้ำมันและค่าบริการสาธารณูปโภค [ต้นฉบับเขียนว่า "ค่าบริหาร" แต่ผู้เขียนเห็นว่าควรเป็น "ค่าบริการ": ผู้เขียน] วิธีแก้ก็คือต้องตรึงพวกนี้ไว้ก่อน เมื่อประกาศลดค่าเงินบาทแล้วต้องตรึงราคาน้ำมันและค่าบริการสาธารณูปโภคไว้ก่อน ถ้าจะต้องชดเชยก็ต้องชดเชยไประยะหนึ่งก่อน
2. เมื่อมีการลดค่าเงินบาทแล้ว ก็จะทำให้ระบบงบประมาณปั่นป่วนหมด เพราะหน่วยราชการที่ได้งบประมาณไปแล้วไม่สามารถที่จะตรึงราคารายจ่าย เพราะงบที่ให้ไปก่อสร้างหรือเป็นงบที่จะต้องซื้อของมาจากต่างประเทศจะไม่พอ เช่น งบซื้ออาวุธจากกองทัพ
ถ้าไปเพิ่มงบประมาณก็จะทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น เป็นผลให้เกิดความกดดันทางด้านเงินเฟ้อ ก็จะทำลายผลการลดค่าเงินบาท เพราะฉะนั้นต้องตรึงงบประมาณรายจ่ายไว้เท่าเดิม แล้วปล่อยให้หน่วยราชการนั้นร้องขอกันไปหรืออย่าเพิ่งชำระ หรืออย่าเพิ่งซื้อ หรือใครไปทำสัญญาซื้อแล้ว เลิกได้ก็เลิกเสีย ถ้าเลิกไม่ได้ สินค้าเขาเอามาส่งแล้ว ก็ให้มาตกลงกับสำนักงบประมาณ ให้ทยอยงบออกมา อย่าปล่อยออกมาปึ้งเดียว เพราะมันจะเป็นการเพิ่มเงินเฟ้อ
ป๋าก็บอกว่า
"อย่างนี้รัฐบาลล้มแน่ หน่วยราชการต่าง ๆ เขาเอาตาย"
ผมก็บอกว่า
"มันก็จำเป็น ถ้าไปเพิ่มงบประมาณตามเปอร์เซ็นต์ของการลดค่าเงินบาท ก็จะไปลบล้างผลของการลดค่าเงินบาท ซึ่งหลายประเทศไม่เข้าใจและลดค่าเงินของตนลงไปแล้วไม่เกิดผลอะไรเลย เราต้องไม่ทำอย่างนั้น"
3. เอกชนที่ไปกู้ยืมเงินมา ก็จะต้องมีภาระในการชำระคืนเงินกับต่างประเทศมากขึ้น หรือรัฐวิสาหกิจที่กู้เงินมาแล้วก็จะต้องเอาเงินบาทไปใช้หนี้มากขึ้น โดยไปซื้อดอลลาร์ได้เท่าเดิม เขาคงจะโวยวาย
แต่ในกรณีของรัฐวิสาหกิจไม่เป็นไรหรอก ให้กรมบัญชีกลางจัดการได้ ที่จะทยอยหรือว่าลดกำไรที่จะส่งคลัง อะไรก็ว่ากันไป ส่วนเอกชนต้องเดือดร้อนแน่นอน ดูเหมือนเขาจะเดือดร้อน แต่จริง ๆ แล้วเขาไม่เดือดร้อน เพราะโรงงานหรืออะไรต่าง ๆ ที่เขานำเข้ามาแล้ว มูลค่าเป็นเงินบาทมันก็สูงขึ้นไปตามการลดค่าเงินบาทด้วย แต่เขาไม่รู้ เพราะเขาดูเฉพาะหนี้ที่จะต้องชำระเท่านั้น ระยะยาว สองตัวนี้มันจะสมดุลกันไปเอง และเอกชนจะไม่มีวันเข้าใจตรงนี้ แล้วจะทำอย่างไร
ในแง่การเมืองรัฐมนตรีสมหมายฯ จะเรียกเขามาแล้วบอกว่า ใครขาดทุนอย่างไรจะชดเชยให้
ก่อนที่จะลดค่าเงินบาทมีมาตรการอันหนึ่ง คือ ออกระเบียบให้ผู้ส่งออกเนี่ย ต้องนำเงินตราต่างประเทศมาขายให้กับธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น เพราะตอนนั้นทุนสำรองเราไม่มี เราบังคับทุกวิถีทางเพื่อจะได้เงินดอลลาร์
4. ผู้ส่งออกที่เราบังคับให้เขามาส่งมอบเงินส่งออกให้เราในอัตราแลกเปลี่ยนเดิม เขาจะขาดทุนหมดเลย คือ พอได้ LC (LETTER OF CREDIT) มาปุ๊บต้องไปส่งมอบเงินส่งออก พอเขาได้เงินดอลลาร์มา เขาก็ได้ในอัตราเดิม หายไปสัก 4 บาท ตรงนี้ผมว่าไม่แฟร์กับเขาเราต้องชดเชยให้เขา
ป๋าถามผมว่า
"แล้วชาวไร่ชาวนาได้อะไร"
ผมก็ชี้แจงว่า
"ราคาสินค้าเกษตรมันจะต้องสูงขึ้น"
ป๋าก็ถามต่อว่า
"เอ้า แล้วถ้าพ่อค้าเขาลดราคาลง"
ผมก็บอกว่า
"ถ้าเขาลดราคาลง เขาก็ขายได้มากขึ้น กลไกตลาดมันอาจจะต้องทำทั้งสองอย่าง"
ป๋าถามว่า
"เอ้า แล้วผู้นำเข้าวัตถุดิบต่าง ๆ ก็แย่ซิ"
ผมตอบว่า
"ถ้าเขานำเข้าวัตถุสิ่งของต่าง ๆ แล้วเขาส่งออกก็เจ๊ากันไป ไม่กระทบ เพราะเขาจ่ายเป็นเงินบาทนำเข้าวัตถุดิบ ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น 15% แต่ถ้าเอาส่งออกไปขายราคาเดิม เขาก็ได้เงินบาทเพิ่มขึ้น 15% ก็เจ๊ากันพอดี แต่ถ้าเผื่อนำเข้ามาขายเมืองไทยอย่างนี้ต้องขึ้นราคา ถ้าไม่ขึ้นราคาก็เข้าเนื้อ
ซึ่งเราต้องการให้ใช้ของไทยอยู่แล้ว Discourage เพื่อจะให้ Local Content ของเรามากขึ้น การลดค่าเงินบาทจะเป็นการดี ถ้ามีการใช้ Local Content ให้มากขึ้น มากขึ้น"
ประเด็นทั้งหมดนี้ ป๋าก็ซักไปซักมาใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงได้ทางโทรศัพท์ ป๋าก็บอกผมว่า
"เอาล่ะ ยังนึกคำถามต่าง ๆ ไม่ออก เพราะป๋าไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวป๋าจะนึกคำถามใหม่ ให้เราเตรียมตอบไว้"
แล้วป๋าขอพูดโทรศัพท์กับคุณศุลีฯ ผมก็ให้คุณศุลีฯ พูดกับป๋า ผมออกมารออยู่ ข้างนอก วันนั้นเป็นวันอังคารครับ
หลังจากนั้น รัฐมนตรีศุลีฯ ชวนกินข้าวกลางวัน ท่านก็ถามผมแง่โน้นแง่นี้อะไรต่าง ๆ เสร็จแล้วท่านก็ไปหาป๋า ให้ผมเตรียมพร้อมอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งประมาณตอนเย็น รัฐมนตรีศุลีฯ โทรมาบอกให้ผมไปเรียนรัฐมนตรีสมหมายฯ ว่า อนุญาตให้เตรียมการเรื่องต่าง ๆ ไว้ได้ แต่ยังไม่อนุมัติ เพราะยังมีข้อข้องใจประเด็นอื่นอีกหลายอย่าง ให้เตรียมตอบคำถามต่าง ๆ ซึ่งอาจจะมีมาเรื่อย ๆ
จากนั้น ผมก็โทรไปเล่าให้รัฐมนตรีสมหมายฯ ฟังว่า ป๋าถามเรื่องอะไร ผมตอบไปยังไง อะไรต่าง ๆ แล้วผมก็นัดพบกับรัฐมนตรีสมหมายฯ ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้า 9 โมงเช้า เพื่อเตรียมการเรื่องต่าง ๆ
ท่านถามผมว่าจะเอาที่ไหนเป็นศูนย์ ที่กระทรวงการคลังก็ไม่เหมาะ เพราะไม่มีที่กั้นอะไร นักข่าวก็เยอะ ผมบอกว่าน่าจะไปเอาที่แบงก์ชาติเป็นศูนย์ พวกเราก็ตกลงเอาแบงก์ชาติเป็นศูนย์
พอมาวันรุ่งขึ้น เป็นวันพุธ ทีมเราก็ไปตั้งกองบัญชาการกันอยู่ที่แบงก์ชาติ เพื่อเตรียมว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ป๋าก็โทรมาถามผมอีกว่า
"ทำไมต้องเป็น 27 ทำไมไม่เป็น 25"
ผมต้องอธิบายป๋าอีก ทีนี้ค่อนข้างจะเทคนิค ผมเรียนป๋าว่า
"ป๋าครับ วิธีที่เขาคำนวณมาได้ว่า ทำไมต้อง 27 บาท ทำไมไม่ 25, 26, หรือ 28 บาท เขาใช้ดัชนี 6 อย่าง คำนวณแล้วว่าค่าเงินของเราที่แท้จริงเนี่ย ควรจะอยู่ตรงไหน เราก็ควรจะไปลดไว้ตรงนั้น แต่ว่าดัชนี 6 อย่างนี้ ผมไม่สามารถอธิบายได้เพราะมันเป็นสูตรอะไรต่าง ๆ ซึ่งไม่จำเป็น
เอาเป็นหลักการว่าถ้าเราลดค่าเงินบาทไม่พอแล้วประชาชนหรือวงการธุรกิจการเงินเกิดรู้ว่าเราลดค่าเงินบาทไม่เพียงพอเขาต้องเดาเอาว่าเราจะต้องลดต่อ และเมื่อนั้นจะเกิดการอลเวงในระบบการเงิน จะมีการคาดการณ์ มีการเก็งกำไรต่อไป
เพราะฉะนั้น ถ้าจะลดค่าเงินบาท ต้องลดให้เพียงพอ จนกระทั่งสาธารณชนเชื่อว่า ได้ลดมาอยู่ที่มูลค่าที่แท้จริงแล้ว เขาก็จะเกิดความเชื่อมั่นว่าไม่มีการลดต่อไปอีก การคาดการณ์ทั้งหลายก็จะไม่เกิดปัญหาต่าง ๆ ก็ไม่อลเวง"
ป๋าถามผมต่ออีกว่า
"เรารู้ได้ยังไงว่าค่าที่แท้จริงอยู่ที่ 27 แล้วทำไมไม่เป็น 26 หรือ 25"
ผมก็บอกว่า
"อันนี้มัน Technical ครับ เขามีหลักวิชา มีการคำนวณที่แน่นหนา เขาเช็คกันไปเช็คกันมาแล้ว อันนี้ผมเองก็ชี้แจงไม่ได้หรอก แต่เราต้องเชื่อมั่นว่าทางฝ่ายเทคนิคดูกันแล้ว"
ป๋าก็ถามผมต่อว่า
"เราเป็นคนลงไปดูกับเขาหรือเปล่า"
ผมก็ตอบว่า
"เปล่าครับ อันนี้มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องเทคนิค ถ้าจะให้ผมลงก็ต้องใช้เวลาอีกสักอาทิตย์หนึ่ง ผมจะไปรื้อดูว่าดัชนี 6 อย่างนี้ว่าทำไมต้องมาชนกันที่ 27"
ป๋าถามต่อว่า
"ใครทำ พวกไหนทำ เราไปเชื่อฝรั่งหรือ"
ผมก็ตอบว่า
"ไม่ใช่ครับ ดร.ไชยวัฒน์ วิบูลสวัสดิ์ เป็นคนทำครับ [ชื่อที่ถูกต้องเขียนว่า "ดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์": ผู้เขียน] ฝรั่งเขาบอก 27 เมื่อปลายปี 2526 ครับ ถ้าเป็นตอนนี้ฝรั่งคงต้องบอก 29 ถ้าจะเอาตามฝรั่งต้อง 29 ครับ อันนี้พวกเราดึงแล้วครับป๋า"
ป๋าก็พูดว่า
"อ้อ อย่างนั้นเหรอ"
แล้วท่านก็วางหูโทรศัพท์
2-3 ชั่วโมงต่อมา ป๋าก็โทรมาถามอีก
"ทำไมต้องวันที่ 2 เรารออีกเดือนไม่ได้หรือ รอให้เขาตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก่อนไม่ได้หรือ เพราะจะได้เรียบร้อย ตอนนี้ยังปั่นป่วนอยู่"
ผมก็บอกท่านว่า
"ไม่ได้ครับป๋า"
ป๋าถามต่อว่า
"ทำไม"
ผมไม่รู้ว่าท่านไปเอาคำถามมาจากไหน
ผมบอกว่า
"ป๋าครับ ที่พวกผมต้องรีบทำก็เพราะคนมันคาดการณ์ว่าเราอยู่ไม่ได้ ถ้าเผื่อเรารอไปถึงตอนนั้นหรือตอนหลังปีใหม่ คนไปซื้อดอลลาร์กันหมดแบงก์ชาติแน่ แล้วเราไปทำเอาช่วงนั้น เขาก็มีกำไรดีหมด เราเลยทำไม่ได้"
ป๋าก็บอกว่า "อ้อ อย่างนั้นเหรอ" แล้วก็วางหู
พวกเราก็ทำงานกันต่อไป จนประมาณ 5 โมงเย็นของวันนั้น ป๋าก็โทรมาอีกว่า
"วีรพงษ์ฯ ให้ไปเรียนรัฐมนตรีสมหมายฯ ว่า ให้เตรียมการทั้งหมดให้พร้อม ในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ 9 โมงเช้าให้ไปพบนายกรัฐมนตรีรักษาการ คือ พลเอก ประจวบฯ แล้วชี้แจงให้ พลเอก ประจวบฯ เข้าใจ เพราะตอนนี้ป๋าไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ก็สุดแท้แต่รองนายกฯ ถ้าเราชี้แจงไม่ดี ท่านอาจไม่อนุมัติ"
ผมก็ไปบอกรัฐมนตรีสมหมายฯ และก็หัวร่อในใจถึงลูกเล่นของป๋า
ในวันรุ่งขึ้น พวกเรา มีคุณสมหมายฯ ผู้ว่าแบงก์ชาติก็ไปประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ไปนั่งรอ
แล้วรองฯ ประจวบฯ ท่านก็เข้ามานั่ง พูดว่า
"เรื่องอะไรก็ว่ามา"
คุณสมหมายฯ ก็ชี้แจง ผู้ว่าแบงก์ชาติก็ชี้แจง ส่วนผมไม่ทันใจก็ชิงชี้แจงด้วย
รองฯ ประจวบฯ ทำหน้าเครียดพูดว่า
"เราเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติเหรอ มาชี้แจงทำไม"
ผมก็บอกว่า
"เปล่าครับ ผมใจร้อน"
ก็ชี้แจงไปประมาณชั่วโมง รองฯประจวบฯ ก็เงยหน้าขึ้นมาพูดว่า
"รัฐมนตรีสมหมายฯ ผมหมดพุงแล้วไม่รู้จะถามอะไร ท่านนายกฯ เขาตั้งคำถามมาให้แค่นี้ ท่านนายกฯ บอกถามจบแล้วให้อนุมัติ เอามานี่"
ผมนึกขำอยู่ในใจ วันนั้นประมาณวันพฤหัสบดี
ถัดมาอีกวันเป็นวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน เราก็คิดว่าจะให้กรมประชาสัมพันธ์ออกข่าว คือแบงก์ Construction พวกนี้ตอนเที่ยง (ธนาคารพาณิชย์หยุดการซื้อขายเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตอนเที่ยง) ตอนบ่ายโมงไม่มีการซื้อขายกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศแล้ว แต่สามารถซื้อขายกันเองได้จนถึงบ่าย 3 โมง เพราะฉะนั้น ผมเข้าใจว่า เราให้กรมประชาสัมพันธ์ออกข่าวบ่าย 4 โมง มีแถลงการณ์อะไรต่าง ๆ ตามที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วมีการออกข่าวอีกครั้งตอน 1 ทุ่ม
ในตอนบ่าย 4 โมง เราก็ไปตามตัว รัฐมนตรี โกศล ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพราะคนนี้จะต้องประกาศตรึงราคาสินค้า น้ำมัน โดยรัฐมนตรีพาณิชย์จะต้องไปเอาอธิบดีกรมการค้าภายใน อธิบดีกรมอะไรต่าง ๆ มาประชุมกันเพื่อออกมาตรการในคืนนั้น เพราะฉะนั้น ในช่วงประมาณ 2 ทุ่มก็มีประกาศกระทรวงพาณิชย์เป็นฉบับ ๆ ออกมา ในเรื่องการตรึงราคาสินค้า ประกาศกำหนดโทษ อะไรต่ออะไรต่าง ๆ
พอวันเสาร์-อาทิตย์ ผมบอกรัฐมนตรีสมหมายฯ ว่า "ผมเหนื่อย" รัฐมนตรีสมหมายฯ ก็บอกว่า "ผมก็เหนื่อยเท่าอาจารย์" ผมบอกรัฐมนตรีฯ อีกว่า ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของท่านแล้วนะ ผมคงหมดภาระหน้าที่แล้ว"