ค่าคอมมิชชั่น คือค่าออกแบบ หรือค่าอื่น ๆ ที่จ่ายรอบเดียวและคงที่ในการออกสินค้าครั้งนี้ เช่น รูปวาด ที่จะถูกเอาไปเป็นรูปในพวงกุญแจต่อไปอีกเป็นร้อย ๆ ชิ้น
จำนวนที่ใช้คอมมิชชั่น คือจำนวนสินค้าทั้งหมดที่ใช้ทรัพยากรคอมมิชชั่นนั้น ๆ เช่น หากภาพนั้นถูกนำไปผลิตเป็นพวงกุญแจ 30 ชิ้น และถูกนำไปผลิตเป็นการ์ดอีก 20 ชิ้น จำนวนที่ใช้คอมมิชชั่นจะเป็น 50 ชิ้น เพราะทรัพยากรคอมมิชชั่นนั้นถูกใช้ไปรวมกัน 50 ครั้ง
ค่าคอมมิชชั่นต่อชิ้น คือค่าที่จะถูกคิดจากค่าคอมมิชชั่นและจำนวนที่ใช้คอมมิชชั่น โดยจะหาว่า ถ้าแบ่งค่าคอมมิชชั่นออกตามจำนวนที่ใช้คอมมิชชั่น ค่าคอมมิชชั่นในสินค้าชิ้นเดียวนั้นควรจะมีราคาเท่าไร (หากไม่เห็นสำคัญในจุดเล็กน้อยแบบนี้ สามารถใส่ค่าเดียวกันกับจำนวนที่ผลิตได้ แต่จะกระทบต่อราคาทั้งหมด)
ค่าผลิตต่อชิ้น คือค่าใช้จ่ายในการผลิตสินค้าออกมาหนึ่งชิ้น ซึ่งขึ้นตรงกับโรงงานเป็นส่วนใหญ่ และส่วนมากค่าผลิตมักจะผกผันตามจำนวนการผลิต ตามอัตราค่าผลิตที่โรงงานได้กำหนดเอาไว้ เช่น ในการผลิตหนึ่งชิ้นจะต้องจ่ายเงิน 50 บาทต่อชิ้น
จำนวนที่ผลิต คือจำนวนที่ผลิตออกมาสำหรับสินค้าประเภทนั้นตามที่เราต้องการ ภายใต้การกำหนดอัตราราคาค่าผลิตต่อชิ้น เช่นมีคนสั่งพวงกุญแจ 30 ชิ้น และการ์ดอีก 20 ชิ้น หากคำนวณราคาพวงกุญแจอยู่ก็จะต้องใส่เป็นเลข 30 เพราะมี 30 ชิ้น เฉกเช่นเกียวกันกับการ์ดที่หากคำนวณราคาการ์ดอยู่ก็จะต้องใส่เป็นเลข 20 เพราะมี 20 ชิ้น
ค่าเช่าบูธ คือค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ตามสถานที่ที่เปิดให้เช่า หากซื้อมากกว่าหนึ่งบูธ โปรดคิดรวมทั้งสองโต๊ะ และไม่หารค่าโต๊ะก่อนการคำนวณ เช่นราคาบูธละ 1,000 บาท ซื้อ 2 บูธ 2 วัน ค่าเช่าบูธก็จะมีค่าเท่ากับ 4,000 บาท เพราะ 1,000 × 2 × 2 = 4,000
จำนวนผู้มาร่วมบูธ คือจำนวนคนที่ร่วมหารเท่าค่าเช่าบูธด้วย ซึ่งจำเป็นต้องรวมตัวเองเข้าไปเช่น ตัวเราและเพื่อนอีก 2 คนรวมเงินออกบูธกัน จำนวนผู้มาร่วมบูธจะเป็น 3 คน เพราะนับตัวเราเข้าไปด้วย
ค่ายืนบูธ คือค่าใช้จ่ายพิเศษของคนที่จะไปเป็นคนยืนขายของหน้าบูธ รวมถึงค่าเดินทาง เช่น ตัวเราไม่สามารถไปขายเองได้ในงานนั้นเนื่องจากอยู่ต่างประเทศ เลยวานให้เพื่อนไปช่วยขายให้แทนเป็นเวลา 2 วัน ซึ่งตกลงว่า จะให้ค่าตอบแทนเป็นเงิน 500 บาท ต่อวัน และจะให้ค่าเดินทาง 50 บาททุกวัน จึงสรุปได้ว่าค่ายืนบูธ คือ 1,100 บาท เพราะ 2 × (500 + 50) = 1,100
ค่าบูธต่อชิ้น คือค่าที่จะถูกคิดจากจำนวนที่ผลิต ค่าเช่าบูธ ค่ายืนบูธ และจำนวนผู้มาร่วมบูธ โดยจะรวมค่าเช่าบูธและค่ายืนบูธเป็นทุนรวมของบูธทั้งหมด แล้วนำมาแบ่งกับจำนวนผู้มาร่วมบูธ เพื่อหาว่าจริง ๆ แล้วทุนบูธที่แต่ละคนจะต้องรับผิดชอบนั้นมีค่าเท่าไหร่ เช่น ค่าเช่าบูธ 90 บาท และค่ายืนบูธ 10 บาท รวมกันได้ 100 บาท และมีจำนวนผู้มาร่วมบูธ 2 คน นั่นหมายถึง แต่ละคนควรที่จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในจุดนี้ คนละ 50 บาท และเมื่อทราบค่าของบูธที่ต้องรับผิดชอบต่อคนแล้ว ก็จำเป็นต้องไปรวมกับทุนสินค้าต่อชิ้นที่ผลิตออกมาด้วย ดังนั้นจึงนำจำนวนสินค้าที่ผลิตไปหาร สมมุติว่าผลิตออกมา 10 ชิ้น หมายถึงต้นทุนค่าบูธต่อก็จพต้อเข้าไปนับรวมกับต้นทุนด้วย ทำให้สินค้าแต่ละชิ้นจะมีทุนค่าบูธเพิ่ม 5 บาท เพราะ (90 + 10) ÷ 2 ÷ 10 = 5 จัดรูปใหม่เป็น ((10 + 90) ÷ (2 × 10)) ดั่งฟังก์ชั่นที่ให้ไว้
ค่าส่งเฉลี่ย คือค่าส่งที่เป็นไปได้ตามอัตราค่าส่งของการขนส่งที่ใช้บริการ รวมกับค่าแพ็คของทั้งหมด เทป กล่อง กาว ฯลฯ เช่นถ้าสินค้ามีบริการจัดส่งฟรี่ทั่วจังหวัด P หมายถึง ค่าส่งจากออฟฟิศไปทุกเขตที่เป็นไปได้ในจังหวัด P เช่น การส่งไปที่เขต Q R S และ T มีอัตรค่าส่ง 10, 15, 20, 35 บาท ตามลำดับ หมายถึงสำหรับเงื่อนไขจัดส่งฟรีทั่วจังหวัด P จะมีค่าส่งโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 20 บาท เพราะ (10 + 15 + 20 + 35) ÷ 4 = 20 และเพื่อลดความเสี่ยงสามารถเพิ่มราคาขึ้นได้อีกเล็กน้อยเป็น 21.50 บาท
จำนวนชิ้นเฉลี่ยต่อออร์เดอร์ คือจำนวนชิ้นเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อของผู้ซื้อ เช่น ผู้ซื้อ A B C และ D ซื้อของ 2, 3, 4, 5 ชิ้น ตามลำดับ หมายถึงจำนวนชิ้นเฉลี่ยต่อออร์เดอร์จะเป็น 3.5 ชิ้น เพราะ (2 + 3 + 4 + 5) ÷ 4 = 3.5 และเพื่อความแม่นยำ จึงไม่มีความจำเป็นต้องปัดเลข เลขตรงนี้จะยิ่งแม่นยำขึ้นหากมีข้อมูลจากการขายสินค้าครั้งก่อน ๆ
ค่าส่งต่อชิ้น คือค่าที่จะถูกคิดจากค่าส่งเฉลี่ยและจำนวนชิ้นเฉลี่ยต่อออร์เดอร์ โดยจะนำค่าส่งเฉลี่ยมาแบ่งกับจำนวนชิ้นเฉลี่ยต่อออร์เดอร์
เปอร์เซ็นต์กำไร คือจำนวนกำไรที่ต้องการต่อ 100 บาท เช่น ต้องการกำไร 70% จาก 100 บาท ก็คือ 70 บาท หรือ 50% จาก 30 บาท ก็คือ 15 บาท
ราคาต่อชิ้น คือราคาของสินค้าที่ยังไม่ได้รวมกับภาษี เป็นค่าที่จะถูกคิดจากค่าคอมมิชชั่นต่อชิ้น ค่าบูธต่อชิ้น ค่าผลิตต่อชิ้น ค่าส่งต่อชิ้น และเปอร์เซ็นต์กำไร โดยจะหาทุนรวมต่อชิ้นของสินค้า ซึ่งจะต้องใช้ผลรวมของค่าคอมมิชชั่นต่อชิ้น ค่าบูธต่อชิ้น และค่าผลิตต่อชิ้น ซึ่งจะถูกนำไปคิดกำไรเพิ่มตามเปอร์เซ็นต์กำไรแล้วจึงค่อยบวกค่าส่งต่อชิ้น เพราะจะไม่คิดกำไรกับค่าส่งเฉลี่ย เพื่อให้เข้าใจความหมาย สมมุตว่า ทุนต่อชิ้นคือ 50 บาท และต้องการเปอร์เซ็นต์กำไร 50% และมีค่าส่งต่อชิ้น 20 บาท หากคิดกำไรกับค่าส่งแล้วจะเป็น 105 บาท เพราะ (50 + 20) + 50% = 105 แต่หากไม่คิดกำไรกับค่าส่งแบบที่เครื่องคิดเลขนี้ทำก็จะเป็น 95 บาท เพราะ (50 + 50%) + 20 = 95 (ย้ำว่าเครื่องคิดเลขนี้ใช้ฟังก์ชั่นที่ไม่คิดกำไรกับค่าส่ง)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax) หรือ VAT เป็นการเก็บภาษีจากการขายสินค้า หรือการให้บริการในแต่ละขั้นตอนการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ทั้งที่ผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ คิดโดยการ เอาราคาต่อชิ้นไปเพิ่มกับเปอร์เซ็นต์ภาษีมูลค่าเพิ่มที่กำหนดไว้ เช่น สินค้าราคาต่อชิ้น 100 บาท และเปอร์เซ็นต์ภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 7% ภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะเป็น 7 บาท เพราะ 100 × 7% = 7 (อ้างอิงการคำนวณภาษีจากลิงก์นี้)
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย คือ รูปแบบหนึ่งของภาษีที่ฝ่ายจ่ายเงินจะต้องหักออกจากจำนวนเงินเต็มที่จะจ่ายให้ผู้รับเงิน เพื่อนำเงินส่วนนั้นให้กับทางกรมสรรพากร ทำให้ผู้รับเงินจะไม่ได้รับยอดเงินดังกล่าวแบบเต็มจำนวน และจะได้รับเอกสารหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่ายไว้ เพื่อเป็นหลักฐานไว้ใช้ในการยื่นภาษีแสดงเงินได้บุคคลธรรมดา และการยื่นขอภาษีส่วนนี้คืน คิดโดยการ เอาราคาต่อชิ้นไปเพิ่มกับเปอร์เซ็นต์ภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่กำหนดไว้ เช่น สินค้าราคาต่อชิ้น 100 บาท และเปอร์เซ็นต์ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือ 3% ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือก็จะเป็น 3 บาท เพราะ 100 × 3% = 3 (อ้างอิงการคำนวณภาษีจากลิงก์นี้)
ราคาสุทธิ คือราคาต่อชิ้นที่ถูกคิดรวมกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีหัก ณ ที่จ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยราคาสุทธิจะถูกคิดโดยการนำเอาราคาต่อชิ้นมาบวกกับเปอร์เซ็นต์ภาษีมูลค่าเพิ่มที่กำหนดไว้ แล้วลบด้วยเปอร์เซ็นต์ภาษีหัก ณ ที่จ่ายตามที่กำหนดไว้ เช่น ราคาต่อชิ้น 100 บาท เปอร์เซ็นต์ภาษีมูลค่าเพิ่มคือ 7% ซึ่งเท่ากับ 7 บาท และเปอร์เซ็นต์ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือ 3% ซึ่งเท่ากับ 3 บาท ดังนั้นราคาสุทธิก็คือ 104 บาท เพราะ 100 + 7 - 3 = 104
ต้นทุนรวมต่อชิ้น คือค่าที่เป็นผลรวมของค่าคอมมิชชั่นต่อชิ้น ค่าบูธต่อชิ้น และค่าผลิตต่อชิ้น
ต้นทุนรวมต่อชิ้น คือค่าที่เป็นผลรวมของต้นทุนต่อชิ้นและค่าส่งต่อชิ้น
กำไรต่อชิ้น คือเงินที่ได้จริงจากการขายต่อหนึ่งชิ้น ซึ่งจะใช้ทุนต่อชิ้นคุณด้วยส่วนเปอร์เซ็นต์กำไรที่ได้มา ดังนั้นถ้าทุนต่อชิ้นคือ 100 บาท ทำกำไร 50% หมายถึงกำไรต่อชิ้นก็คือ 50 บาท เพราะ 100 × 50% = 50
กำไรสูงสุด คือเงินที่ได้เมื่อขายของที่ผลิตทั้งหมดหมด ซึ่งคิดได้จากการเอากำไรต่อชิ้นคูณจำนวนชิ้นที่ผลิต
ทุนที่ต้องมี คือทุนทั้งหมดที่จำเป็นต้องมีในการทำสินค้านี้ทั้งหมด รวมถึงค่าคอมมิชชั่นด้วย ซึ่งคิดได้จากการหาค่าการผลิตทั้งหมด ที่ได้จากการเอาจำนวนที่ผลิต คูณกับค่าผลิตต่อชิ้น และบวกกับค่าคอมมิชั่น และค่าบูธที่ต้องรับผิดชอบ ที่ได้จากการเอาผลรวมของค่ายืนบูธและค่าเช่าบูธทั้งหมดหารจำนวนผู้มาร่วมบูธ เช่น จำนวนที่ผลิตคือ 10 ชิ้น ค่าผลิตต่อชิ้นคือ 15 บาท ค่าคอมมิชั่นรูปวาดคือ 100 บาท ค่ายืนบูธคือ 10 บาท ค่าเช่าบูธคือ 80 บาท และจำนวนผู้มาร่วมบูธคือ 3 คน จะสามารถคิดได้ว่า ทุนที่ต้องมีก็คือ 280 บาท เพราะ (10 × 15) + 100 + (10 + 80) ÷ 3 ⟹ 150 + 100 + 30 = 280
คืนทุน คือจำนวนชิ้นที่จะต้องขายเพื่อให้ได้รายรับเท่ากับหรือมากกว่าทุนที่ต้องมี ดังนั้นวิธีคิดก็คือการเอาทุนที่จะต้องมีมาหารด้วยราคาสุทธิต่อชิ้น เพราะหากทุนที่ต้องมีคือ 12 บาท ราคาสุทธิต่อชิ้นคือ 3 บาท ก็จะต้องขายให้ได้ 4 ชิ้น เพราะ 12 ÷ 3 = 4
ภาษีต่อชิ้น คือค่าที่ได้จากการเอาราคาสุทธิที่รวมภาษีแล้วมาลบออกจากกำไรต่อชิ้นและทุนต่อชิ้น เพื่อแยกผลต่างที่เป็นภาษีออกมา
เทียบราคาตลาด คือการเทียบอัตราส่วนระหว่างราคาสุทธิของสินค้าที่เราขายกับสินค้า Mad Product ที่ขายโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ อัตราส่วนเทียบราคาตลาดควรที่จะอยู่หระหว่าง 0.7x ถึง 1.5x เป็นสมควร ยิ่งเลขต่ำกว่า 1x เท่าไหร่หมายถึง สินค้าของเรายิ่งถูกกว่าราคาของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดเท่านั้นเท่า และยิ่งเลขสูงกว่า 1x เท่าไหร่ก็หมายถึง สินค้าของเรายิ่งแพงกว่าราคาของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดเท่านั้นเท่า เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่มีอำนาจในการควบคุมราคาสินค้า เพราะการผลิตในจำนวนมากแบบที่ผู้ประกอบการรายใหญ่มีกำลังลุงทุนมากทำ ทำให้ค่าผลิตต่อชิ้น และค่าคอมมิชชั่นต่อชิ้น ของสินค้าของพวกเขาต่ำลงกว่าผู้ประกอบการรายย่อย ที่มีกำลังลงทุนน้อยกว่า การแข่งขันจึงเกิดขึ้น สำหรับผู้ประกอบการร่ายย่อยจำเป็นต้องคำนึงถึงราคาขายสินค้าที่จำหน่าย เพราะหากมันสูงเกินราคาที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ขาย อาจทำให้อุปสงค์ (Demand) ของผู้ซื้อลดลงได้ ในขณะเดียวกันหากตั้งราคาขายต่ำเกินไปก็จะทำให้เราได้กำไรน้อยกว่าที่ควร หรือขายทุน ดังนั้นการตั้งราคาควรที่จะไม่ต่ำกว่าเจ็ดในสิบและไม่มากกว่าครึ่งหนึ่งของราคาในท้องตลาด เช่นพวกกุญแจของบริษัท F และ G ที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดพวกกุญแจขายในราคา 170 และ 230 บาท ตามลำดับ ราคาสินค้าในตลาดก็คือ 200 บาท เพราะเฉลี่ยแล้วผู้ประกอบการรายใหญ่ขายพวกกุญแจที่ราคา 200 บาท จาก (170 + 230) ÷ 2 = 200 หมายถึงราคาสุทธิต่อชิ้นของเราก็ควรจะอยู่ระหว่าง 140 ถึง 300 บาท