ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตรอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน
ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตรอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน
ในสถานการณ์โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรง และไม่แน่นอนเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูล ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน ข้อมูล และความรู้มากมายมหาศาลสามารถเข้าถึงได้โดยง่าย ทำให้ผู้ที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงจะไม่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2562) นอกจากนี้ยังส่งผลต่อระบบเกษตรกรรมที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยมีสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำการเกษตร แต่เมื่อแนวโน้มความต้องการอาหารของประชากรโลกเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเพิ่มจำนวนประชากรระบบอุตสาหกรรมเกษตรที่เน้นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์จำนวนมากก็เข้ามามีบทบาทในเกษตรกรรมของไทย ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในระบบนิเวศทางการเกษตร และปัญหารายได้ที่ไม่สม่ำเสมอจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ส่งผลกระทบรุนแรงขึ้นเมื่อราคาสินค้าทางการเกษตรต่ำลงความไม่สมดุลในระบบนิเวศกับปัญหาสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลงส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการทางการเกษตรภาคเกษตรที่ใช้แรงงานคนส่วนใหญ่ของประเทศหรือกว่าร้อยละ 40 ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ กลับไม่สามารถสร้างรายได้มากเท่าที่ควร เกษตรกรรมเป็นกลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าอาชีพอื่น ๆอีกทั้งยังขาดความมั่นคงทางรายได้ มีความผันผวนตามฤดูกาล จึงก่อให้เกิดปัญหาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรตกต่ำ เกิดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และปัญหาด้านคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ตามมา อันเป็นผลมาจากปัจจัยหลาย ๆ ด้านที่เกษตรกรยังไม่สามารถปรับตัวให้ทันต่อระบบการผลิตที่เปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ดังนั้น เกษตรกรต้องมีทักษะที่รองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อาทิ การปรับตัว การคิดวิเคราะห์การทำงานเป็นทีม ความคิดสร้างสรรค์ สามารถจัดการกับงานและปัญหาได้ด้วยตนเอง สามารถในการเข้าถึงความรู้ และเทคโนโลยี การบริหารจัดการพื้นที่และผลผลิต การต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเพื่อการสร้างรายได้ และปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมภายในชุมชนเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือภาคการเกษตรเพื่อใช้ในการต่อรองราคาทางการค้า (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, 2564) จึงทำให้การศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องสร้างชุดความรู้ชุดใหม่ที่ประกอบด้วยทักษะ และความรู้ที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตของผู้เรียน (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2562) โดยนำความรู้ทางเทคโนโลยีมาบูรณาการในการจัด การเรียนรู้เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างมากทำให้เกิดโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านเกษตร เศรษฐกิจและสังคม นำไปสู่การปรับตัวเพื่อให้เกิดความสามารถในการแข่งขันท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่กำลังมุ่งสู่โลกกระแสใหม่ (วิษณุ ยอดรัก, 2561)
กระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงการเตรียมคนให้มีความพร้อมกับการพัฒนาประเทศตามวิถีไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เยาวชนมีทักษะสำคัญในการดำรงชีวิตในโลกที่มีกระแสของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นผู้คิดเป็นทำเป็น ตัดสินใจถูกต้อง สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม เข้าใจถึงวัฒนธรรมที่แตกต่างกันใช้เทคโนโลยีอย่างรู้เท่าทัน นำทักษะการเรียนรู้มาใช้ในการดำเนินชีวิต และเป็นแนวทางในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยได้กำหนดนโยบายเร่งด่วนเรื่องการเตรียมคนสู่ศตวรรษที่ 21 ด้วยการจัดการศึกษาที่คำนึงถึงพหุปัญญาของผู้เรียนรายบุคคล จัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการคิดแบบมีเหตุผลและเป็นขั้นตอน (Computational thinking) พร้อมทั้งพัฒนาครูให้มี ความชำนาญในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) และต่อยอดด้วยการจัดเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ (STEM) และภาษาต่างประเทศ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2559) ส่งเสริมให้ผู้เรียนบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้แก้ปัญหาหรือเพื่อสร้างนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่อมนุษย์ในชีวิตประจำวันด้วยกระบวนการทางวิศวกรรมมีการสร้างแบบจำลองและการจำลองการวิเคราะห์ข้อมูลสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมการทำงานของระบบอัตโนมัติตามแนวคิดเชิงคำนวณ(Computational Thinking) ในลักษณะของ Plugged Coding และประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอิสระจากเทคโนโลยี (Unplugged Coding) เน้นการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ (Algorithm) ใช้ตรรกะในการแก้ปัญหา (Logical Thinking) วิเคราะห์ความซ้ำหรือแนวโน้มของปัญหาที่สามารถจัดการแก้ไขได้ด้วยแนวทางเดียวกัน (Pattern Recognition) และตัดทอนรายละเอียดที่ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแก้ปัญหาออกไปเพื่อเพิ่มความชัดเจนและความสะดวกในการแก้ปัญหา (Abstraction) (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2562) นอกจากนี้ในศตวรรษที่ 21 ผู้เรียนต้องมีทักษะชีวิตและอาชีพ เนื่องจากเป็นทักษะที่จะต้องนำไปดำเนินชีวิต และเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับในอนาคต ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ นำพาตนเองเรียนรู้ได้ มีความมั่นใจในตัวเอง กระตือรือร้น ใฝ่รู้เป็นผู้ผลิต มุ่งความเป็นเลิศดำรงชีวิตด้วยความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เป็นพลเมืองที่ดี เคารพกติกา มีระเบียบวินัย คำนึงถึงสังคม มีคุณธรรม มีความเป็นไทย เข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม และแบ่งปันประสบการณ์ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะในการทำงาน การติดต่อสื่อสาร การทำงานเป็นทีม แสดงภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ มีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี ริเริ่มงาน ดูแลตนเองได้อดทนและขยันทำงาน ปรับตัวได้อย่างดีในสภาวะการเปลี่ยนแปลง หรือมีภัยคุกคามได้อย่างชาญฉลาด (สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล, 2561)
จากนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาคนสู่ศตวรรษที่ 21 สนับสนุนผู้เรียนต้องได้เรียนโค้ดดิ้ง (Coding) พร้อมพัฒนาหลักสูตรให้เป็นรูปธรรม ก้าวทันเทคโนโลยี และโลกยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งภาษาคอมพิวเตอร์ หรือ Coding เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตรอบด้าน โดยระยะแรกจะเรียนโดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged Coding) เพื่อให้มีพื้นฐานตรรกะการคิดแบบ Coding ก่อน จากนั้นจึงจะสามารถเรียนการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ในระดับชั้นต่อไป การเรียน Coding จะช่วยพัฒนาและเพิ่มพูนทักษะชีวิตให้กับผู้เรียนหลายด้าน ได้แก่ C : Creative Thinking ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนไทยด้วยข้อจำกัดทางการศึกษาด้านเทคโนโลยีO : Organized Thinking การส่งเสริมให้เยาวชนไทย มีความคิดที่เป็นระบบระเบียบมีตรรกะ วิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน รู้จักคิดที่จะแก้ไขปัญหา ด้วยข้อจำกัดต่าง ที่มีอยู่ในโลกดิจิทัล D : Digital Literacy ความสามารถในการเข้าใจภาษา ดิจิทัล ทำให้เยาวชนไทยสามารถดำรงชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้อย่างง่ายดาย I : Innovation นวัตกรรมที่จะนำไปใช้ได้จริง และเกิดประโยชน์แก่ตนหมู่มาก N : Newness การสนับสนุนให้คนไทยมีความคิดริเริ่ม ในการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่รอช้าซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยไม่เป็นประเทศที่เป็นแค่ผู้ตามอีกต่อไป G : globalization ยุคโลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่คนไทยต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ ของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและเปิดรับสิ่งใหม่ใหม่ให้ทัดเทียมหรือก้าวไกลไปกว่านานาประเทศ (คุณหญิงกัลยา โสภาณพนิช, 2562)
สำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษาให้ความสำคัญในการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเชิงคำนวณ และโคดดิ้ง จึงได้กำหนดนโยบายให้มีการประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงคำนวณ และโคดดิ้ง ในการจัดการเรียนรู้แบบการบูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีในกระบวนการแก้ปัญหา และในกระบวนการทางวิศวกรรม โดยได้จัดทำโครงการ อัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน Science Technology Innovation (STI) : Smart Intensive Farming ขึ้น เพื่อประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงคำนวณและโค้ดดิ้ง มาใช้ในการแก้ปัญหาทางเกษตรกรรม โดยใช้วิถีเกษตรกรรมยั่งยืน และการวางแผนจัดการอย่างชาญฉลาดเป็นบริบทในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เพื่อแก้ปัญหาในขั้นย่อยต่าง ๆ ของเกษตรกรรมแบบประณีตในโรงเรียนในลักษณะของ Unplugged Coding โดยมีกลยุทธสำคัญได้แก่รูปแบบการดำเนินงานเกษตรกรรมประณีตอย่างชาญฉลาดที่มีการใช้ฐานข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ในการวางแผนการดำเนินงานและการตลาดโดยคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีมูลค่าเพิ่มสูง และสอดแทรกแนวคิดเชิงคำนวณและโค้ดดิ้งเข้าไปในลักษณะของ Plugged Coding ด้วยการโปรแกรมการทำงานของบอร์ด Kidbrightให้ควบคุมการทำงานของระบบอัตโนมัติต่าง ๆ ในระบบฟาร์มอัจฉริยะในโรงเรียนเพื่อพัฒนาความแม่นยำในกระบวนการเกษตรกรรม เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะในการประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อน มีทักษะชีวิตที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21 มีความตระหนักในการทำเกษตรแบบยั่งยืนที่เน้นการพึ่งพาตนเองและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 - 2580) ด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้อยู่ดี กินดี มีความสุข สร้างความผาสุกระดับบุคคลและสังคม นำพาให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปในอนาคต (สำนักบริหารงานความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา, 2563)
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แนวคิดเชิงคำนวณและโค้ดดิ้งเพื่อการพัฒนาอัจฉริยะวิถีเกษตรประณีตอย่างยั่งยืนของนักเรียน
รูปแบบการจัดการเรียนรู้แนวคิดเชิงคำนวณและโค้ดดิ้งเพื่อการพัฒนา อัจฉริยะวิถีเกษตรประณีตอย่างยั่งยืนของนักเรียน ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่
1) ส่วนนำ 2) ส่วนเนื้อหา : การจัดการเรียนรู้แบบ ACIDS และ 3) ส่วนเงื่อนไขความสำเร็จ มีรายละเอียดดังนี้
แนวคิดในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ตามแนวทางของโครงการ มุ่งพัฒนาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามแนวทาง
ของโครงการ ประกอบด้วย 5 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 รู้จักพื้นที่ (Area based research)
เป็นการศึกษาเชิงพื้นที่ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ (Science) และสังคมศาสตร์ (Social Sciences) ได้แก่ การศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพ (Physical Geography)
ที่ต้องอาศัยการสังเกต(Observation) การสำรวจ (Exploration) การวัด (Measurement) การนำเสนอข้อมูลพื้นที่และภูมิศาสตร์มนุษย์ (Human geography) ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยมีการสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลด้านภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์ เช่น ข้อมูลการสำรวจพื้นที่โดยใช้ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์เป็นฐาน เริ่มจากการวิเคราะห์พื้นที่ การระบุพื้นที่เกษตรกรรม การแบ่งสัดส่วนพื้นที่เกษตรกรรมโดยใช้ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของประเทศ รวมไปถึงการรวบรวมวิธีการเพาะปลูกพืช การคัดเลือกพันธุ์ การดูแลรักษา และวิธีการเก็บเกี่ยว เป็นต้น โดยขั้นตอนนี้ต้องศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อใช้ในการตัดสินใจ และวางแผนเพื่อมุ่งพัฒนาการเพิ่มประสิทธิภาพ รวมไปถึงการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่โดยใช้เทคโนโลยีเป็นฐาน มีการสำรวจข้อมูลความต้องการของผู้บริโภค และข้อมูลการตลาด เพื่อใช้ในการวางแผนและตัดสินใจในการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ตรงต่อความต้องการในตลาด
ระยะที่ 2 เรียนรู้วางแผน (Coding for Farm) การวางแผนดำเนินการเกษตรอย่างเป็นระบบ
เป็นการวางแผนและออกแบบการบริหารจัดการในด้านต่าง ๆ โดยนำข้อมูลจากการศึกษาภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์ในระยะที่ 1 มาวิเคราะห์ออกแบบพื้นที่เกษตรกรรมและจัดลำดับขั้นตอนในการดำเนินการในพื้นที่เกษตรกรรม ให้เกิดผลตามลำดับขั้นตอนที่ต้องการ เช่น การออกแบบพื้นที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ การออกแบบการบริหารจัดการน้ำ การควบคุมระบบดูแลรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิตและแผนธุรกิจ รวมไปถึงการออกแบบเทคโนโลยีเพื่อการตลาด การสร้าง Application และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือสังคมแบบออนไลน์ ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวจะต้องวางแผนการดำเนินการโดยคำนึงถึงการบริหารจัดการโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อสร้างนวัตกรรม ใหม่ ๆ ให้เกิดความคุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผลผลิตทางเกษตรกรรมและแผนธุรกิจโดยนำเสนอแผนการออกแบบพื้นที่เกษตรกรรมและแผนธุรกิจให้กับผู้เชี่ยวชาญเพื่อนำข้อคิดเห็นและเสนอแนะมาปรับปรุงแผนก่อนนำไปสู่การปฏิบัติ
ระยะที่ 3 ริเริ่มปฏิบัติการ (Implementation)
การลงมือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่ได้ออกแบบในระยะที่ 2 ซึ่งระหว่างการดำเนินการจะต้องใช้การสังเกตและเก็บรวบรวมข้อมูลจากประเด็นปัญหาต่าง ๆ ในระหว่างการดำเนินการ เพื่อนำมาวิเคราะห์ผลและการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบผ่านแนวคิดเชิงคำนวณ (Computational thinking) ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ การแบ่งปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหา/งานย่อย (decomposition) เป็นการพิจารณาและแบ่งปัญหา/งาน/ส่วนประกอบ ออกเป็นส่วนย่อย เพื่อจัดการกับปัญหาได้ง่ายขึ้น การพิจารณารูปแบบของปัญหาหรือวิธีการแก้ปัญหา (pattern recognition) การพิจารณารูปแบบ แนวโน้มและลักษณะทั่วไปของปัญหา/ข้อมูล โดยมีการพิจารณาว่าเคยประสบปัญหาในลักษณะนี้หรือไม่ หากมีรูปแบบของปัญหาที่คล้ายกันก็สามารถนำวิธีการแก้ปัญหานั้นมาประยุกต์ใช้ และพิจารณารูปแบบปัญหาย่อยซึ่งอยู่ภายใน ปัญหาเดียวกันว่ามีส่วนใดที่เหมือนกัน เพื่อใช้วิธีการแก้ปัญหาเดียวกันได้ ทำให้ดำเนินการจัดการกับปัญหาได้ง่ายขึ้นและทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การพิจารณาสาระสำคัญของปัญหา (abstraction) เป็นการพิจารณารายละเอียดที่สำคัญของปัญหา โดยแยกแยะสาระสำคัญออกจากส่วนที่ไม่สำคัญ การออกแบบอัลกอริทึม (algorithms) เป็นขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือการทำงาน โดยมีลำดับหรือวิธีการที่ชัดเจนและสามารถทำงานเป็นรอบ (Loops) การทำงานแบบวนซ้ำจนสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ระยะที่ 4 รวบรวมพัฒนา (Development)
การค้นหาและแก้ไขข้อผิดพลาดโดยการพิจารณาและทบทวน เป็นการนำเอาข้อมูลจากการสังเกตผลการผลิต ผลประกอบการจากแผนธุรกิจ ตลอดจนประเด็นปัญหาและความท้ายทายที่เกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติการ มาวิเคราะห์และพิจารณาเพื่อปรับปรุงพัฒนารูปแบบ วิธีการ เครื่องมือ อุปกรณ์และแผนธุรกิจต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการเกษตร โดยสร้างวิธีการแก้ไขจุดบกพร่อง (Debugging) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้เรียนได้รู้จักการแก้ไขข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผ่านกิจกรรมที่ต้องทำแบบเป็นขั้นตอน เมื่อเจอประเด็นหรือขั้นตอนที่ผิดพลาด ต้องมีการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ซึ่งประกอบด้วย การระบุข้อผิดพลาด การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด และการแก้ไขและการตรวจสอบ
ระยะที่ 5 ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขยายผล (Sharing)
โดยกระบวนการรวบรวม วิเคราะห์และสังเคราะห์จัดระบบจัดเก็บเพื่อให้ได้บทสรุป ซึ่งอธิบายผลการดำเนินงานตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ปัจจัยเงื่อนไขที่สำคัญที่ทำให้เกิดผลเช่นนั้น รวมถึงข้อค้นพบใหม่ ซึ่งอธิบายผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดหมายทั้งที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์ แต่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานให้ดีขึ้น รวมถึงอธิบายปัจจัยเงื่อนไขที่ทำให้สิ่งนั้นปรากฏขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน ตรวจสอบต่อยอดความรู้สำหรับการนำไปเผยแพร่และใช้งานต่อไป ผ่านการสนทนา แลกเปลี่ยนความรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายผลสู่ชุมชน ซึ่งจะได้รูปแบบวิธีการและเครื่องมือต่าง ๆ รวมถึงแผนธุรกิจที่มีความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินงานเกษตรกรรม และยังสามารถต่อยอดผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ให้กับโรงเรียน นำไปสู่การผลักดันให้เกิดการยกระดับการผลิตสินค้าที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชุมสู่การตลาดในภาคเอกชนหรือในรูปแบบของสหกรณ์ รวมไปถึงการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์บริการความรู้ด้านการเกษตรบนพื้นฐานของเทคโนโลยีที่เข้าถึงได้แก่คนในชุมชน และนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปเผยแพร่ต่อผู้ปกครอง หรือผู้ที่สนใจได้
เป้าหมายหลักสูตรอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน
1. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและเกิดทักษะพื้นฐานทางด้านอัจฉริยะเกษตรประณีต ที่บูรณาการวิทยาศาสตร์ วิทยาการคำนวณ และเทคโนโลยี เข้ากับกระบวนการสัมมาชีพทางเกษตรกรรม และการเป็นผู้ประกอบการ
2. นักเรียนสามารถสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการเกษตร
3. ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวิทยาการคำนวณ บนพื้นฐานของอัจฉริยะเกษตรประณีตไปสู่ครอบครัว ชุมชน และการประกอบอาชีพในอนาคต
งานวิจัย : การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แนวคิดเชิงคำนวณและโค้ดดิ้ง เพื่อการพัฒนาอัจฉริยะวิถีเกษตรประณีตอย่างยั่งยืน
ได้รับการสนับสนุนทุนวิจัย จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
ผู้วิจัย : นางสาวกานจุลี ปัญญาอินทร์ นักวิชาการศึกษาเชี่ยวชาญ (ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยทางการศึกษา)
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
สถิติผู้เข้าชม