13 กุมภาพันธ์ 2562

คอลัมน์รายสะดวก: "ข้อควรรู้" จากเหตุการณ์ "8 กุมภาพันธ์ 2562"

หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่พรรคไทยรักษาชาติ ได้เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในบัญชีรายชื่อของพรรค สร้างความสับสนงุนงงแก่คนไทยจำนวนไม่น้อย จนเมื่อเวลาประมาณ 22.50 น. ได้มีพระราชโองการ "ประกาศ สถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" ความตอนหนึ่งระบุว่า...

"...การนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง ไม่ว่าจะโดยทางใดก็ตาม จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อโบราณราชประเพณี ขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรมของชาติ ถือเป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง...

...ดังนั้นพระราชินี พระรัชทายาท และพระบรมราชวงศ์ทุกพระองค์ จึงอยู่ในหลักการเกี่ยวกับการดำรงอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมืองของพระมหากษัตริย์ด้วย และไม่สามารถดำรงตำแหน่งใด ๆ ในทางการเมืองได้ เพราะจะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..."

(ที่มา: http://www.thaipost.net/main/detail/28646...)

อย่างที่ผมบอกไว้เมื่อไม่กี่วันว่า เมื่อมีพระราชโองการดังกล่าว ก็เหมือน "หยาดน้ำทิพย์ชโลมใจคนไทยทั้งประเทศ" ให้มีความสบายใจมากขึ้น

ชัดเจนนะครับ ว่าพรรคไทยรักษาชาติ ได้กระทำในสิ่งที่ "มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"

ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังมีคนบางกลุ่มบางพวก ไปพูดในทำนองว่า ทำไมพระราชโองการนี้จึงไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ?

เจตนาจะดิสเครดิตสถาบันฯ ชัดเจนครับ

เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ณ ที่นี้เลยว่า ทำไมพระราชโองการนี้จึงไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ

ปกติแล้ว เรื่องที่ "จำเป็นต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ" หรือพระราชโองการ มีดังต่อไปนี้

"1. บรรดากฎหมายต่าง ๆ ที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา ได้แก่ รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ รวมทั้งที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหาร เช่น พระราชกำหนดและพระราชกฤษฎีกา เป็นต้น

2. พระราชหัตถเลขา ได้แก่ เอกสารที่พระมหากษัตริย์มีไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

3. พระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ อันเป็นราชการแผ่นดิน ได้แก่ คำสั่งของพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ให้อำนาจไว้ เช่น พระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เป็นต้น"

นอกจากนี้ ยังมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบุคคลดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ที่สำคัญ ก็ต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการด้วย

ส่วนพระราชหัตถเลขา หรือพระบรมราชโองการอื่นส่วนพระองค์ที่ "ไม่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน" พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยได้เอง โดย "ไม่ต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ" เช่น พระราชหัตถเลขาส่วนพระองค์ พระบรมราชโองการสั่งข้าราชบริพารในราชสำนักที่ไม่ใช่ราชการแผ่นดิน พระบรมราชโองการเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นต้น

(ที่มา: wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
และ www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF)

การที่เรื่องต่าง ๆ ดังกล่าว ต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงเป็นไปตามวิถีของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ย้อนกลับไปที่ "พระราชโองการ" เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

สรุปความได้ว่า เป็นพระราชโองการเกี่ยวกับ "สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย"

ไม่ได้เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการ "อธิบาย" สถานะของสถาบันฯ ให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง

จึง "ไม่ต้องมีผู้ลงนามรับสนองพระราชโองการ"

ดังนั้น การที่มีคนบางกลุ่มบางพวก ไปตั้งข้อสังเกตในทำนองกล่าวหาสถาบันฯ ว่า "พระราชอำนาจไม่ต่างจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์" จึงเป็นการ "ตั้งใจดิสเครดิตสถาบันฯ" อย่างชัดเจน!!!

นี่แหละคือพฤติกรรม "ได้กูเอา เสียกูไม่ยอม" ของคนกลุ่มนี้ครับ!!!

รู้ไว้ครับ จะได้ "รู้ทัน"

สรุปก็คือ การมีพระราชโองการเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา "เป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง" ไม่มีอะไรผิดเลยครับ

---------

อ่านประกอบ

ข่าวจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ พาดหัวข่าวว่า "มีพระราชโองการฯให้ประกาศว่าการนำสมาชิกชั้นสูงในพระบรมราชวงศ์มาเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง เป็นการกระทำที่มิบังควรไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
http://www.thaipost.net/main/detail/28646...

บทความเรื่อง "ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ" จากเว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า
wiki.kpi.ac.th/index.php?title=ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 182
www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF