10 สิงหาคม 2562

คอลัมน์รายสะดวก: ชุด "ควันหลงทัวร์แบงก์ชาติ" ตอนที่ 2
เศรษฐกิจไทยสมัยทศวรรษ 1990
จาก "เศรษฐกิจฟองสบู่" สู่ "วิกฤตต้มยำกุ้ง"

ตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงทศวรรษ 1980 สรุปความได้ว่า เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกผันผวนมากจากวิกฤตราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ด้วยคุณูปการของรัฐบาลในสมัย ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงหน่วยงานเศรษฐกิจต่าง ๆ ในสมัยนั้น ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้

จนถึงช่วงปี 2530 เป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ "ยุคทอง"

ช่วงนี้แหละครับที่ประเทศไทย เริ่ม "เปิดเสรีทางการเงิน" (ตั้งแต่ประมาณปี 2532) ให้เงินลงทุนเข้าออกได้เสรี เป็นที่มาของการลงทุนในโครงการต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

ยุคนั้นถือได้ว่า "บูม" สุด ๆ ครับ ธุรกิจเอกชนแห่ลงทุนอสังหาฯ กันเป็นว่าเล่น ราคาที่ดินก็ขึ้นเอ๊า... ขึ้นเอา

ส่วนการลงทุนของรัฐ ด้วยความที่รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศหลังจากยุคป๋าเปรม เป็นรัฐบาลที่นำโดย "น้าชาติ" พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เจ้าของนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" อย่างที่เราเคยเรียนกันมา

ถ้าเทียบกันแล้ว รัฐบาลป๋าเปรม เป็นรัฐบาลที่มีการให้บทบาทนักวิชาการ หรือ "เทคโนแครต" จากหน่วยงานเศรษฐกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะ "สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ" หรือ "สภาพัฒน์" เข้ามามีส่วนร่วมกลั่นกรองและพิจารณาการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ หรือที่เรียกกันว่า "เมกะโปรเจกต์"

ปัญหาที่ผมกำลังจะพูดถึงก็คือ รัฐบาลน้าชาติไปลดบทบาทเทคโนแครต ปล่อยให้มีการลงทุนโครงการใหญ่ ๆ อิสระเสรีกันเกินไป และพิจารณากันอย่างหละหลวม จนเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

ตัวอย่างก็... เอาง่าย ๆ เลย "โฮปเวลล์" ที่เซ็นสัญญากันเมื่อปี 2533 อ่ะครับ

ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเล้ยยย... ในสัญญาโครงการเขียนทำนองว่า "รัฐเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาเองไม่ได้" ปรากฏว่าวันดีคืนดีเจ๊ง ไม่ทำโครงการต่อ พอรัฐบอกเลิกสัญญา โฮปเวลล์ก็มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐ หรือที่ในข่าวใช้คำว่า "ค่าโง่โฮปเวลล์" นั่นแหละครับ

นี่คือตัวอย่างหนึ่งของเมกะโปรเจกต์ในยุค "เศรษฐกิจฟองสบู่"

พอถึงปี 2536 ระบบการเงินของไทยมีการเปิดเสรียิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีการจัดตั้งกิจการ "วิเทศธนกิจ" หรือ BIBF เพื่อให้ธนาคารต่างประเทศเข้ามาเป็นทางเลือกของนักธุรกิจไทยในการกู้เงินไปลงทุน

ทีนี้แหละ "มันส์" สะเด็ดยาดไปเลยครับท่านผู้อ่าน!!!

ไม่มันส์ได้ไง... ดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารต่างประเทศมัน "ถูก" ทู้กถูก เทียบกับดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารไทยที่ปาเข้าไปเกือบ 20% แล้ว นักธุรกิจก็กู้ต่างประเทศดีกว่า สบายใจ......

เป็นที่มาของการที่นักธุรกิจกู้มาลงทุนกันแหลกลาญ!!!

แต่สบายใจได้ไม่กี่ปีอ่ะครับ

อย่าลืมนะครับว่า ช่วงนั้นประเทศไทยยังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ "ตะกร้าเงิน" แทบจะล็อกค่าเงินไว้อยู่ที่ประมาณ 25 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ตอนนั้น World Bank และ IMF ต่างก็เตือนว่า ถ้าไทยเปิดเสรีทางการเงิน แต่ยังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบนี้อยู่ล่ะก็... ต่อไปเดือดร้อนแน่นอน!!!

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2540 มีการโจมตีค่าเงินบาทจากนักเก็งกำไรค่าเงินชาวต่างชาติ โดยเริ่มจากการปล่อยข่าวลือว่าจะมีการลดค่าเงินบาท จากนั้นคนกลุ่มนี้ก็เข้ามาไล่ซื้อเงินเหรียญสหรัฐ และขายเงินบาททิ้งไป ด้วยหวังว่าค่าเงินบาทจะอ่อนลงในอนาคต แล้วพอถึงตอนนั้นแหละ ถึงค่อยซื้อเงินบาทคืนเพื่อทำกำไร

มีการโจมตีค่าเงินบาทถึง 2 ระลอก คือช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ และในเดือนพฤษภาคม 2540

การขายเงินบาทนี้ ทำให้ความต้องการถือเงินบาทน้อยลง ค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง แบงก์ชาติจึงปกป้องค่าเงินบาท โดยการนำทุนสำรองระหว่างประเทศ (ที่เป็นเงินเหรียญสหรัฐ) ไปขาย แล้วซื้อเงินบาทคืนมา เพื่อให้ความต้องการถือเงินบาทเพิ่มขึ้น เงินบาทจะได้แข็งค่ากลับมาเท่าเดิม

เป็นการป้องกันไม่ให้ธุรกิจที่กู้เงินเหรียญสหรัฐได้รับผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน

พวกนักเก็งกำไรรู้ว่า ถ้าเราใช้วิธีนี้สู้ล่ะก็... ไม่นานหรอกคร้าบ

สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว ทุนสำรองระหว่างประเทศหายไปเกือบหมด!!!

ประเทศไทยต้องปล่อยค่าเงินบาทให้เป็นไปตามตลาดโลก เพราะไม่เหลืออะไรจะไปสู้แล้ว

2 กรกฎาคม 2540 แบงก์ชาติและรัฐบาลที่นำโดย "บิ๊กจิ๋ว" พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี ประกาศ "ลอยตัวค่าเงินบาท" วันนั้นวันเดียว ค่าเงินอ่อนค่าจากประมาณ 24 บาท ไปอยู่ที่ 29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ภายในเวลาครึ่งปี เงินไหลออกนอกประเทศมหาศาล เพราะต่างชาติไม่เชื่อมั่นในเงินบาท ค่าเงินบาทเลยอ่อนยวบ รูดเอ๊า... รูดเอา จนวันที่ 12 มกราคม 2541 รูดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 56 บาทต่อเหรียญสหรัฐ!!!

ธุรกิจน้อยใหญ่เจ๊งแหลกลาญ อสังหาฯ ที่ลงทุนกันแหลกลาญก่อนหน้านั้น (แล้วกลายเป็นว่าเกิด Over Supply เป็นปัญหามาก่อนหน้าวิกฤตต้มยำกุ้งอยู่ปีสองปี) ก็ไม่มีคนซื้อ เพราะ... ก็เจ๊งเหมือนกันนี่นา!!!

แถมที่ลงทุนนั่นอ่ะ... ส่วนหนึ่งกู้เงินเหรียญสหรัฐมาลงทุนนั่นแหละ

หนี้ที่ธุรกิจแบกอยู่ ตอนคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐมันก็เท่าเดิมอ่ะ

แต่พอคิดเป็นเงินบาท จากที่ต้องคูณ 25 กลายเป็นต้องคูณ 56 (ยังไม่นับดอกเบี้ย) แล้วเกิดต้องใช้หนี้คืนตอนนั้นล่ะครับ!!!

เพราะอย่างนี้ มันเลยมีข่าวทั้งคนฆ่าตัวตายหนีหนี้ คนเปิดท้ายรถขายของ หรือไม่ก็เปลี่ยนอาชีพไปขายแซนด์วิชบ้าง ขายไก่ย่างบ้าง

เกิด "เจ้าสัว Yesterday" ขึ้นมาอื้อเลย

สถาบันการเงินก็เจ๊งไปเยอะ เพราะผู้กู้หาเงินมาจ่ายคืนไม่ได้ แทบหมดสภาพคล่องเลยทีนี้

องค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน หรือ ปรส. ที่ตั้งขึ้นในช่วงปลายรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ก็ต้องยึดทรัพย์สินจากสถาบันการเงินที่เจ๊งมาบริหาร แต่มีปัญหาความยากลำบากในการแยกทรัพย์สินดีกับทรัพย์สินเลว ปรส. จึงต้องประมูลขายทรัพย์สินที่ว่าออกไป เพื่อนำเงินคืนมาบางส่วน

ส่วนรัฐบาลบิ๊กจิ๋ว ต้องไปกู้เงินจาก IMF เพื่อฟื้นฟูประเทศจากวิกฤตการณ์

เซ็นขอกู้เงินเมื่อเดือนสิงหาคม 2540

เงื่อนไขในการกู้ IMF หลัก ๆ ก็คือ รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณเกินดุล 1% ของ GDP หรือก็คือการควบคุมการใช้จ่ายของรัฐบาลนั่นเอง

แต่เป็นเงื่อนไขที่งี่เง่าสิ้นดี!!!

ปัญหาของไทยไม่ใช่การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐโว้ย! ที่ผมเขียนเล่ามาส่วนใหญ่นี่... ธุรกิจเอกชนทำตัวเองทั้งนั้น!

พอรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็แทบทำอะไรไม่ได้เลย เพราะเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องควบคุมการใช้จ่ายงบประมาณมันค้ำคออยู่

โชคดีว่า พอถึงกลางปี 2541 หลังจากบิ๊กจิ๋วลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ลาออกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 เพราะแก้วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้) รัฐบาลที่นำโดยนายชวน หลีกภัย (ประธานรัฐสภาในปัจจุบัน) ได้พยายามต่อรองกับ IMF จนยอมยกเลิกเงื่อนไขที่กดรัฐบาล แล้วให้รัฐบาลใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้

โชคชั้นที่สอง มาหาประเทศไทยเมื่อเดือนกันยายน 2541 นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น เดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อขอรับความช่วยเหลือจากกองทุน "มิยาซาวา" ซี่งเป็นกองทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค

จนเดือนมีนาคม 2542 รัฐบาลไทยได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยตั้งงบประมาณขาดดุล 6% ของ GDP และเงินกู้จากโครงการมิยาซาวา 5.3 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่นำไปทำโครงการสาธารณูปโภคในต่างจังหวัด ซึ่งก็ช่วยลดปัญหาการว่างงานที่เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้งได้

โชคชั้นที่สาม เป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทอ่อนลง นั่นคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น และในช่วงปี 2541 - 2542 ประเทศไทยมีแคมเปญ Amazing Thailand ด้วย ทำให้มีการสะสมทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น จนต่างชาติเริ่มมั่นใจในเงินบาท และค่าเงินบาทเริ่มกลับมามีเสถียรภาพ

รัฐบาลไทยเริ่มใช้หนี้ IMF ได้ในปี 2543

และที่สำคัญก็คือ แต่เดิมไทยมีสิทธิ์รับเงินกู้จาก IMF ได้ถึง 1.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามสัญญาที่เซ็นไว้ตอนปี 2540 (ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งต้องรับเป็นงวด 3 เดือนครั้ง ตั้งแต่ปลายปี 2540 จนถึงกลางปี 2544 แล้วต้องทยอยใช้หนี้งวดนั้น ๆ ในอีก 3 ปีถัดไป เป็นเช่นนี้ทุกงวด

แต่รัฐบาลไทยขอรับเงินกู้งวดสุดท้ายเมื่อกลางปี 2543 รวมแล้วรัฐบาลไทยรับเงินกู้จาก IMF ทั้งหมดประมาณ 1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

พูดง่าย ๆ ก็คือ รัฐบาลลดหนี้ให้น้อยลงจากเดิมนั่นเอง

เป็นที่มาว่าทำไมรัฐบาลชุดต่อมา (ใครเป็นนายกฯ ก็รู้ ๆ กันอยู่) ถึงใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด คือชำระงวดสุดท้ายเมื่อกลางปี 2546

แต่ที่ผมไม่ชอบเลยก็คือ มีการเคลมกันว่า การทำให้ประเทศไทยใช้หนี้ IMF ได้ก่อนกำหนด เป็นผลงานของรัฐบาลชุดนั้น

โถ ๆๆ แค่มา "รับหน้าที่" ใช้หนี้ต่อจากรัฐบาลก่อน ก็แค่นั้นเอง

เดี๋ยวตอนต่อไป จะมีเรื่องอื่นมาเล่าสู่กันฟังต่อครับ

---------

อ้างอิง:

1. หนังสือ "เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ" ของ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ ดร.คริส เบเคอร์ พิมพ์เมื่อปี 2546

2. หนังสือ "การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไทย" ของ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ พิมพ์เมื่อปี 2542

3. หนังสือ "Political Diary รัฐบาลหอยถึงรัฐบาลปู 37 ปี...ไดอารี่การเมือง" ของคุณสมลักษณ์ ส่งสัมพันธ์ พิมพ์เมื่อปี 2558

4. สารคดี "วิวัฒนาการเศรษฐกิจไทยบนเส้นทางโลกาภิวัตน์" จัดทำโดยธนาคารไทยพาณิชย์

5. เว็บไซต์ Trading Economics รวบรวมข้อมูลค่าเงินบาทตั้งแต่ปี 2524 ถึงปัจจุบัน
https://tradingeconomics.com/thailand/currency

6. รายการ "เนชั่นทันข่าว" เรื่อง "ความจริง ปลดหนี้ IMF 14,200 ล้านดอลลาร์"
https://www.youtube.com/watch?v=f4Pl3Q7rjik

7. ชุดเอกสารจดหมายเหตุ เรื่อง "การลอยตัวค่าเงินบาท" จากเว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://www.botlc.or.th/item/archive_collection/00000179023

8. โพสต์รวมบทความจากเพจ Facebook "สาขาการเงินและการธนาคาร ม. อุบล"
https://www.facebook.com/FinanceUBU/posts/499360840094866/

ภาพ: Jedsada Jed

ที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการจัดทำเป็นห้องสมุดที่เปิดให้คนทั่วไปเข้าใช้ได้

ในภาพ ผมอยู่ในห้องเก็บหนังสือเก่าครับ ให้เพื่อนถ่ายรูปตอนมองไปที่ตู้เก็บหนังสือพิมพ์เก่า