ในช่วงรัชกาลที่ 5 สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการขยายและตั้งหัวเมืองในภาคอีสานจำนวนมาก ขณะเดียวกันประชาชนจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงหรือ สปป.ลาว ซึ่งเดิมเป็นอาณาจักรเดียวกับภาคอีสาน คืออาณาจักรล้านช้างก็อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จำนวนมาก ซึ่งเป็นคำพูดติดปากว่า “อพยพมาบักแปดแสน” การอพยพมาของพี่น้องฝั่งซ้าย ก็แบ่งเป็นหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มพระวอพระตา กลุ่มพระโสมพระมิตร และกลุ่มพระครูโพนเสม็ด (ญาคูขี้หอบ) เป็นต้น กลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มพระครูโพนเสม็ดได้มาตั้งเมืองที่สุวรรณภูมิ (เมืองทุ่ง) และรวมกันตั้งเมืองร้อยเอ็ด
ในที่สุดกลุ่มคนที่อพยพมาตั้งชุมชนกุดรังมาจาก 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. กลุ่มซึ่งอพยพมาจากร้อยเอ็ดมาตั้งถิ่นฐานที่มหาสารคาม การขยายชุมชนในรูปของการขยายการปกครองแล้วจึงแยกย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านกุดรังสมทบกับกลุ่มตั้งเดิม ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว
2. กลุ่มซึ่งย้ายมาจากเมืองชนบท (ชนบท)
3. กลุ่มเดิมซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่เดิมจากการบอกเล่าของผู้รู้ในชุมชนเล่าว่าเมื่อประมาณ 150 ปี มีพระภิกษุอาวุโสรูปหนึ่งชื่อว่าหลวงพ่อสำเร็จลุน (สำเร็จเป็นตำแหน่งทางสงฆ์) เดินธุดงค์มาเห็นบริเวณบ้านกุดรังอุดมสมบูรณ์เลยชักชวนพี่น้องจากบ้านผำใหญ่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ (บ้านผำใหญ่ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอเมืองสรวงจังหวัดร้อยเอ็ด) แล้วมาสมทบกลุ่มซึ่งอพยพมาจากเมืองชนบท ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่หนองภูบักแกว และกลุ่มดั้งเดิมซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณหนองใหญ่ (หนองจากบ้านกุดรังประมาณ 1 กิโลเมตร ทางทิศตะวันตก) นำโดยพ่อใหญ่จำปา
ต่อมาได้ย้ายบ้านเรือนออกจากบริเวณดังกล่าวมาตั้งที่บริเวณโคกบ้านเค็ง (ปัจจุบันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหมู่บ้าน) แต่อยู่ไม่นานก็เกิดโรคห่า (โรคระบาด) ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าหมู่บ้านตั้งขวางดวงอาทิตย์ (ขวางตะวัน) ซึ่งย้ายหมู่บ้านมาตั้งที่แห่งใหม่เรียกว่า “ดอนหัน” ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านในปัจจุบัน
บ้านกุดรัง เป็นหมู่บ้านเก่าแก่และเป็นหมู่บ้านหลัก ซึ่งมีหมู่บ้านสาขาที่เป็นลูกหลานย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ เช่น บ้านหนองบัว หัวช้าง หนองแสง บ่อแก เป็นต้น แต่เมื่อรัชกาลที่ ๖ มีการตั้งนามสกุล ซึ่งจะเป็นได้ว่าช่วงเข้าพรรษาจะมีบุญข้าวสาก การสืบทอดสายญาติจะดูการส่งสิ่งของแลกเปลี่ยนกันแสดงว่ายังมีการนับญาติ
จากอดีตถึงปัจจุบันความเจริญทางเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสังคมและการเมืองชุมชนกุดรังเป็นชุมชนแบบกึงเมืองกี่ชนบทการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันน้อยลงประเพณีวัฒนธรรมเก่าๆซึ่งสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนก็เริ่มจืดจางลงไป แต่ก็คงมีอาจจะฉุดกระชากลากดึงเอาไว้ได้ เพียงแต่อยากให้คนรุ่นหลังได้ช่วยจรรโลงในส่วนที่ดีงามไว้เพื่อสืบทอดหรือเล่าขานกันต่อไป