ที่ตั้งโรงสีกาแฟบ้านอุมยอม
บ้านอุมยอม (Umyom villege) หมู่ 6 ตำบลแม่ท้อ อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เป็นหมู่บ้านของชาติพันธุ์ลาหู่เฌเลหรือมูเซอดำ ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ย 930 เมตร ลักษณะพื้นที่ภายในหมู่บ้านตั้งอยู่บนพื้นราบไหล่เขา ในบริเวณหมู่บ้านมีลักษณะเป็นเนินสูงต่ำไม่เท่ากัน
พิกัดที่ตั้งหมู่บ้าน : 47Q 494724 E 1852736 N
ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เฉลี่ย 930 เมตร
ทิศเหนือ ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติลานสาง
ทิศใต้ ติดกับพื้นที่ทำการเกษตรของบ้าน
ม้งใหม่พัฒนา และศูนย์พัฒนาราษฎร
บนพื้นที่สูงจังหวัดตาก ตั้งอยู่
ห่างจากศูนย์ฯ ประมาณ 800 เมตร
ทิศตะวันออก ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติลานสาง
ทิศตะวันตก ติดกับศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงฯ
ที่ทำกินของชาวบ้านประมาณ 600 ไร่
พื้นที่ป่าชุมชน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำของอุทยานแห่งชาติลานสาง จึงมีการจัดสรรปันส่วนป่าในหมู่บ้านให้เป็นป่าชุมชน 50 ไร่
พื้นที่ป่าช้าสำหรับทำพิธีกรรมของชาวบ้าน 20 ไร่
พื้นที่ป่าเลี้ยงสัตว์แบบปศุสัตว์ปล่อยประมาณ 500 ไร่
ป่าใช้สอยของหมู่บ้าน เป็นป่าหาอาหารและป่าเศรษฐกิจเก็บหาของป่า ประมาณ 1,000 ไร่
พื้นที่เพื่อการเกษตร 500 ไร่
พื้นที่สาธารณะประโยชน์ 440 ไร่
มูเซอ เพี้ยนมาจากคำว่า มก-ซอ แปลว่า นายพราน มักจะเรียกตัวเองว่า ลาหู่ หรือลาหู่นะ แต่คนทั่วไปมักเรียกว่า มูเซอ
บ้านอุมยอมเป็นชาวไทยภูเขาเผ่ามูเซอเฌเล โดยในปี พ.ศ. 2487 ได้อพยพเคลื่อนย้ายผ่านดอยช้าง จังหวัดเชียงราย มายังอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ สู่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง และเข้ามาที่จังหวัดตากเพื่อแสวงหาที่ทำกินและประกอบอาชีพในการปลูกฝิ่น จากคำเล่าลือถึงความอุดมสมบูรณ์และทำเลที่เหมาะสมในการทำการเกษตรจึงได้มีการอพยพเคลื่อนย้ายกันมามากขึ้น ประมาณ 70-80 ครอบครัว เดิมทีไปอยู่ที่บ้านเอาะกูม่า ซึ่งช่วงนั้นอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่งก็อพยพโยกย้ายเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไปอยู่ที่บ้านอุมเปี้ยม อำเภอพบพระ อีกกลุ่มไปอยู่ที่บ้านห้วยแม่ละเมา อำเภอแม่สอด จากนั้นก็มีการอพยพเคลื่อนย้ายจากการนัดพบของพี่น้องจากอำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงรายกลุ่มหนึ่ง จากอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่กลุ่มหนึ่ง และจากบริเวณที่อยู่อาศัยเดิมอีกกลุ่มหนึ่ง รวมเป็น 3 กลุ่ม โดยการเดินทางมานัดพบกันที่บริเวณหัวน้ำ (บริเวณศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตากในปัจจุบัน) แล้วร่วมกันหาทำเลที่มั่นสำหรับตั้งหมู่บ้าน การหาทำเลตั้งหมู่บ้านทำให้แตกออกไปเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้านวะดิติคะ บ้านเอะคอติคะ บ้านดอยแผนที่ และบ้านปะคาติคะ (มูเซออุมยอมในปัจจุบัน) บ้านปะคาติคะได้อพยพเคลื่อนย้ายไปอยู่บริเวณที่เขา 1010 (สถานีทวนสัญญาณโทรทัศน์ช่อง 7) ไม่นานก็มีพ่อค้าจีนฮ่อมาค้าขายฝิ่นทำให้เกิดการปล้นสะดมในเวลาต่อมา เป็นเหตุให้บ้านปะคาติคะถึงจุดล่มสลาย ชาวบ้านจึงอพยพเคลื่อนย้ายมาอยู่ที่บริเวณบ้านอุมยอมปัจจุบัน สมัยนั้นยังไม่มีชื่อหมู่บ้านเป็นทางการเรียกกันว่า "บ้านจะแคะ" โดยธรรมเนียมมูเซอเฌเลจะตั้งบ้านเรือนประมาณ 50 หลังเท่านั้น ถ้ามากกว่านี้จะต้องตั้งรกรากใหม่ เมื่อโยกย้ายไปอยู่บ้านห้วยปลาหลดบ้าง บ้านส้มป่อยบ้าง จึงเรียกบ้านอุมยอมหรือบ้านจะแคะว่าบ้านเก่า (เรียกกันติดปากถึงปัจจุบัน) ตั้งถิ่นฐานได้ประมาณ 65 ปี ในปี พ.ศ. 2502 จึงมีการตั้งหมู่บ้านเป็นทางการเรียกว่า "บ้านอุมยอม"
ปี พ.ศ. 2503 กรมประชาสงเคราะห์ได้จัดตั้งนิคมสร้างตนเอง เพื่อสงเคราะห์ชาวมูเซอขึ้น โดยขอกันที่ดินป่าสงวนบางส่วนออกจากกรมป่าไม้ และจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎร รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาในด้านต่าง ๆ แก่ชาวเขาในพื้นที่บริเวณนั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงาน เปลี่ยนชื่อหน่วยงานเป็นศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดตาก เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวไทยภูเขา จัดให้มีหน่วยเคลื่อนที่เข้าไปปฏิบัติงานในหมู่บ้าน มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการทำไร่เลื่อนลอยและการปลูกฝิ่น ส่งเสริมให้มีรายได้ เสริมสร้างโอกาสในการพัฒนาและการมีงานทำทั้งในและนอกภาคการเกษตร ให้สถานะทางสัญชาติ ส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูและจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบนพื้นที่สูง ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี โดยให้ประชาชนจัดตั้งกลุ่มอาชีพเพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนา
กาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า เป็นทางเลือกที่ภาครัฐนำมาส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจในหมู่บ้าน และให้มีการรวมกันเป็น กลุ่มกาแฟบ้านอุมยอม มีพี่วินัย พนาโยธิน เป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนกลุ่ม โดยได้รับการสนับสนุนความรู้ งบประมาณ อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ รวมทั้งการศึกษาดูงานการผลิตกาแฟ ทั้งจากศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาฯ และจาก JICA ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของประเทศญี่ปุ่น จนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงพบเห็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าต้นสูงใหญ่อายุมากกว่า 30 ปี กระจายอยู่โดยรอบหมู่บ้าน และพี่วินัยก็ยังคงผลักดันเรื่องการผลิตกาแฟในหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบันเช่นกัน
นอกจากที่ตั้งของหมู่บ้านที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเฉลี่ย 930 เมตร จะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการปลูกกาแฟแล้ว ปัจจัยด้านภูมิอากาศก็มีส่วนสำคัญต่อการปลูกกาแฟของหมู่บ้าน
จากข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยและปริมาณน้ำฝนในคาบ 30 ปี (พ.ศ. 2504-2533) บริเวณบ้านอุมยอม พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 27.5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุดเฉลี่ย 22.1 และ 33.0 องศาเซลเซียส เดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดคือเดือนมกราคม 16.9 องศาเซลเซียส เดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดคือเดือนเมษายน 38.0 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรวม 1,040.9 มิลลิเมตร/ปี
ทั้งนี้สภาพภูมิอากาศในคาบ 10 ปี (พ.ศ. 2554 - 2564) พบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไป โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี 22.6 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดและสูงสุดเฉลี่ย 18.0 และ 27.2 องศาเซลเซียส เดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดคือเดือนกุมภาพันธ์ 13.8 องศาเซลเซียส เดือนที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดคือเดือนมีนาคมและเมษายน 31.0 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรวม 1,723.5 มิลลิเมตร/ปี
การปลูกกาแฟโรบัสต้าของบ้านอุมยอม ส่วนใหญ่เป็นการปลูกตามธรรมชาติปล่อยให้ต้นสูงใหญ่ไปเรื่อย ๆ ไม่มีการบำรุงรักษาและตัดแต่ง เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตก็จะปีนขึ้นไปเก็บบนต้นและใช้วิธีรูดลงมาทั้งหมด ทำให้ผลกาแฟปะปนกันทั้งผลที่ยังไม่สุก ผลกาแฟสุกสีแดง (เชอรี่) และผลที่มีตำหนิ ทำให้เกษตรกรขายผลผลิตให้กับพ่อค้าคนกลางที่มารับซื้อได้ในราคาเฉลี่ย 2-3 บาท จึงไม่เป็นที่จูงใจของเกษตรกร
ประมาณปี พ.ศ. 2540 ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก ได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรบนดอยมูเซอปลูกกาแฟอราบิกา คาติมอร์ (Catimor) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการผสมยีนของโรบัสต้าเข้าไปเพื่อให้มีความต้านทานโรคสูงและให้ผลผลิตมากแบบโรบัสต้า พี่วินัยจึงได้ชวนสมาชิกกลุ่มกาแฟบ้านอุมยอมไปศึกษาเรื่องการปลูก การบำรุงรักษาตัดแต่ง และการเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรตาก รวมทั้งอีกหลาย ๆ จังหวัดทางภาคเหนือที่มีการปลูกและแปรรูปกาแฟ จากนั้นจึงเริ่มมีการปลูกกาแฟอราบิก้าแซมในสวนกาแฟโรบัสต้า และใต้ร่มไม้ในไร่สวน โดยยังเป็นระบบการเพาะปลูกตามธรรมชาติ สายพันธุ์กาแฟใหม่ที่ได้รับการส่งเสริมจึงเป็นความหวังของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟบ้านอุมยอมอีกครั้ง
แม้จะเริ่มมีการปลูกกาแฟอราบิก้าในไร่สวนอย่างเป็นระบบมากขึ้น และมีการทดลองฝึกเก็บเมล็ดตามที่ได้เรียนรู้มา แต่สำหรับเกษตรกรก็พบว่ายังเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก การเก็บผลกาแฟอราบิก้าที่ต้นไม่สูงนักก็ยังคงเป็นความเคยชินด้วยการรูดรวมกันมาทั้งหมด การรับซื้อผลผลิตโดยพ่อค้าคนกลางจึงถูกต่อรองราคาให้อยู่ระหว่าง 5-8 บาท เกษตรกรที่ปลูกกาแฟทั้งโรบัสต้าและอราบิก้าเกือบทุกแปลง จึงเลิกเก็บผลผลิตกาแฟและปล่อยให้กาแฟร่วงหล่นไป หรือบ้างก็ตัดทิ้งเพื่อใช้พื้นที่ไปทำการเกษตรอย่างอื่น ทั้งนี้ปัญหาที่พบของเกษตรกรกลุ่มกาแฟบ้านอุมยอมที่มีพี่วินัยดูแล ได้แก่
การเพาะปลูกยังขาดการบำรุงรักษาและการตัดแต่งผลผลิต
เกษตกรยังขาดความรู้เรื่องดัชนีการเก็บเกี่ยว รวมทั้งเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ถูกวิธี ราคาขายผลกาแฟจึงไม่ได้ตามเกณฑ์ทั่วไปในตลาด
สภาพอากาศบนดอยมีความชื้นสูง เมื่อเกษตรกรต้องการผลิตสารกาแฟเอง (การสีกาแฟ) จึงได้สารกาแฟที่ไม่มีคุณภาพ ราคาขายจึงลดลงไปอีก
เกษตรกรยังขาดองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในเรื่องกระบวนการผลิตกาแฟให้มีคุณภาพ รวมทั้งยังไม่เข้าใจแนวโน้มการบริโภคกาแฟที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน จึงไม่พัฒนาฝีมือการผลิตกาแฟให้ได้คุณภาพ
ในวันที่ TACT เดินทางไปเยี่ยมให้กำลังใจพี่วินัยที่โรงสีกาแฟ และเดินชมสวน ได้เก็บตัวอย่างเชอรี่กาแฟมาส่วนหนึ่ง (Micro lot) นำมาประเมินผลผลิตด้วยกระบวนการแปรรูปแบบง่าย โดยคุณหมอก้อง (นพ. ปรมินทร์ สันติทฤษฎีกร)
นำเชอรี่กาแฟที่เก็บเมล็ดสีแดงมาลอยน้ำ เพื่อล้างเศษดิน เศษใบไม้ รวมถึงเมล็ดเสียที่มีความหนาแน่นต่ำและเมล็ดเขียว เมล็ดที่ลอยทั้งหมดจะถูกคัดออกไป
*หมายเหตุ : น้ำที่ใช้ในการล้างจะต้องเป็นน้ำสะอาด PH เป็นกลาง หรือความกระด้างไม่มากเกินไป หรือถ้าเป็นไปได้ควรปราศจากคลอรีน
2. นำเชอรี่กาแฟที่ล้าง เทน้ำออก และนำไปตากบนโต๊ะหรือลาน เทคนิคการตากที่คุณหมอก้องใช้ เรียก Dry process (Slow drying) โดยไม่สัมผัสกับแสงอาทิตย์โดยตรง หรือตากในห้องเปิดหน้าต่าง หรือใช้พัดลมช่วยเป่าความชื้น โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาตากจนได้ความชื้นที่ต้องการ 9-12% ใช้เวลาประมาณ 14-21 วัน
หลังการทำ Slow dry ผ่านไป 1 สัปดาห์
หลังการทำ Slow dry ผ่านไป 2 สัปดาห์ (14 วัน)
พร้อมที่จะนำสารกาแฟเข้าสู่ขั้นตอนการสีเปลือก
3. ขั้นตอนการสีเชอรี่ : นำเชอรี่ที่ผ่านการทำ Slowdry ครบ 14 วันมาสีเปลือก
เครื่องสีเชอรี่แห้ง
การสีเชอรี่แห้ง
รอวัดความชื้น ถ้ายังชื้นอาจขึ้นตากอีกหน่อย คล้ายวิธี Wet - hull process ของประเทศอินโดนีเซีย ส่วนเปลือกเชอรี่สามารถนำไปคั่วทำเป็นชาได้
4. การวัดความชื้น Greenbean : นำเชอรี่ที่สีเปลือกแล้วมาวัดความชื้น
ค่าความชื้น (MC) 16.2% ปกติควรจะอยู่ระหว่าง 9-12% ค่าความหนาแน่น (Density) 657 mg/dl. เทียบเท่าระดับกลาง
5. นำ greenbean ขึ้นตากเพื่อลดความชื้นอีกครั้ง ให้อยู่ที่ 9-12%
หากสภาพอากาศชื้นจากภาวะฝนตกบ่อยผนวกกับการตากแบบไม่ถูกแดด สามารถขยายการตากเชอรี่ต่อไปได้อีก 21 วัน แต่เนื่องจากการตากเป็น greenbean ประมาณ 1-2 วัน ความชื้นจะลงเร็ว การตากนานจะทำให้ greenbean แห้งเร็วเกินไป
วันที่ 10 ตุลาคม 2565
หลังตากด้วยพัดลมไม่ถูกแดดอีก 1 วัน ความชื้นจาก 16.2% - >13.7% เมล็ดเปลี่ยนจากเขียวเข้มมาเป็นเขียวอมฟ้า หากตากต่ออีก 1 วัน ความชื้นคาดการณ์จะอยู่ประมาณ 10-11% จะสามารถนำมาประเมินในขั้นตอนต่อไปได้
6. ขั้นตอนการประเมินคุณภาพเมล็ด Greenbean
การสุ่มตรวจจะใช้กาแฟ 350 กรัม เพื่อตรวจสอบปริมาณความชื้น size defect ต่าง ๆ และคำนวณเป็นคะแนนออกมาตามหลัก GACCS
ทั้งนี้หลังการประเมินจะนำมาสรุปตาม Protocal ในลักษณะนี้
คัด greenbean ให้ได้ 350 กรัม เพื่อสุ่มตรวจ
ที่กองอยู่คือ defect 70 กรัม (จาก 350 กรัม) คิดเป็น 20%
greenbean ที่คัดแล้ว
จากการเก็บเชอรี่ที่บ้านอุมยอมจำนวน 2 กิโลกรัม เมื่อนำมา Dry process สีเชอรี่แห้ง คัด greenbean เพื่อนำเมล็ดที่บกพร่อง (defect) ออก ทีมงาน TACT ได้ greenbean 500 กรัม ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณผลผลิตต่อต้นจะได้ greenbean อยู่ที่ประมาณ 1.5 กิโลกรัม/ต้น
ลักษณะที่ 1 : Broken / Chipped cut
มีลักษณะแตกหักรวมทั้งการถูกตัดด้วยเครื่องจักรในกระบวนการสีเชอรี่หรือสีกะลา แสดงถึงการไม่สม่ำเสมอของเครื่องสี รวมทั้งขนาดเชอรี่ระหว่างการปรับการสี
แนวทางแก้ไข ต้องหมั่นสังเกตขนาดของเชอรี่กะลา รวมทั้งความพร้อมใช้ของเครื่องจักร
ผลกระทบต่อรสชาติในแก้ว จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นดิน รสเปรี้ยวที่เกิดจากการหมักภายในเมล็ดและความไม่สะอาดของรสชาติ
ลักษณะที่ 2 : Servere Slight Insect Damange
ลักษณะเสียหายอย่างรุนแรงจากการกัด เจาะของแมลง มีความแตกต่างจากการกัดเจาะปกติคือ กินพื้นที่ของเมล็ดมากกว่าปกติ เช่น มอดเจาะเกิน 2 รู
ผลกระทบต่อรสชาติในแก้ว ทำให้เกิดรสเปรี้ยวแหลมอย่างชัด สัมผัสได้ถึงความไม่สะอาดในปาก อาจรับรสได้ถึงความเป็นกลิ่นยา กลิ่นราที่เติบโตอยู่ภายใน
การแก้ปัญหา น่าจะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากในการสังเกตการรุกรานของแมลงศัตรูกาแฟ การเผาทำลายและการจัดเก็บสารกาแฟในภาวะการควบคุมที่ดี
หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนการประเมินคุณภาพเมล็ด Greenbean ก็ถึงขั้นตอนของการชิมเพื่อทดสอบคุณภาพกาแฟ (Coffee Cupping) โดยวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ทีมงาน TACT นำโดยคุณหมอปรมินทร์ ประธานและรองประธานกลุ่ม TACT (พี่จูน พี่เหี่ยว) ก็เริ่มกระบวนการ Cupping กาแแฟบ้านอุมยอมกันที่ Relax Coffee (ดูขั้นตอนการ cupping กาแฟได้ในเรื่องน่ารู้ของ "กาแฟ" by Dr.Dripper)
*SCA Cupping form
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2565 หลังจากนำ greenbean ล็อตเดียวกันไปตากลดความชื้น ได้ดำเนินการทดสอบรสชาติและคุณภาพเมล็ดกาแฟจากแหล่งปลูกบ้านอุมยอมอีกครั้ง
สำหรับ Cupping Score ของกาแฟบ้านอุมยอม จะสรุปให้เห็นเป็นตารางโดยแปลคำศัพท์ของคุณลักษณะพอสังเขปสำหรับท่านที่สนใจแต่อาจจะไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ที่ใช้ในการทดสอบกาแฟ และสามารถดูรายละเอียดของคุณลักษณะตามแบบ SCA Cupping form ได้ใน Infographic คลิก...
สรุปภาพรวมจากแหล่งปลูกกาแฟบ้านอุมยอม สายพันธุ์ Arabica Catimor ล็อตปี 2022
การทดสอบครั้งที่ 1 ในกระบวนการแปรรูปแบบ Natural process ทำการตากแบบ Slow drying ในที่ร่ม 14 วัน และตากต่อเพื่อลดความชื้นอีก 1 วัน รวม 15 วัน
ให้โทนรสชาติ : Dry grass + Pomelo + Green vegetable + Water melon + Mild sweetness + Mild body
การทดสอบครั้งที่ 2 นำ Greenbean มาตากแบบ Slow drying ในที่ร่มต่อจนครบ 1 เดือน
ให้โทนรสชาติ : Citrus + Pomelo + Chocolate + Honey mile sweetness + Mild body
ข้อมูลอ้างอิง :
กรมอุตุนิยมวิทยา. (2565). ข้อมูลอุณหภูมิสูงสุด-ต่ำสุด และปริมาณฝนของภาคเหนือ (รายวัน). จาก http://www.cmmet.tmd.go.th/forecast/pt/Max_Min_Rainfall.php
กรมอุตุนิยมวิทยา. (2557). ข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ย และปริมาณฝน ค่ามาตรฐาน 30 ปี สถานีอุตุนิยมวิทยาดอยมูเซอ สกษ. จาก https://www.tmd.go.th/province_weather_stat.php?StationNumber=48387
จิตติมา กันทะวงค์. (2552). การมีส่วนร่วมทางการเมืองของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดตาก กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์มูเซอดำบ้านอุมยอม ม.6 ต.แม่ท้อ อ.เมืองตาก จ.ตาก. รายงานวิจัยวิชาขอบเขตและวิธีการศึกษา (902) หลักสูตรปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง.