ประเพณีสลากภัต
ประเพณีตานก๋วยสลาก หรือสลากภัต คือ การถวายเครื่องไทยทานแก่พระภิกษุสามเณร โดยไม่เจาะจงผู้รับเป็นประเพณีนิยมที่สืบทอดกันมาช้านานของชาวล้านนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปจะเริ่มราววันเพ็ญเดือน ๑๒ เหนือ หรือประมาณเดือนกันยายน และสิ้นสุดในเดือนเกี๋ยงดับหรือประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี
โดยมีประวัติความเป็นมาดังนี้ ในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหารนั้น วันหนึ่งนางกุมารีผู้หนึ่งได้อุ้มลูกชายวิ่งหนีนางยักขินีผู้มีเวรต่อกันหลายชาติแล้ว ติดตามมาจะทำร้ายลูกของนาง นางเห็นจวนตัวจะวิ่งหนีไปที่อื่นไม่ได้ จึงพาลูกวิ่งเข้าไปในวัดพระเชตวัน ในพระวิหารขณะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นางเอาลูกน้อยวางแทบพระบาทแล้วกราบทูลว่า "ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญ ขอทรงโปรดเป็นที่พึ่งแก่ลูกชายของหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าหยุดพฤติกรรมที่จองเวรของนางกุมาริกา และนางยักษ์ขินีด้วยการตรัสคำสอนว่า "เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร” แล้วทรงให้นางทั้งสองเห็นผิดชอบชั่วดี นางยักษ์ขินีรับศีล ๕ แล้วนางก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น กราบทูลพระพุทธเจ้าว่านางไม่รู้จะไปทำมาหากินอย่างไรเพราะรักษาศีลเสียแล้ว นางกุมาริกาจึงรับอาสาจะพานางไปอยู่ด้วย นางได้รับอุปการะจากนางกุมาริกาหลายประการ นึกถึงอุปการะอยากจะตอบแทนบุญคุณ จึงเป็นผู้พยากรณ์บอกกล่าวเรื่อง ลมฟ้าอากาศ คือ บอกให้นางกุมาริกาทำนาในที่ดอนในปีฝนมาก ทำนาในที่ลุ่มในเวลาฝนแล้ง นางกุมาริกาได้ปฏิบัติตามทำให้ฐานะร่ำรวยขึ้น คนทั้งหลายมีความสงสัยจึงมาถามหาสาเหตุ นางจึงบอกว่า นางยักษ์ขินีเป็นผู้บอกกล่าวให้ คนทั้งหลายจึงพากันไปหานางยักษ์ขินีขอให้พยากรณ์ให้ตนบ้าง คนทั้งหลายได้รับอุปการะจากนางยักษ์ขินีจนมีฐานะร่ำรวยไปตามๆ กัน ด้วยความสำนึกในบุญคุณ จึงพากันนำเอาเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารการกินเครื่องใช้สังเวยเป็นอันมาก นางจึงนำมาทำเป็นสลากภัต โดยให้พระสงฆ์กระทำการจับตามเบอร์ด้วยหลักของอุปโลกนกรรม คือ ของที่ถวายมีทั้งของมีราคามาก ราคาน้อย พระสงฆ์องค์ใดได้ของมีค่าน้อยก็อย่าเสียใจ ให้ถือว่าเป็นโชคของตนดีหรือไม่ดี การถวายแบบจับสลากของนางยักษ์ขินีนี้นับเป็นครั้งแรกแห่งประเพณีทำบุญสลากภัต หรือทานสลากในสมัยพุทธกาลนั้นเอง
ประเพณีปอยหลู่กองโหล
ความสำคัญ
ปอยหลู่กองโหล คือ งานประเพณีบูชาฟืน เมื่อถึงเดือน ๓ ของทุกปีจะเป็นช่วงอากาศหนาวเย็นมากหากได้ทำบุญกองโหลหรือกองฟืน จุดให้ความอบอุ่นและสว่างไสว ถวายแด่พระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะได้บุญกุศลมาก
พิธีกรรม
ก่อนวันงานชาวบ้านจะนำโหลหรือฟืนมาทำบุญที่วัดตามแต่ศรัทธา แล้วช่วยกันกองเป็นรูปเจดีย์ประดับประดาด้วยกระดาษสี ธง ส่วนยอดเจดีย์นิยมใช้ไม้สนทำเป็นยอด เพื่อทำให้จุดไฟติดง่าย เมื่อถึงวันงานทำพิธีถวายแด่พระในเวลากลางคืน เสร็จแล้วจุดกองฟืนให้ไฟลุกสว่างไสว
สาระ
การร่วมกันก่อกองฟืน จุดไฟให้ความอบอุ่นและสว่างไสวในฤดูที่อากาศหนาวจัด ทำให้ได้บุญกุศลและความสามัคคี
ประเพณีตานข้าวหย่ากู๊
ช่วงที่มีการจัดงาน
ประเพณีปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊มักจัดในเดือน 3 หรือเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกปีและจะจัดติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 3 ปี
ประวัติความเป็นมาของปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊
ประเพณีการหลู่ข้าวหย่ากู๊เป็นประเพณีหนึ่งที่จัดขึ้นทุกปี และเป็นประเพณีที่มีความผูกพันกับชาวบ้านผู้ทำการเกษตรมาช้านาน ถือว่าเป็นประเพณีของชาวไทใหญ่จัดขึ้นและสืบทอดแก่ลูกหลานสืบมา โดยมีความเชื่อว่าหลังจากทำนาหรือหลังจากเกี่ยวข้าวเสร็จต้องมีการระลึกถึงบุญคุณของข้าว(พระแม่โพสพ) ที่ได้คุ้มครองไร่นาหรือให้ชาวนามีข้าวไว้หล่อเลี้ยงชีวิต และเมื่อได้ข้าวมาก็จะนำไปถวายวัดเพื่อเป็นศิริมงคล และข้าวนั้นต้องเป็นข้าวใหม่ ในวัน “เหลินสาม” หรือเดือนสามซึ่งตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีชาวไทใหญ่จึงประเพณีถวายข้าวหย่ากู้สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ความเชื่อเกี่ยวกับประเพณีการทำข้าวหย่ากู๊
เมื่อ ถึงเดือน 3 หรือ เดือนกุมภาพันธ์ บรรดาพุทธบริษัทชาวไทใหญ่ทั้งหลายจะนิยมทำบุญหลู่ข้าวหย่ากู๊ หรือถวายข้าวเหนียวแดง เพราะเชื่อกันว่าการหลู่ข้าวหย่ากู๊นี้จะได้บุญกุศลทำให้ได้ไปจุติบนสวรรค์ เสวยผลบุญอย่างเป็นสุข เป็นประเพณีที่ทำกันสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการจัดงานประเพณี “ปอยหลู่ข้าวหย่ากู๊”(หลู่ หมายถึง ถวายหรือให้ทาน)หรือการถวาย ข้าวเหนียวแดง คือ กิจกรรมประเพณีที่เกิดขึ้นหลังจากที่ชาวบ้านได้เก็บเกี่ยวผลผลิตจาก การทำไร่ทำนา และได้ผลผลิต หรือเรียกว่า ได้ข้าวใหม่ ก็จะเอาข้าวใหม่นี้ไปทำบุญในรูปข้าวหย่ากุ๊ ในการหลู่ข้าวหย่ากู๊นั้นชาวบ้านจะแบ่งส่วนหนึ่งไปถวายพระภิกษุ สามเณร และส่วนที่เหลือทั้งหมดจะนำไปตาน (ให้ทาน ) คนเฒ่าคนแก่ที่บุคคลนั้นๆ ให้ความเคารพนับถือหรือ แจกเป็นทานในหมู่บ้านหรือตามบ้านญาติสนิทมิตรสหาย เพราะเชื่อกันว่าการหลู่ข้าวหย่ากู๊มีนี้จะได้บุญกุศล ซึ่งนิยมทำติดต่อกัน 3 ปี บางแห่งจะรวมตัวกันจัดงาน ในสมัยก่อนมีการแห่ขบวนข้าวหย่ากู๊ โดยใช้เกวียนบรรทุกข้าวหย่ากู๊แห่ไปทั่วหมู่บ้าน ซึ่งเกวียนจะประดับตกแต่งขบวนอย่างสวยงาม มีการละเล่นดนตรีพื้นบ้านและการฟ้อนรำเพื่อเพิ่มความสนุกสนานแต่ปัจจุบันนิยมใช้รถยนต์บรรทุก 4 ล้อแทนเกวียนในการให้ทานข้าวหย่ากู๊แทน( สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดแม่ฮ่องสอน
ประเพณียี่เป็ง
ยี่เป็ง เป็นภาษาล้านนา แยกได๎สองค่ำ คือคำว่า ยี่ ที่หมายถึง เดือนที่สองหรือเดือนยี่ตามที่คน ล้านนาใช้เรียกเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และคำว่า เป็ง ที่หมายถึงพระจันทร์๑ในคืนวันเพ็ญ โดยชาว ล้านนาจะเริ่มประเพณียี่เป็งตั้งแต่วันขึ้น ๑๓ ค่ำ จะเป็นวันเตรียมข้าวของสำหรับทำบุญที่วัดในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ และในคืนวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็จะนำกระทงไปลอยในแม่น้ำ
ประเพณีปฏิบัติของชาวล้านนาในเทศกาลยี่เป็ง หลักๆ แล้ว จะพาเข้าวัดทำบุญเพื่อความเป็นสิริ มงคลกับตนเองและครอบครัว มีการตกแต่งสถานที่ด้วย ซุ๊มประตูป่าประดับไฟสีต่างๆ ตอนหัวค่ำจะพากัน ไปบูชาเทียนพระประธานในวิหารโบสถ์เพื่อสืบชะตา รับโชค และสะเดาะเคราะห์ โดยเทียนนี้จะใช้ไส้เทียน เท่าอายุของตัวเองหรืออาจจะเผื่อไว้เล็กน้อย กระดาษสาที่เขียนคาถา วันเดือนปีเกิดของคนๆ นั้น เมื่อกลับมาบ้านก็จะจุดบูชาพระพุทธรูปที่บ้าน จุดประทีบหน้าบ้าน จุดดอกไม้ไฟ ปล่อยโคมลอย