9 สิงหาคม 2562

คอลัมน์รายสะดวก: ชุด "ควันหลงทัวร์แบงก์ชาติ" ตอนที่ 1
เศรษฐกิจไทยสมัยทศวรรษ 1980

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง (2 สิงหาคม) ผมกับเพื่อนจากคณะเศรษฐศาสตร์ราว 30 คน ไปที่ "ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย" เพื่อไปทำงานที่อาจารย์มอบหมายไว้

แต่เดิม ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ข้าง ๆ ที่ทำการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่เคยเป็นที่ทำการของช่อง 4 บางขุนพรหม หรือช่อง 9 MCOT HD ในปัจจุบัน)

เพราะฉะนั้น ที่นี่จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างถูกนำมาจัดแสดง เช่น เครื่องพิมพ์ธนบัตรเก่า แผ่นธนบัตรที่พิมพ์เสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดเป็นแผ่น ๆ อย่างนี้เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมี "นิทรรศการเงินตรา" ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของเงินตราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และ "นิทรรศการบทบาทและหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย"

นิทรรศการอันหลังนี้แหละครับ เป็นที่มาของหัวข้อที่ผมจะเล่าสู่กันฟังในวันนี้

คือ ในนิทรรศการส่วนนี้ มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์ของแบงก์ชาติและเศรษฐกิจไทยด้วย

แน่นอนว่าตั้งแต่ก่อตั้งแบงก์ชาติเมื่อปี 2485 จนถึงปัจจุบัน จะต้องผ่านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจต่าง ๆ มามากพอสมควร

สำหรับผม ผมคิดว่าช่วงที่เศรษฐกิจไทย "มีครบทุกอารมณ์" เห็นจะเป็นสมัยรัฐบาลของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ปี 2523 - 2531 หรือก็คือตลอดทศวรรษ 1980 นั่นเอง

ยุคนั้นมีเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังเยอะซะด้วยสิ ตอนที่เขียนก็กำลังเปิดเพลงแนว ๆ นี้ฟังอยู่ (นอกเรื่องนิดนึง)

เอาละ กลับมาที่เรื่อง "เศรษฐกิจไทยสมัยทศวรรษ 1980" กันดีกว่า

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2522 ตอนนั้นมีวิกฤตราคาน้ำมันครั้งที่ 2 ราคาน้ำมันในตลาดโลกแพงขึ้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย ต้องนำเข้าน้ำมันในราคาที่แพงขึ้น

ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือ ในตอนนั้นประเทศไทยต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกสินค้าเกษตรเป็นหลัก (ราว 50% ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด) แต่... โถ่ถังกาละมังแตก! ราคาสินค้าเกษตรไม่ได้ถีบตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน!

และเราก็ส่งออกสินค้าเกษตรได้น้อยลง เพราะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็นโฆษกรัฐบาลสมัยป๋าเปรม เคยให้สัมภาษณ์คุณสุทธิชัย หยุ่น ว่า ตอนนั้นประเทศไทยเก็บภาษีก็เก็บไม่ได้ตามเป้าด้วย!

ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของเรา ก็ถูกนำไปซื้อน้ำมันจนร่อยหรอลงมาก

ประเทศไทย "จะเอาเงินจากไหน" ไปซื้อน้ำมันล่ะทีนี้?

พอน้ำมันแพง อัตราเงินเฟ้อของไทยสมัยนั้นเลยพุ่งขึ้นไปถึงเกือบ 25% หมายความว่าราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

เมื่อ ฯพณฯ พลเอกเปรม เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนมีนาคม 2523 จากการเสนอชื่อของสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งนายกฯ ของป๋าเปรม จึงไม่ต่างจาก "ทุกขลาภ" เพราะท่านเข้ามาเป็นนายกฯ ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยและทั่วโลกวิกฤตที่สุดสมัยหนึ่ง

โจทย์ใหญ่ก็คือ "การหาเงินเข้าประเทศ" และ "ลดการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ"

โชคดีว่า ปี 2524 มีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบทั่วประเทศ หรือที่เราเรียกกันว่าเป็นยุค "โชติช่วงชัชวาล"

แต่ก็ยังไม่พอ อย่างไรเสียก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันอยู่ดีแหละ

ปีนั้นปีเดียว แบงก์ชาติต้องลดค่าเงินบาทถึง 2 ครั้ง จนอยู่ที่ระดับ 23 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพื่อกระตุ้นการส่งออก เงินจะได้เข้าประเทศมากขึ้น

ส่วนรัฐบาลของป๋าเปรม ได้นำมาตรการควบคุมราคาสินค้ามาใช้ และที่พีคที่สุดก็คือ มาตรการ "ประหยัดพลังงาน" ที่สุดแสนหฤโหด แต่ก็ต้องทำ

เช่น ปั๊มน้ำมันทุกปั๊ม ต้องปิดหลัง 18.00 น. เพราะน้ำมันขาดแคลน (คุยกับแฟนก็ต้องดับไฟ ฮ่า ๆ) แถมมีการ "ปันส่วนน้ำมัน" ด้วย คือ รถแต่ละคันเติมได้ไม่เกินเท่านั้นเท่านี้!!!

สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง (ซึ่งตอนนั้นก็มีอยู่แค่ 4 ช่องในกรุงเทพฯ) ต้องปิดสถานีพักการออกอากาศในช่วงเวลา 18.30 - 20.00 น. เพื่อประหยัดไฟ

รัดเข็มขัดกันสุดฤทธิ์เลยครับ!!!

สำหรับการหาเงินเข้าประเทศ ยุครัฐบาลป๋าเปรมนี่แหละครับที่เกิดโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก หรือ "Eastern Seaboard" เพื่อหาเงินเข้าประเทศให้มากขึ้น โดยอาศัยการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทั้งจากนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศ เป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย จากประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าเกษตร เป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก

พอถึงช่วงปี 2526 - 2527 ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง อัตราเงินเฟ้อในบ้านเราก็ลดลงจนเหลือประมาณ 3 - 5% ราคาสินค้าในประเทศก็เริ่มเสถียรแล้ว

แต่การส่งออกของไทยก็ยังไม่ดี เพราะเงินบาทแข็งค่าขึ้นตามเงินเหรียญสหรัฐที่เราไปผูกค่าเงินไว้ ทำให้ยังหาเงินเข้าประเทศได้ไม่มากเท่าที่ควร

ขืนปล่อยไว้ล่ะก็ ประเทศไทยล้มละลายแน่!!!

ในที่สุด 2 พฤศจิกายน 2527 แบงก์ชาติและรัฐบาลได้ประกาศลดค่าเงินบาท จาก 23 บาทเป็น 27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนของไทยให้มีความยืดหยุ่น เป็นไปตามตลาดโลกมากขึ้น ที่เรียกว่า "ระบบตะกร้าเงิน" (แต่ยังไม่ใช่การลอยตัวค่าเงินบาทอย่างเมื่อปี 2540)

"บิ๊กซัน" พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกในสมัยนั้น ถึงกับออกทีวีช่อง 5 ขอให้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนกลับไปอย่างเดิม เพราะกองทัพต้องซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แพงขึ้น

แต่ป๋าเปรมท่านไม่สนใจ เพราะฐานะทางการเงินของประเทศสำคัญกว่า

กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างป๋าเปรมกับบิ๊กซันในเวลาต่อมานั่นเอง

นอกจากปัจจัยในประเทศแล้ว ปัจจัยภายนอกประเทศ คือ การที่ญี่ปุ่นลงนามใน "Plaza Accord" เมื่อปี 2528 เพื่อให้เงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ เพราะญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่มาก บริษัทญี่ปุ่นจึงต้องเอาตัวรอด โดยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าเงินอ่อนกว่า เพื่อลดต้นทุนการผลิตสินค้าส่งออก หนึ่งในนั้นคือประเทศไทย

ทั้งหมดนี้ ทำให้ประเทศไทยมีรายได้จากการส่งออกสินค้ามากขึ้น ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศก็เพิ่มพูนมากขึ้นตามไปด้วย นั่นคือ ฐานะทางการเงินของไทยดีขึ้น จน "รอด" จากภาวะเกือบล้มละลาย

แถมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น เศรษฐกิจไทยจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด เห็นได้จากตัวเลขการเติบโตของ GDP ที่เพิ่มขึ้นเป็น 13.2% ในปี 2531 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี

ประเทศไทยเข้าสู่ "ยุคทองทางเศรษฐกิจ" ตั้งแต่ช่วงปี 2530 เป็นต้นมา

เดี๋ยวตอนหน้าจะมาเล่าเรื่อง "วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540" ซึ่งเป็นภาคต่อของตอนนี้ครับ

---------

อ้างอิง:

1. หนังสือ "เศรษฐกิจการเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ" ของ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร และ ดร.คริส เบเคอร์ พิมพ์เมื่อปี 2546

2. หนังสือ "การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไทย" ของ ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ พิมพ์เมื่อปี 2542

3. หนังสือ "Political Diary รัฐบาลหอยถึงรัฐบาลปู 37 ปี...ไดอารี่การเมือง" ของคุณสมลักษณ์ ส่งสัมพันธ์ พิมพ์เมื่อปี 2558

4. รายการ "กาแฟดำค่ำนี้" สัมภาษณ์ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ออกอากาศวันที่ 17 - 19 มิถุนายน 2562

5. สารคดี "วิวัฒนาการเศรษฐกิจไทยบนเส้นทางโลกาภิวัตน์" จัดทำโดยธนาคารไทยพาณิชย์

ภาพ: Jedsada Jed

ผมนั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย และศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย

นั่งมองสะพานพระราม 8 อยู่ครับ