26 สิงหาคม 2563

คอลัมน์รายสะดวก: "ป๋าเปรม" รัฐบุรุษตลอดกาล
(ฉบับสมบูรณ์)
100 ปี ชาตกาล ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
(โพสต์ครั้งแรก 26 พฤษภาคม 2563)

วันนี้เมื่อปีที่แล้ว 26 พฤษภาคม 2562

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่สุดครั้งหนึ่ง ตั้งแต่ติดตามการเมืองไทยมา 10 กว่าปี

ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เนื่องจากระบบหัวใจล้มเหลว ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เวลา 9.09 น. สิริอายุ 99 ปี

ผมช็อคไปพักใหญ่

ก่อนหน้านั้นไม่กี่สัปดาห์ ท่านยังร่วมถวายน้ำพระมุรธาภิเษกแด่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอยู่เลย

ไม่คิดว่าท่านจะจากไปก่อนอายุครบ 100 ปี

ด้วยความคิดถึงป๋า ผมจึงตั้งใจว่าจะเขียน "คอลัมน์รายสะดวก" ในวันนี้ เพื่อรำลึกถึงป๋าโดยเฉพาะ และตั้งใจว่าจะโพสต์ซ้ำในวันที่ 26 สิงหาคม (วันเกิดป๋า) อีกครั้งหนึ่ง ในโอกาส 100 ปีชาตกาลของท่านด้วย

ความจริงผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับป๋าเปรมมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจะเขียนให้ละเอียดกว่าครั้งก่อน ๆ เพราะฉะนั้น คอลัมน์วันนี้จะยาวเป็นพิเศษ แต่อยากให้อ่านจนจบครับ

ก่อนที่ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม 2523 ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม กำลังรุมเร้าประเทศไทยอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2522

ปีนั้นเกิดวิกฤตการณ์ราคาน้ำมันขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นไปเท่าตัว เอาแค่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ก็พุ่งจากประมาณ 18 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไปอยู่ที่เกือบ 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

เมื่อเป็นอย่างนี้ ประเทศไทยก็เดือดร้อน เพราะต้องนำเข้าน้ำมันแพงขึ้น และคนไทยก็ยังมีความต้องการใช้อยู่มาก

แต่ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่เราต้องใช้ในการซื้อน้ำมันก็เหลือน้อยลง จากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่รุนแรงขึ้นในตอนนั้น

และที่แย่ที่สุดก็คือ ตอนนั้นประเทศไทยพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรราวครึ่งหนึ่งของการส่งออกสินค้าทั้งหมด แต่ราคาสินค้าเกษตรตอนนั้นดันตกต่ำไปทั่วโลก

ประเทศไทย "แทบไม่มีเงิน" จะไปซื้อน้ำมันแล้ว

"ปัญหาเงินเฟ้อ" จึงตามมา

ช่วงแรก ๆ ของวิกฤตการณ์ อัตราเงินเฟ้อของไทยพุ่งสูงถึง 25% หมายความว่าราคาสินค้าโดยรวมของไทยแพงขึ้นอย่างมาก ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากที่ป๋าเปรมเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว รัฐบาลยังประสบวิกฤตเงินคงคลัง ซึ่งเกิดจากนายบุญชู โรจนเสถียร จากพรรคกิจสังคมซึ่งร่วมรัฐบาลอยู่ด้วยตอนนั้น ใช้นโยบายการคลังแบบ "เจ้าบุญทุ่ม" ในโครงการเงินผัน จนเงินคงคลังเกือบหมด (ต่อมาพรรคกิจสังคมออกจากการร่วมรัฐบาล จากกรณีที่เรียกว่า "เทเล็กซ์น้ำมันอัปยศ")

และตอนนั้นรัฐบาลมีปัญหาเก็บภาษีได้น้อยกว่าเป้าหมาย รวมถึงขาดดุลงบประมาณอยู่แล้วด้วย

เมื่อการเงิน "ฝืดเคือง" และคลัง "ถังแตก" รัฐบาลป๋าเปรมจึงต้องใช้นโยบายการเงินการคลังแบบ "รัดเข็มขัด" เพื่อแก้ปัญหาที่ว่ามานี้

ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่ป๋าเข้ามาเป็นนายกฯ ก็เริ่มมีมาตรการประหยัดพลังงาน เช่น การปิดปั๊มน้ำมันหลัง 6 โมงเย็น จำกัดการเติมน้ำมันสำหรับรถแต่ละคัน

แม้แต่สถานีโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ (ซึ่งตอนนั้นมีอยู่แค่ 4 ช่องในกรุงเทพฯ คือช่อง 3 กับช่อง 9 ของ อ.ส.ม.ท. และช่อง 5 กับช่อง 7 ของกองทัพบก) ก็ต้องปิดสถานีพักการออกอากาศช่วง 18.30 - 20.00 น. เพื่อประหยัดไฟ

ปี 2524 ประเทศไทยมีการลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้ง จนอยู่ที่ระดับ 23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อส่งเสริมการส่งออก และจากปัญหาเงินเฟ้อ รัฐบาลจึงมีการควบคุมราคาสินค้าในประเทศ เป็นการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน

แต่ในช่วงเดียวกันนี้เอง ประเทศไทยโชคดี เพราะมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบทั่วประเทศ สมัยนั้นเราเรียกกันว่า เป็นยุค "โชติช่วงชัชวาล"

แม้ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่พบ จะยังไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของคนทั้งประเทศ แต่ก็ช่วยลดภาระการนำเข้าพลังงานได้

นอกจากนี้ รัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ยังได้ริเริ่มแผนพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 - 2529) ซึ่งมีทั้งท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม

เป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยครั้งใหญ่ เราจะได้ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากสินค้าเกษตรเพียงอย่างเดียว

หลายครั้งที่ป๋าเปรมไปเยือนต่างประเทศ หรือต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ท่านก็ยังได้พูดเชิญชวนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วย

ส่วนการแก้ปัญหาด้านการคลังของรัฐบาล หลังจากปู่สมหมาย ฮุนตระกูล เข้ามาเป็น รมว.คลัง แทนนายอำนวย วีรวรรณ รัฐบาลป๋าได้กลับมา "รักษาวินัยทางการคลัง" อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และลดการก่อหนี้สาธารณะในแต่ละปีลง

สมัยนั้น แม้กระทั่ง "แชมเปญ" ป๋าก็ไม่เปิดดื่มอวยพรครับ... "ไวน์คูลเลอร์" ก็พอ!!!

ช่วงปี 2526 - 2527 ปัญหาเงินเฟ้อในประเทศเริ่มบรรเทาลง อัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือประมาณ 3 - 5% หมายถึงราคาสินค้าในประเทศเริ่มเสถียร

ราคาน้ำมันดิบตอนนั้นก็ลดลงมาหน่อยนึงแล้วด้วย อย่างน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ราคาลดลงอยู่ประมาณ 30 เหรียญสหรัฐต้น ๆ ต่อบาร์เรล

แต่ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็ยังเรื้อรังอยู่ เนื่องจากค่าเงินบาท (ซึ่งตอนนั้นผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ทำให้มีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น แต่การส่งออกไม่ดีขึ้นตาม ถ้าปล่อยไว้ละก็.........

คำว่า "ล้มละลาย" สำหรับประเทศไทยในตอนนั้น "ไม่เกินจริง" เลย!!!

จึงเป็นที่มาของ "ไม้ตายสุดท้าย" ที่รัฐบาลป๋าเปรมและแบงก์ชาติใช้ นั่นคือการ "เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน" เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2527 โดยเปลี่ยนจากการผูกติดกับสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพียงสกุลเดียว ไปใช้ระบบ "ตะกร้าเงิน" ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น พร้อมกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนภายใต้ระบบนี้ ให้เริ่มต้นที่ 27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

นัยหนึ่งก็คือ "ลดค่าเงินบาท" ลงมาก่อน พร้อมเปลี่ยนไปใช้ระบบตะกร้าเงิน

แน่นอนว่า การลดค่าเงินบาทครั้งนี้ มีคน "เดือดร้อน" ครับ

"บิ๊กซัน" พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบกในสมัยนั้น ถึงกับออกทีวีช่อง 5 กับช่อง 7 หลังการลดค่าเงินบาทไม่กี่วัน วิจารณ์การลดค่าเงินบาทครั้งนี้อย่างรุนแรง เพราะกองทัพต้องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แพงขึ้น และอ้างว่าประชาชนจะเดือดร้อน

"...ไม่ใช่อยู่ ๆ ปิดเป็นความลับ แล้วประกาศโครมเดียวลด 4 บาท คนมันฉิบหายขายตัวครับ คนมันถึงขนาดจะต้องยิงตัวตายฆ่าตัวตาย..." บิ๊กซันกล่าวช่วงหนึ่ง

เวลาเดียวกันนั้นเอง "อาจารย์หม่อม" หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคม ซึ่งกลับมาร่วมรัฐบาลป๋าเปรมอีกครั้ง ได้ออกทีวีช่อง 3 กับช่อง 9 ชี้แจงความจำเป็นในการลดค่าเงินบาท

บรรยากาศเทียบกับอีกฝั่งนึง "คนละฟีล" เลยครับ อาจารย์หม่อมอธิบายดี เข้าใจง่าย

"...ดอลลาร์มันแพงขึ้นก็จริง แต่เงินบาทมันก็เท่าเก่า เราใช้เงินบาทไปซื้อเงินดอลลาร์ต่างหากที่ทำให้ต้องซื้อแพงขึ้น เงินบาทของเรามันก็เป็นเงินบาทอยู่อย่างนั้น..." อาจารย์หม่อมชี้แจง

จากการ "ดวลวาทะ" กลางอากาศของสองฝั่งนี้เอง ที่กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างป๋าเปรมกับบิ๊กซันในเวลาต่อมา

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพสมัยนั้น ยื่นหนังสือถึงป๋าเปรม ขอให้มีการปรับ ครม. (เข้าใจว่าคงขอให้ปรับปู่สมหมายออก) แถมยังยื่นคำขาดให้ป๋าลาออกด้วย

แต่ป๋าท่านก็ชี้แจงว่า ได้ปรึกษากับหลาย ๆ ท่านแล้ว เห็นสมควรต้องลดค่าเงินบาท เพื่อกู้ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ

คำขวัญ "มุ่งประหยัด เร่งรัดนิยมไทย ร่วมใจส่งออก" เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่นานนัก

ทั้งหมดนี้ ทำให้การส่งออกขยายตัวขึ้นอย่างมาก ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลมาหลายปีก็ดีขึ้นจนเกินดุลในปี 2529 ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ประเทศไทย "รอด" จากภาวะเกือบล้มละลาย

และจากการรักษาวินัยทางการคลังอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2531 รัฐบาลสามารถตั้งงบประมาณแบบเกินดุลได้ และเป็นอย่างนี้เรื่อยมาจนถึงปีงบประมาณ 2539

อาจารย์สมชัย จิตสุชน จาก TDRI เรียกนโยบายการคลังแบบนี้ว่า Conservative Fiscal Policy หรือนโยบายการคลังแบบอนุรักษ์

ปัจจัยภายนอกประเทศที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยอย่างหนึ่ง คือ การที่ญี่ปุ่นลงนามใน Plaza Accord เมื่อเดือนกันยายน 2528 เพื่อให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เพราะญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่มาก

บริษัทญี่ปุ่นจึงใช้วิธีการ "ย้ายฐานการผลิต" ไปยังประเทศที่มีค่าเงินอ่อนกว่าเพื่อลดต้นทุนการผลิต ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาแล้ว หลาย ๆ ประเทศ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ สหรัฐ ก็ตามญี่ปุ่นมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ Eastern Seaboard ที่ผมพูดถึงไปแล้วก่อนหน้า

เศรษฐกิจไทยจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 13.3% ในปี 2531 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี

ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ "ยุคทองทางเศรษฐกิจ" ตั้งแต่ช่วงปี 2530 เป็นต้นมา

ทั้งหมดนี้คือ "คุณูปการ" ด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลป๋าเปรม

ที่จริงแล้ว ในขณะที่รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาเศรษฐกิจอยู่นั้น ก็ยังทำงานร่วมกับสภาพัฒน์ ในการแก้ปัญหา "ความยากจน" ในชนบทด้วย

ยุคนั้นมีการตั้งคณะกรรมการพัฒนาชนบทแห่งชาติ หรือ กชช. ขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบท ให้ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้มากขึ้น โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ และมีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายที่ชัดเจนในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5

มีการตั้งคณะกรรมการสร้างงานในชนบท หรือ กสช. เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานตามฤดูกาลของคนในชนบท พูดง่าย ๆ ก็คือ ช่วงฝนแล้ง ชาวบ้านทำการเกษตรไม่ได้ เลยว่างงานในช่วงนี้ทุกปี จึงมีการตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การที่รัฐบาลได้จัดตั้ง "คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" หรือ กปร. เพื่อให้การดำเนินงานของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงสนพระทัยและทรงดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของพสกนิกรทั่วประเทศ

การดำเนินการต่าง ๆ ของรัฐบาลและสภาพัฒน์ในสมัยนั้น รวมถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ทำให้คุณภาพชีวิตของประชาชนในชนบทดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

ส่วนด้านการเมืองและความมั่นคง ต้องเท้าความถึงปัญหาคอมมิวนิสต์ที่เรื้อรังมานานหลายปี ก่อนที่ป๋าจะเข้ามาบริหารประเทศ

ผมอาจอธิบายได้ไม่ละเอียดเท่าเรื่องเศรษฐกิจ แต่ก็พอสรุปได้ว่า ก่อนยุครัฐบาลป๋า ภาครัฐจะแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ด้วยการใช้อาวุธปราบปรามเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัญหาก็ไม่น้อยลงไปเลย

ช่วงที่ป๋าเปรมเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 คุมภาคอีสานอยู่ ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการแก้ปัญหา

จากการที่ป๋าอยู่ในพื้นที่ ได้ศึกษาปัญหามานาน ทำให้รู้ว่าต้นตอของปัญหาคอมมิวนิสต์ คือ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวันของชาวบ้าน และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ทำให้คนในพื้นที่บางส่วนเข้าร่วมกับพวกคอมมิวนิสต์

ป๋าจึงเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาไปใช้วิธีการสันติ และทำเรื่อยมาจนท่านขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ. และนายกรัฐมนตรี

เมื่อป๋าเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ท่านก็ได้ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 และ 65/2525 โดยมีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธไปเป็นแนวทางสันติ และพยายามให้มีการแก้ปัญหาความไม่ยุติธรรมในสังคมซึ่งเกิดจากเจ้าหน้าที่บางคนดังกล่าว เป็นการขจัดเงื่อนไขที่พรรคคอมมิวนิสต์ฯ ใช้โจมตีรัฐ

อันนี้แหละครับที่สำคัญ

เพราะการเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหาคอมมิวนิสต์ในยุครัฐบาลป๋าเปรม ประกอบกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเสื่อมทรุดลงจากการสนับสนุนจากต่างชาติที่น้อยลงไป ทำให้ปัญหาคอมมิวนิสต์ในบ้านเราคลี่คลาย กองกำลังติดอาวุธของพวกคอมมิวนิสต์ก็แทบจะหายไปเลย

"ความสงบสุข" กลับคืนสู่ประเทศไทยแล้ว

แต่ก็ยัง "ประมาทไม่ได้" แม้ทุกวันนี้!!!

ถ้าจะพูดให้เข้ากับตอนนี้ (ที่โควิดกำลังระบาด) ก็คือ "การ์ดอย่าตก" อย่างที่คุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิน พูดไว้นั่นแหละครับ

ด้วยคุณูปการอันใหญ่หลวงของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ หลังจากที่ท่านพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนสิงหาคม 2531 อันเป็นการลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม พร้อมกับอมตะวาจา "ผมขอพอ"

23 สิงหาคม 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นองคมนตรี และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ด้วย

นอกจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายปรีดี พนมยงค์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ และท่านอื่น ๆ แล้ว ก็มีแค่ "ป๋าเปรม" เท่านั้นที่เป็น "สามัญชน" ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ ตระกูลนี้

29 สิงหาคม 2531 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ประกาศยกย่อง ฯพณฯ พลเอกเปรม เป็น "รัฐบุรุษ"

และในวันที่ 4 กันยายน 2541 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ฯพณฯ พลเอกเปรม เป็น "ประธานองคมนตรี" แม้ในรัชกาลปัจจุบัน ก็ยังได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้เป็นประธานองคมนตรีเรื่อยมา

จนกระทั่ง ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2562

ปิดตำนาน "รัฐบุรุษ" 2 แผ่นดิน

จะไม่มีการเปิดบ้าน "สี่เสาเทเวศร์" ให้คณะบุคคลเข้าพบและอวยพรในโอกาสต่าง ๆ อีกต่อไป

พอพูดแบบนี้แล้ว ผมยอมรับว่า "ยังใจหาย" อยู่ถึงทุกวันนี้

แม้ในวิกิพีเดีย จะถือว่าตำแหน่งรัฐบุรุษของป๋า จะสิ้นสุดลงพร้อมกับการถึงแก่อสัญกรรม

แต่สำหรับผม ท่านคือ "รัฐบุรุษตลอดกาล" (Eternal Statesman)

ด้วยความเคารพยิ่ง

วีรภัทร ตั๊งวิบูลย์ชัย
26 พฤษภาคม 2563
(แก้ไขเพิ่มเติม 24 มิถุนายน 2563)

---------

อ้างอิง:

กองบรรณาธิการมติชน. (2550). 289 ข่าวดัง 3 ทศวรรษหนังสือพิมพ์มติชน (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มติชน.

จัตวา กลิ่นสุนทร. (บรรณาธิการ). (2538). รัฐบุรุษชื่อเปรม. กรุงเทพฯ: เจ.พลัส อิมเมจ แอนด์ พับลิชชิ่ง.

ธนาคารไทยพาณิชย์. (2561). วิวัฒนาการเศรษฐกิจไทยบนเส้นทางโลกาภิวัตน์: ตอนที่ ๔ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๖๐ [วีดิทัศน์]. กรุงเทพฯ: ธนาคารไทยพาณิชย์.

ประสงค์ สุ่นศิริ และ กองบรรณาธิการฐานเศรษฐกิจ. (2562). พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษคู่แผ่นดิน. กรุงเทพฯ: ซีเอ็ดยูเคชั่น.

ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ คริส เบเคอร์. (2546). เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ. เชียงใหม่: ซิลค์เวอร์ม.

มียู คอร์ปอเรชั่น. (2543). บันทึกเมืองไทย เศรษฐกิจ แผ่น ๔ [วีดิทัศน์]. กรุงเทพฯ: บี.เค.พี. อินเตอร์เนชั่นแนล.

รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. (ม.ป.ป.). นโยบายการคลัง ยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (2523 - 2526). สืบค้นจาก www.rangsun.econ.tu.ac.th/data/06/01-01-05/01-นโยบายการคลัง-ยุคพลเอกเปรม%202523-26.pdf

รายพระนามและชื่อผู้ได้รับพระราชทาน น.ร.. (2562, 29 พฤศจิกายน). สืบค้นจาก th.wikipedia.org/wiki/รายพระนามและชื่อผู้ได้รับพระราชทาน_น.ร.

สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์. (2542). การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไทย. กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.

สมลักษณ์ ส่งสัมพันธ์. (2558). Political Diary รัฐบาลหอยถึงรัฐบาลปู 37 ปี...ไดอารี่การเมือง. กรุงเทพฯ: โพสต์บุ๊กส์.

สุทธิชัย หยุ่น. (ผู้ดำเนินรายการ). (2562, 18 มิถุนายน). กาแฟดำค่ำนี้: เปิดใจ ดร.ไตรรงค์ ถึงป๋าเปรม ตอน2 [รายการโทรทัศน์]. กรุงเทพฯ: สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 เอ็มคอตเอชดี.

เสนาะ อูนากูล. (2556). พลังเทคโนแครต. กรุงเทพฯ: มติชน.

Froyen, R. T. (2013). Macroeconomics: Theories and Policies Global Edition (10th ed.). Harlow: Pearson Education.

H.10 Thailand Historical Rates. (1989, December 29). Retrieved from https://www.federalreserve.gov/rele.../h10/Hist/dat89_th.htm

Jitsuchon, S. (n.d.). Thailand’s Economic Growth: A Fifty-Years Perspective (1950-2000). Retrieved from http://econ.tu.ac.th/.../Thailand's%20Economic%20Growth...

Thailand Current Account to GDP. (2020, May 25). Retrieved from https://tradingeconomics.com/thailand/current-account-to-gdp

Thailand Foreign Exchange Reserves. (2020, May 25). Retrieved from https://tradingeconomics.com/.../foreign-exchange-reserves

Thailand Government Budget. (2020, May 25). Retrieved from https://tradingeconomics.com/thailand/government-budget

Thailand Inflation Rate. (2020, May 25). Retrieved from https://tradingeconomics.com/thailand/inflation-cpi