Embedded Files
โกเฟอร์ตัวเดียวใน 1 วัน ฟื้นฟูทั้งระบบนิเวศ ในปี 1980 ภูเขไฟเซนต์เฮเลนส์ระเบิดอย่างรุนแรงจนทำให้ระบบนิเวศใกล้เสียหายไปทั้งหมด แต่ด้วยความพยายามที่ไม่หยุดหย่อนของโกเฟอร์เพียงตัวเดียว พื้นที่ดังกล่าวก็ฟื้นฟูอย่างน่าตกใจ
ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิด เซนต์เฮเลนได้ทำลายป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ให้กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเป็นระยะทางหลายกิดลเมตร ซึ่งเต็มไปด้วยเถ้าถ่านและเศษซากความเสียหาย มันเป็นสถานที่ที่แทบจะไม่มีชีวิตใดเติบโตได้อีก
การสำรวจในปี 1983 เผยให้เห็นว่ามีพืชพรรณ์เพียง 12 ต้นเท่านั้นที่เรียนรู้จะอาศัยอยู่บนเศษซากเหล่านั้นซึ่งเชื่อกันว่าพืชเหล่านั้นน่าจะเกิดจากเมล็ดที่มากับนก อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าระบบนิเวศที่ถูกทำลายนี้อาจฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
โกเฟอร์ (gopher) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายกะรอกดิน 1 ตัวได้ถูกขนส่งทางอากาศไปวางไว้ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามาก่อนแต่ในตอนนั้นถูกถมด้วยเถ้าถ่านจากภูเขาไฟ นักวิทยาศาสตร์ปล่อยให้มันเที่ยวเล่นตามสบายบนพื้นที่ 24 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อหมดวันพวกเขาก็นำมันกลับโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
“ในช่วงทศวรรษ 1980 เราแค่กำลังทดสอบปฏิกิริยา(ของโกเฟอร์ที่มีต่อระบบนิเวศ)ในระยะสั้น” Michael Allen นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซต์ ผู้เขียนการศึกษากล่าว “แต่ใครจะคาดคิดว่าคุณสามารถปล่อยโกเฟอร์ไปสักวันหนึ่งแล้วจะเห็นผลตกค้างตามมานานถึง 40 ปี”
เรื่องมันกลับกลายเป็นว่าโกเฟอร์ได้ขุดดินและขับถ่ายตามกิจวัตรประจำวันของมัน พื้นดินก็เต็มไปด้วยชีวิตใหม่ ๆ อีกครั้งหลังเวลาผ่านไปเพียง 6 ปี ซึ่งมีพืชกว่า 40,000 ต้นเจริญเติบโตขึ้นมาบนแปลงที่โกเฟอร์ไปสัมผัส ขณะที่พื้นที่ที่ไม่มีการแตะต้องยังคงอยู่ในสภาพแห้งแล้ง และใน 40 ปีต่อมามันก็กลายเป็นระบบนิเวศที่คุ้นเคย
#มันเกิดอะไรขึ้น? ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Frontiers in Microbiomes ได้เผยเรื่องราวที่แท้จริง แม้โกเฟอร์จะเป็นดาวเด่นแต่ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริงก็คือสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งโกเฟอร์เป็นคนนำมา มันคือเชื้อรา
ด้วยการตรวจสอบความหลากหลายทางชีวภาพในดินจากสถานที่ต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าดินที่โกเฟอร์สัมผัสนั้นมีเชื้อราที่หลากหลายชนิดมากกว่า โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อว่าไมคอร์ไรซาซึ่งอาศัยอยู่ตามรากพืชเพื่อช่วยป้องกันโรคและทำให้พืชเข้าถึงสารอาหารได้
ไม่เพียงเท่านั้นความสามารถในการขุดของโกเฟอร์เองก็ช่วยสนับสนุนสิ่งนี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดินเดิมที่ยังมีจุลินทรีย์เดิมที่ถูกทับถมด้วยเศษซากภูเขาไฟ ถูกขุดขึ้นมาด้านบน ความหลากหลายทางจุลินทรีย์นี้ทำให้ระบบนิเวศค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการสัมผัสของโกเฟอร์เพียง 1 วัน
“ผู้คนมักคิดกันว่าโกเฟอร์เป็นศัตรูพืช แต่เราคิดว่าพวกมันน่าจะเอาดินเก่าขึ้นมาทิ้งบนพื้นผ้ว และนั่นคือจุดที่การฟื้นตัวเริ่มต้นขึ้น” อัลเลน กล่าว เชื้อราเหล่านี้ทำให้พืชสามารถตั้งตัวได้และได้รับสารอาหารจากพื้นที่ที่ยากลำบากนี้
“ต้นไม้เหล่านี้มีเชื้อราไมคอร์ไรซาของตัวเองที่ดูดซับสารอาหารจากใบสนที่ร่วงหล่น และช่วยเร่งให้ต้นไม้เติบโตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว” Emma Aronson นักจุลชีววิทยา ผู้เขียนร่วมกล่าว “ต้นไม้ฟื้นคืนชีพเกือบจะในทันทีบนบางพื้นที่ มันไม่ได้ตายหมดอย่างที่ทุกคนคิด”
ผลลัพธ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่ต่างก็ช่วยเหลือกันตั้งแต่จุลินทรีย์ที่มองไม่เห็นไปจนถึงดินและสัตว์ในท้องถิ่น ดังนั้นการจะรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืนจึงต้องสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
“เราไม่สามารถละเลยความสัมพันธ์ของทุกสิ่งในธรรมชาติได้ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เช่นจุลินทรีย์และเชื้อรา” Mia Maltz ผู้เขียนหลักของการศึกษา กล่าว
ที่มาhttps://x.com/environmanth/status/1860548904833454095?t=b42Tvj7q2JLeUatR27R6Sg&s=06
การสำรวจในปี 1983 เผยให้เห็นว่ามีพืชพรรณ์เพียง 12 ต้นเท่านั้นที่เรียนรู้จะอาศัยอยู่บนเศษซากเหล่านั้นซึ่งเชื่อกันว่าพืชเหล่านั้นน่าจะเกิดจากเมล็ดที่มากับนก อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าระบบนิเวศที่ถูกทำลายนี้อาจฟื้นฟูกลับมาได้อีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
โกเฟอร์ (gopher) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายกะรอกดิน 1 ตัวได้ถูกขนส่งทางอากาศไปวางไว้ในพื้นที่ที่เคยเป็นป่ามาก่อนแต่ในตอนนั้นถูกถมด้วยเถ้าถ่านจากภูเขาไฟ นักวิทยาศาสตร์ปล่อยให้มันเที่ยวเล่นตามสบายบนพื้นที่ 24 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อหมดวันพวกเขาก็นำมันกลับโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก
“ในช่วงทศวรรษ 1980 เราแค่กำลังทดสอบปฏิกิริยา(ของโกเฟอร์ที่มีต่อระบบนิเวศ)ในระยะสั้น” Michael Allen นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ริเวอร์ไซต์ ผู้เขียนการศึกษากล่าว “แต่ใครจะคาดคิดว่าคุณสามารถปล่อยโกเฟอร์ไปสักวันหนึ่งแล้วจะเห็นผลตกค้างตามมานานถึง 40 ปี”
เรื่องมันกลับกลายเป็นว่าโกเฟอร์ได้ขุดดินและขับถ่ายตามกิจวัตรประจำวันของมัน พื้นดินก็เต็มไปด้วยชีวิตใหม่ ๆ อีกครั้งหลังเวลาผ่านไปเพียง 6 ปี ซึ่งมีพืชกว่า 40,000 ต้นเจริญเติบโตขึ้นมาบนแปลงที่โกเฟอร์ไปสัมผัส ขณะที่พื้นที่ที่ไม่มีการแตะต้องยังคงอยู่ในสภาพแห้งแล้ง และใน 40 ปีต่อมามันก็กลายเป็นระบบนิเวศที่คุ้นเคย
#มันเกิดอะไรขึ้น? ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Frontiers in Microbiomes ได้เผยเรื่องราวที่แท้จริง แม้โกเฟอร์จะเป็นดาวเด่นแต่ผู้ปิดทองหลังพระตัวจริงก็คือสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งโกเฟอร์เป็นคนนำมา มันคือเชื้อรา
ด้วยการตรวจสอบความหลากหลายทางชีวภาพในดินจากสถานที่ต่าง ๆ นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าดินที่โกเฟอร์สัมผัสนั้นมีเชื้อราที่หลากหลายชนิดมากกว่า โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อว่าไมคอร์ไรซาซึ่งอาศัยอยู่ตามรากพืชเพื่อช่วยป้องกันโรคและทำให้พืชเข้าถึงสารอาหารได้
ไม่เพียงเท่านั้นความสามารถในการขุดของโกเฟอร์เองก็ช่วยสนับสนุนสิ่งนี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดินเดิมที่ยังมีจุลินทรีย์เดิมที่ถูกทับถมด้วยเศษซากภูเขาไฟ ถูกขุดขึ้นมาด้านบน ความหลากหลายทางจุลินทรีย์นี้ทำให้ระบบนิเวศค่อย ๆ ฟื้นตัวจากการสัมผัสของโกเฟอร์เพียง 1 วัน
“ผู้คนมักคิดกันว่าโกเฟอร์เป็นศัตรูพืช แต่เราคิดว่าพวกมันน่าจะเอาดินเก่าขึ้นมาทิ้งบนพื้นผ้ว และนั่นคือจุดที่การฟื้นตัวเริ่มต้นขึ้น” อัลเลน กล่าว เชื้อราเหล่านี้ทำให้พืชสามารถตั้งตัวได้และได้รับสารอาหารจากพื้นที่ที่ยากลำบากนี้
“ต้นไม้เหล่านี้มีเชื้อราไมคอร์ไรซาของตัวเองที่ดูดซับสารอาหารจากใบสนที่ร่วงหล่น และช่วยเร่งให้ต้นไม้เติบโตอีกครั้งอย่างรวดเร็ว” Emma Aronson นักจุลชีววิทยา ผู้เขียนร่วมกล่าว “ต้นไม้ฟื้นคืนชีพเกือบจะในทันทีบนบางพื้นที่ มันไม่ได้ตายหมดอย่างที่ทุกคนคิด”
ผลลัพธ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่ต่างก็ช่วยเหลือกันตั้งแต่จุลินทรีย์ที่มองไม่เห็นไปจนถึงดินและสัตว์ในท้องถิ่น ดังนั้นการจะรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืนจึงต้องสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง
“เราไม่สามารถละเลยความสัมพันธ์ของทุกสิ่งในธรรมชาติได้ โดยเฉพาะกับสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้เช่นจุลินทรีย์และเชื้อรา” Mia Maltz ผู้เขียนหลักของการศึกษา กล่าว
ที่มาhttps://x.com/environmanth/status/1860548904833454095?t=b42Tvj7q2JLeUatR27R6Sg&s=06
แนวโน้มที่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มระบบ
หรือ Green Production นั้นมีจำนวนมากขึ้น เพราะนอกจากการเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกแล้ว ยังทำให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการ ภาครัฐ และภาคเอกชนขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีรายงานจาก PwC’s 2024 Voice of the Consumer Survey ซึ่งเป็นการสำรวจเสียงของผู้บริโภค 20,000 คนจาก 31 ประเทศทั่วโลก โดย PricewaterhouseCoopers (PwC) บริษัทตรวจสอบบัญชีและให้คำปรึกษา เป็น 1 ใน 4 บริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผยให้เห็นว่า มีผู้บริโภคมากถึง 85% ที่เคยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง และผู้บริโภคจำนวนถึง 46% พร้อมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยไม่ให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมมากไปกว่านี้
ตัวอย่างผู้ประกอบการของไทยกับการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มระบบ หรือ Green Production ที่นำมาแนะนำในครั้งนี้คือ มัด มอ วาลู (Mud more value) กับผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมมูลวัวนม
ผ้ามัดย้อมมูลวัวนม มัด มอ วาลู เกิดจากแนวคิด Zero Waste และความตั้งใจทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด โดยคุณลี่-วรรณภา กิติโสภากุล เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า จังหวัดสระบุรีขึ้นชื่อเรื่องฟาร์มโคนมออร์แกนิก และมีมูลวัวเป็นของเสียจำนวนมาก จะทำอย่างไรไม่ให้มูลวัวเป็นของเสียสร้างมลพิษ และตนเองเป็นคนชอบงานประดิษฐ์จึงเกิดไอเดียนำ "มูลวัวนม" ที่มีในท้องถิ่นมาทำเป็นผ้ามัดย้อมมูลวัวนม เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า สมชื่อ มัด มอ วาลู ที่มาจากการผสมคำ มัด ผ้ามัดย้อม มอ เสียงร้องของวัว และ วาลู มาจาก แวลู ที่แปลว่ามูลค่า ที่ตอบโจทย์การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างงาน สร้างรายได้ ต่อยอดเศรษฐกิจในชุมชนอย่างยั่งยืน
Green Production ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุ้มค่า กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการใช้วัตถุดิบและของเหลือในกระบวนการผลิตมาหมุนเวียนต่อยอดเป็นสินค้าใหม่ สำหรับขั้นตอนผลิตเสื้อผ้านั้น จะเกิดเศษผ้าจำนวนหนึ่ง มัด มอ วาลู ได้นำเอาเศษผ้าเหล่านั้นมาต่อยอดทำเป็นเครื่องประดับติดเสื้อที่มีเอกลักษณ์ด้วย จากผ้ามัดย้อมมูลวัวนม ถูกออกแบบเป็นเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบงานคราฟต์ สนใจในสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สามารถมั่นใจได้ว่า สินค้านี้มีคุณภาพและปลอดภัยกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิงhttps://www.facebook.com/mudmorevalue
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=832227342241569&set=pb.100063629331549.-2207520000&type=3
https://www.facebook.com/watch/?v=778614966618075
https://mgronline.com/business/detail/9660000018724
https://www.unep.org/regions/asia-and-pacific/regional-initiatives/supporting-resource-efficiency/green-economy
https://repurpose.global/blog/post/green-manufacturing-the-business-benefits-of-sustainability
https://www.pwc.com/gx/en/issues/c-suite-insights/voice-of-the-consumer-survey.html
ขอบคุณภาพจาก FB Mud more value ผ้าย้อมมูลวัวนม
"ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน".#DCCE #กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม #กรมลดโลกร้อน #รักษ์โลก #อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ตัวอย่างผู้ประกอบการของไทยกับการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มระบบ หรือ Green Production ที่นำมาแนะนำในครั้งนี้คือ มัด มอ วาลู (Mud more value) กับผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมมูลวัวนม
ผ้ามัดย้อมมูลวัวนม มัด มอ วาลู เกิดจากแนวคิด Zero Waste และความตั้งใจทำผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด โดยคุณลี่-วรรณภา กิติโสภากุล เจ้าของแบรนด์ เล่าว่า จังหวัดสระบุรีขึ้นชื่อเรื่องฟาร์มโคนมออร์แกนิก และมีมูลวัวเป็นของเสียจำนวนมาก จะทำอย่างไรไม่ให้มูลวัวเป็นของเสียสร้างมลพิษ และตนเองเป็นคนชอบงานประดิษฐ์จึงเกิดไอเดียนำ "มูลวัวนม" ที่มีในท้องถิ่นมาทำเป็นผ้ามัดย้อมมูลวัวนม เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า สมชื่อ มัด มอ วาลู ที่มาจากการผสมคำ มัด ผ้ามัดย้อม มอ เสียงร้องของวัว และ วาลู มาจาก แวลู ที่แปลว่ามูลค่า ที่ตอบโจทย์การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างงาน สร้างรายได้ ต่อยอดเศรษฐกิจในชุมชนอย่างยั่งยืน
Green Production ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุ้มค่า กระบวนการผลิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการใช้วัตถุดิบและของเหลือในกระบวนการผลิตมาหมุนเวียนต่อยอดเป็นสินค้าใหม่ สำหรับขั้นตอนผลิตเสื้อผ้านั้น จะเกิดเศษผ้าจำนวนหนึ่ง มัด มอ วาลู ได้นำเอาเศษผ้าเหล่านั้นมาต่อยอดทำเป็นเครื่องประดับติดเสื้อที่มีเอกลักษณ์ด้วย จากผ้ามัดย้อมมูลวัวนม ถูกออกแบบเป็นเสื้อผ้าหลากหลายสไตล์ เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบงานคราฟต์ สนใจในสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สามารถมั่นใจได้ว่า สินค้านี้มีคุณภาพและปลอดภัยกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิงhttps://www.facebook.com/mudmorevalue
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=832227342241569&set=pb.100063629331549.-2207520000&type=3
https://www.facebook.com/watch/?v=778614966618075
https://mgronline.com/business/detail/9660000018724
https://www.unep.org/regions/asia-and-pacific/regional-initiatives/supporting-resource-efficiency/green-economy
https://repurpose.global/blog/post/green-manufacturing-the-business-benefits-of-sustainability
https://www.pwc.com/gx/en/issues/c-suite-insights/voice-of-the-consumer-survey.html
ขอบคุณภาพจาก FB Mud more value ผ้าย้อมมูลวัวนม
"ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชน".#DCCE #กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม #กรมลดโลกร้อน #รักษ์โลก #อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ความสำเร็จของนักวิจัย มช. ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน สร้างความตื่นเต้นไปทั่วโลก
ความสำเร็จของนักวิจัย มช. ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน สร้างความตื่นเต้นไปทั่วโลก กับการค้นพบลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมของพะยูนไทยที่ไม่เหมือนอื่นใดในโลก เป็นประชากรที่แยกมาจากอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อประมาณ 1.2 ล้านปีที่แล้ว ตอกย้ำความสำคัญในการอนุรักษ์ พะยูนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในทะเล ปัจจุบันประชากรได้ลดลงไปอย่างมาก โดยในประเทศไทยพบประมาณ 200 ตัวเท่านั้น อาศัยมากแถบทะเลจังหวัดตรัง จากที่มีจำนวนลดลงอย่างมากจนใกล้สูญพันธุ์จึงถูกคุ้มครองด้วยกฎหมายจำนวนมาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยคณะสัตวแพทยศาสตร์ ร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน กรมทรัพยากรชายทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประสบความสำเร็จในการศึกษาเรื่อง “ความหลากหลายทางพันธุกรรมของพะยูนในประเทศไทยและทั่วโลก” ซึ่งผลจากการศึกษาสร้างความตื่นเต้นให้นักวิชาการทั้งในและต่างประเทศมาก เนื่องจากพบว่ามีพะยูนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยในทะเลอันดามันของประเทศไทยมีลักษณะประชากรที่จำเพาะไม่เหมือนพะยูนที่อื่นในโลกนี้ โดยผลงานได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ Scientific Reports ฉบับล่าสุดเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564 ปัญหาสำคัญของการอนุรักษ์และเพิ่มจำนวนพะยูนคือไม่สามารถเพาะเลี้ยงได้ รวมถึงยากที่จะเลี้ยงให้รอดชีวิตในพื้นที่จำกัดที่ไม่ใช่ทะเล ตามที่เคยเป็นข่าวดังก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น “มาเรียม” หรือ “ยามีล” ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายสำหรับทีมนักวิจัยในการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาแนวทางในการจัดการอนุรักษ์ รองศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.กรกฎ งานวงศ์พาณิชย์ หัวหน้าคณะผู้วิจัยได้ให้ข้อมูลว่า ในการศึกษาครั้งนี้ใช้ตัวอย่างจากเนื้อเยื่อพะยูนจำนวน 118 ตัว ที่เก็บมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 ถึง 2562 แบ่งเป็นพะยูนจากทะเลอันดามันจำนวน 110 ตัว และทะเลอ่าวไทย 8 ตัว พบว่าความหลากหลายทางพันธุกรรมของพะยูนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลงกว่าในอดีต ในประเทศไทยพบความแตกต่างของรูปแบบพันธุกรรมจำนวน 11 รูปแบบ โดยพบในทะเลอันดามัน 9 รูปแบบ พบในทะเลอ่าวไทย 2 รูปแบบ แต่เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมกับพะยูนที่อาศัยจากส่วนอื่นในโลกพบว่า ในประเทศไทยมีประชากรพะยูน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่มีความจำเพาะไม่เหมือนประชากรที่ใดในโลก พบบริเวณทะเลอันดามัน ส่วนอีกกลุ่มเป็นประชากรที่เหมือนพะยูนอาศัยในบริเวณทะเลจีนใต้แถบประเทศ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยจากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงลำดับพันธุกรรมพบว่าประชากรกลุ่มที่มีความจำเพาะของประเทศไทยนี้เป็นประชากรที่แยกมาจากอีกกลุ่มหนึ่งเมื่อประมาณ 1.2 ล้านปีที่แล้ว นอกจากนั้น ตอนนี้เรากำลังศึกษาเพิ่มเติมว่าในจำนวนประชากรพะยูนกลุ่มนี้ที่จะแบ่งได้เป็นกี่ครอบครัว ซึ่งนับว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญอีกอันที่จะช่วยประเมินสถานการณ์ของพะยูนในประเทศไทย เนื่องจากก่อนหน้านี้เราทราบเพียงจำนวนพะยูนที่พบจากการสำรวจและจำนวนที่ตาย แต่เราไม่มีข้อมูลเลยว่าในประชากรพะยูนเหล่านี้จะมีด้วยกันกี่ครอบครัวดร. ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเรามีคำถามตลอดว่า พันธุกรรมของพะยูนที่อยู่ในน่านน้ำของประเทศไทยเหมือนกับพะยูนที่อาศัยอยู่ในบริเวณอื่น ๆ ของโลกหรือไม่ ซึ่งผลที่ได้จากศึกษาครั้งนี้น่าตื่นเต้นมาก เนื่องจากทำให้เราทราบว่าประเทศไทยเรามีประชากรพะยูนที่มีพันธุกรรมไม่เหมือนที่อื่น ซึ่งเราต้องอนุรักษ์ประชากรพะยูนเหล่านี้ไว้ให้ได้ ดังนั้นต่อไปนี้เราต้องมีมาตรการในการอนุรักษ์ประชากรพะยูนที่เด็ดขาด เราไม่ควรต้องสูญเสียพะยูนไปอีกแล้ว โดยเฉพาะสาเหตุที่มาจากมนุษย์เอง สำหรับคำถามที่เรารอคำตอบคือพะยูนที่อาศัยในน่านน้ำของประเทศไทยนั้นประกอบไปด้วยกี่ครอบครัว และเป็นสิ่งที่ทางเราต้องการทราบมาโดยตลอด”มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์และมีจำนวนประชากรไม่มากแล้ว ซึ่งผลการวิจัยการค้นพบลักษณะเฉพาะทางพันธุกรรมของพะยูนในไทยในครั้งนี้ จะสามารถใช้เป็นแนวทางการจัดการ สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ นำไปสู่การอนุรักษ์พะยูน และสร้างสมดุลทางทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลได้อย่างยั่งยืนข่าวที่เกี่ยวข้อง https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3551161475012274/
เต่าทะเลกินพลาสติก เพราะมีกลิ่นคล้ายอาหาร
อย่างไรก็ตาม ‘ขยะพลาสติก’ กว่า 8 ล้านตัน ที่ถูกทิ้งลงทะเลกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ และสร้างความเข้าใจผิดแก่เต่าทะเล นักวิจัยกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้เต่าทะเลกินพลาสติกเข้าไปอาจไม่ใช่เพราะว่ามันเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร หรือเพราะมันเหมือนกับแมงกะพรุนอย่างที่เราเข้าใจกันก่อนหน้านี้ เพราะงานวิจัยล่าสุด ได้เผยว่า เต่าทะเลพวกนี้คิดว่า “กลิ่นพลาสติก” ที่อยู่ในทะเลคืออาหาร กล่าวคือ สำหรับเต่าทะเลพวกมันจะใช้วิธีดม เพื่อประเมินอาหารตรงหน้า และเมื่อได้กลิ่นอาหารจากถุงพลาสติกที่ชุ่มน้ำบวกกับความที่ถุงพลาสติกมีกลิ่นคล้ายกับอาหารอันโอชะของพวกมัน (เนื่องจากมีแบคทีเรียและสาหร่ายสะสมอยู่) ทำให้กลิ่นของถุงพลาสติกเปลี่ยนไปเวลาที่มันอยู่ในทะเลนาน ๆ แล้วก็ตกเป็น อาหารแห่งความ “ไม่รู้” ของเต่าทะเลในที่สุด ซึ่งตามสถิติเผยว่า กว่า 52% ของประชากรเต่าทะเลทั่วโลก ล้วนกินถุงพลาสติกเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ และเต่าทะเลกว่า 1,000 ตัวต่อปี ต้องเสียชีวิตเพราะพลาสติกเหล่านั้น !!!
พวกเขาเลือกไม่ได้ แต่คุณเลือกได้! ไม่มีใครอยากให้บ้านตัวเองสกปรกหรอกนะ สัตว์น้ำก็เช่นกัน 8 มิถุนายน วันทะเลโลก
ท้องทะเลมหาสมุทร มีความสำคัญต่อโลกเราอย่างมาก ทั้งพืชที่ให้ออกซิเจน พืช สัตว์น้ำ ทรัพยากรต่างๆที่สำคัญต่อสิ่งมีชีวิตและมนุษย์ ในหลายๆด้าน แต่ปัจจุบันทะเลเสื่อมโทรมไปมาก ทั้งจากการท่องเที่ยว การล่าผลาญทรัพยากร มลพิษ ขยะ สารเคมีต่างๆที่ลงไปในน้ำ รวมถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นที่ส่งผลกระทบต่อสัตว์สิ่งมีชีวิตในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้หลายสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว บางปัญหาอย่างพลาสติกส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหาร วันที่ 8 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันทะเลโลก (World Ocean Day) เพื่อให้ประชาชนทั่วโลกช่วยกันปกป้องและรักษาทะเล เพื่อสิ่งมีชีวิตในรุ่นหลังโดยทุกคนต้องตระหนักถึงปัญหาขยะและการทำลายแนวปะการังอย่างจิงจัง และควรหยุดพฤติกรรมดังกล่าว พร้อมทั้งเป็นการเตือนสติว่าขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญปัญหาผลกระทบทางทะเลอย่างหนัก เช่น ผลกระทบจากสภาวะอากาศแปรปรวน การใช้และทำลายทรัพยากรทางทะเลจนหมดไป ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยในทะเล รวมถึงขยะ และมลพิษในทะเลควรถึงเวลาที่เราต้องอนุรักษ์ทะเล เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อคงความสวยงามของหลากสายพันธุ์เพื่อนร่วมโลก ให้อุดมสมบูรณ์ไปตราบนานร่มธรรม ขำนุรักษ์ environman
อีกหนึ่งสัญญาณเตือนทางธรรมชาติว่าปัญหาโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ชายฝั่งทะเลมาร์มะรา
ซึ่งเป็นทะเลที่อยู่ทางตอนใต้ของเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีนั้นกำลังเผชิญหน้ากับฟองโฟมสีน้ำตาล ที่ทั้งหนาและหนืด มันเรียกว่าเมือกทะเล (sea snot) เมือกทะเลนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสาหร่ายได้รับสารอาหารที่มากเกินไป โดยผู้เชี่ยวชาญชี้ว่านี่เป็นผลมาจากอุณหภูมิในทะเลที่ร้อนขึ้น และปัญหามลพิษทางน้ำที่ไปเร่งการสร้างสารอาหารจำนวนมากของสาหร่ายที่เป็นตัวผลิตเมือกนี่ขึ้นมาด้วย และในอีกทางหนึ่งมลพิษทางน้ำยังส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนของสาหร่ายเหล่านี้ด้วย ตัวเมือกทะเลมีลักษณะคล้ายกับเยลลี่ขนาดหนาที่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ และกระจายตัวออกไปในวงกว้างของชายฝั่งเจ้าเมือกทะเลนี้เป็นปัญหาต่อชาวประมง เนื่องจากเมือกทะเลที่ปกคลุมผิวน้ำเหล่านี้จะลอยขวางการออกเรือจากชายฝั่ง นอกจากนี้ เมือกทะเลยังเป็นภัยต่อสัตว์ทะเลจำนวนไม่น้อยอีกด้วย เช่น สัตว์เปลือกแข็งที่จำเป็นต้องเปิดกระดองของมันเพื่อที่จะหาอาหาร แต่เมื่อพวกมันเปิดฝาออกมา เมือกทะเลจำนวนมากก็จะไปติดจนทำให้พวกมันไม่สามารถปิดฝามันได้ดังเดิม และอาจทำให้พวกมันตายได้ Muharrem Balci ศาสตรจารย์ชีววิทยาขอมหาวิทยาลัยอิสตันบูล กล่าวว่า สาหร่ายที่ผลิตเมือกทะเลเหล่านี้เจริญเติบโตอย่างควบคุมไม่ได้ มันจะผลิตเมือกทะเลออกมาเป็นจำนวนมาก และปกคลุมผิวน้ำ ทำให้แสงแดดนั้นไม่สามารถลอดผ่านเข้าไปในทะเล รวมถึงการลดปริมาณออกซิเจนในน้ำด้วย นั่นอาจส่งผลต่อชีวิตของสัตว์ทะเลจำนวนมากที่ใช้ออกซิเจนในการหายใจ โดยศาสตราจารย์ยังชี้ให้เห็นอีกว่าสารอาหารที่เพิ่มมากขึ้นของสาหร่ายเหล่านี้เป็นผลของอุณภูมิที่อุ่นขึ้นและปัญหามลพิษทางน้ำที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ 40 ปีที่ผ่านมา เมือกทะเลเหล่านี้เป็นเหมือนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ที่ปกคลุมผิวน้ำเอาไว้Cevazhir Efe Akcelik วิศวกรด้านสิ่งแวดล้อมยังชี้ให้เห็นอีกว่าถ้าหากยังไม่มีมาตรการเร่งด่วนในการจัดการปัญหาเมือกทะเลเหล่านี้ พวกมันก็จะสามารถปกคลุมชายฝั่งทะเลได้ตลอดช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า ตอนนี้พวกมันไม่ได้อยู่แค่ที่ผิวน้ำแต่กำลังเริ่มจมลงไปกว่า 25 - 30 เมตรแล้วคนงาน หรือชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมชายหาดพยายามกำจัดพวกเมือกเหล่านี้ด้วยการใช้ตาข่ายแต่มันก็ไม่ใช่วิธีที่เข้าท่ามากนัก ศาสตราจารย์ Balci จึงชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนนั้นควรจะเป็นการควบคุมดูแลทะเลที่เหมาะสม อย่างการจัดการแก้ไขระบบกำจัดสารเคมีและสารชีวภาพของเมืองและอุตสาหกรรมที่อยู่ตามชายฝั่งด้วยซึ่งวิธีที่ศาสตราจารย์เสนอมานั้นนอกจากจะยั่งยืนแล้วยังเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุอีกด้วย เพราะนอกจากจะช่วยลดการเกิดของเมือกทะเลแล้ว ก็ยังเป็นการช่วยลดมลพิษทางทะเลด้วยเช่นกัน Source1.https://www.abc.net.au/news/2021-06-05/sea-snot-on-turkey-alarms-residents-marmara/1001934022.https://www.bbc.com/news/world-europe-57372677 3.https://www.theguardian.com/world/2021/jun/06/sea-snot-turkish-minister-announces-plan-tackle-slimy-scourgeเรียบเรียงโดย: THYMe
นักออกแบบสวนสุนันทาคิดผลิต กระเป๋าจากเปลือกข้าวโพด Corn Husk Paper Bag วัสดุทดแทนเป็นมิตร ลดขยะหมุนเวียน เพิ่มมูลค่าสร้างประโยชน์
ในปัจจุบัน เปลือกข้าว โพด เป็นส่วนหนึ่งของขยะทางการเกษตรที่มีปริมาณมาก ในหนึ่งวันเปลือกข้าวโพดจะถูกทิ้งจากตลาดขนส่งผลิตผลทางการเกษตร เป็นจำนวนหลายสิบตันต่อวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อมจากการทำลายเปลือกข้าวโพด โดยการเผา,ปล่อยทิ้งไว้ให้เน่าเสีย หรือ การจัดเก็บไว้ซึ่งอาจก่อให้เกิดอัคคีภัยได้ จากวิธีการที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รจนา จันทราสาและ นางสาว แพรว แซ่ลิ้ม สาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ผู้วิจัยเล็งเห็นปัญหาของเปลือกของข้าวโพดทีเป็นส่วนที่ยังไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงนำเอาปัญหาข้างต้นที่กว่ามาต่อยอดและมาพัฒนาเพื่อก่อให้เกิดวัสดุใหม่ในการผลิตกระเป๋าที่เกิดจากการนำเอาเปลือกข้าวโพดมาพัฒนาเป็นกระเป๋า กระเป๋าเป็นสิ่งที่ใช้ใส่สิ่งของพกพาไปที่ต่าง ๆ ในการออกไปทำกิจกรรมข้างนอก เพื่อเพิ่มความสะดวกในการพกพา มีรูปแบบการผลิตจากวัสดุหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พลาสติก(PVC),(PU),กระเป๋าหนังเทียม, ผ้าสังเคราะห์ แต่สิ่งทีกล่าวมานั้นเป็นวัสดุที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้วนั้นยังเป็นวัสดุที่ไม่สามารถย่อยสลายได้หรือใช้เวลาเป็นหลายปีโดยเฉพาะ พลาสติก,หนังเทียม ที่ต้องใช้เวลาในการย่อยสลาย มากกว่า 500 ปี หรือมากกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ทางสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันเรามีการตื่นตัวต่อเรืองสิ่งแวดล้อมที่มากขึ้น โดยการหันกลับมาใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้เร็วกว่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการแก้ปัญหาครั้งนี้จัดทำขึ้นเพื่อหาแนวทางในการออกแบบ และพัฒนากระเป๋าเปลือกข้าวโพด เพื่อเป็นการหาวัสดุทดแทน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มมูลค่าให้แก่ เปลือกของข้าวโพด เพื่อต่อยอดในการผลิต เป็นวัสดุใหม่รางวัลที่ได้รับเหรียญทอง การประกวด 2020 International Innovation & Invention Competition จากประเทศไต้หวันเจ้าของผลงานผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รจนา จันทราสาและ นางสาว แพรว แซ่ลิ้มสาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
งานวิจัยเผยว่าน้ำแข็งทะเลอาร์กติกกำลังบางลงเร็วขึ้นกว่าจากที่เคยคาดการณ์ไว้
งานวิจัยชิ้นใหม่เผยว่าน้ำแข็งทะเล (Sea ice) ทั่วอาร์กติกกำลังบางลงเร็วขึ้นกว่า 2 เท่าของที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยเป็นสาเหตุจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น และกลายเป็นวัฏจักรที่อันตรายเนื่องจากการละลายทำให้เมื่อมีพื้นผิวน้ำซึ่งเป็นสีมืดมากขึ้นดูดซับความร้อนของแสงอาทิตย์ และทำให้โลกร้อนขึ้นอีก โดยน้ำแข็งทะเลที่หนา ช่วยหยุดไม่ให้มหาสุทรสร้างความร้อนสู่บรรยากาศในหน้าหนาว และปกป้องมหาสมุทรจากความร้อนในช่วงฤดูร้อน โดยน้ำแข็งทะเลที่บางลงจะทำให้ง่ายต่อการหายไปในช่วงฤดูร้อน การเปลี่ยแปลงในอาร์กติกยังอาจส่งผลตค่อสภาพอากาศสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน และน้ำท่วมในซีกโลกเหนืออีกด้วย นอกจากนี้ การสูญเสียของน้ำแข็งทะเลทำให้การเดินทางขนส่งเรือจากจีนไปยุโรปง่ายขึ้น แต่ก็หมายถึงการที่อาจจะทำให้การขุดเจาะน้ำมันและก๊าซง่ายขึ้นเช่นกัน Prof Julienne Stroeve จาก UCL เผยว่า "ยังมีหลายสิ่งที่ยังไม่แน่นอน แต่เชื่อว่าการคำนวณครั้งใหม่ของเรานี้เป็นก้าวสำคัญต่อไป เราหวังว่างานนี้จะช่วยปรับปรุงการคาดการณ์ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงในอาร์กติก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ร้อนขึ้นเร็วกว่าที่อื่นของโลกถึง 3 เท่า โดยพื้นที่นี้มีน้ำแข็งที่มีส่วนสำคัญในการทำให้โลกเย็น" งานวิจัยhttps://tc.copernicus.org/articles/15/2429/2021/ที่มา https://www.theguardian.com/world/2021/jun/04/arctic-sea-ice-thinning-twice-as-fast-as-thought-study-findshttps://phys.org/news/2021-06-arctic-sea-ice-thinning-faster.html
#มอร์มูฟเป็นข่าว เริ่ดจริง!!!! ปลัด ทส.ชื่นชมนักวิจัย ม.สงขลานครินทร์
ที่มีไอเดียใหม่ ผลิตถุงเพาะชำกล้าไม้จากยางพาราซึ่งย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ (แถมใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ได้ด้วย) เพื่อแก้ปัญหายางพาราราคาตกและปัญหาขยะพลาสติกล้น ปัจจุบัน ผลงานดังกล่าวของนักวิจัยได้รับความสนใจจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยประเทศจีนและมองโกเลียได้ติดต่อขอนำถุงเพาะชำกล้าไม้จากยางพาราไปใช้ในโครงการปลูกป่าฆ่าทะเลทราย โดยคุณสมบัติที่อุ้มน้ำได้ดีและมีความคงทนต่อสภาวะแห้งแล้ง
📌 นักวิจัยได้ทดลองนำยางพาราที่ผ่านการปรับปรุงสูตรให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นถุงเพาะชำกล้าไม้ ทั้งสภาพที่คงทน การคงรูปของถุงเพาะชำ โดยสูตรที่คิดค้นขึ้นและจากการทดลองสามารถทำให้ถุงเพาะชำย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารพิษตกค้างไว้ในดิน จึงเป็นการช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกที่เกิดจากถุงเพาะชำเดิม และส่งเสริมให้เกษตรกรได้ลดต้นทุนในการผลิต ประหยัดแรงงาน รวมถึงการรักษารากของกล้าไม้ที่เกิดจากการขนย้ายกล้าไม้อีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสูตรเพื่อให้ถุงเพาะชำใช้ได้ทนต่อทุกประเภทของกล้าไม้และพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ รวมถึงสามารถใส่ปุ๋ยลงในถุงเพาะชำเพื่อบำรุงกล้าไม้ได้อีกด้วย.-------------------------------------------อ่านต่อ : https://news.thaipbs.or.th/content/282960?fbclid=IwAR364geot2XW9a9EJal_triQR0TtIc8pcnwp-_FDsMyjGY0KBkr8yW3EjcU
📌 นักวิจัยได้ทดลองนำยางพาราที่ผ่านการปรับปรุงสูตรให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นถุงเพาะชำกล้าไม้ ทั้งสภาพที่คงทน การคงรูปของถุงเพาะชำ โดยสูตรที่คิดค้นขึ้นและจากการทดลองสามารถทำให้ถุงเพาะชำย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารพิษตกค้างไว้ในดิน จึงเป็นการช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกที่เกิดจากถุงเพาะชำเดิม และส่งเสริมให้เกษตรกรได้ลดต้นทุนในการผลิต ประหยัดแรงงาน รวมถึงการรักษารากของกล้าไม้ที่เกิดจากการขนย้ายกล้าไม้อีกด้วย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงสูตรเพื่อให้ถุงเพาะชำใช้ได้ทนต่อทุกประเภทของกล้าไม้และพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ รวมถึงสามารถใส่ปุ๋ยลงในถุงเพาะชำเพื่อบำรุงกล้าไม้ได้อีกด้วย.-------------------------------------------อ่านต่อ : https://news.thaipbs.or.th/content/282960?fbclid=IwAR364geot2XW9a9EJal_triQR0TtIc8pcnwp-_FDsMyjGY0KBkr8yW3EjcU
"One Night in Bangkok" NASA เผยภาพราตรีหนึ่งในกรุงเทพจากมุมมองนักบินอวกาศที่สถานี ISS
ภาพมุมเอียงนี้ถูกถ่ายโดยมุมมองนักอวกาศจากสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่มองประเทศไทยในยามค่ำคืน ถูกเผยแพร่โดยองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA ให้เห็นภาพสุดแปลกตาของประเทศไทย โดยกรุงเทพที่เป็นเมืองหลวงและมีประชากรมากที่สุดเป็นจุดศูนย์กลางของแสงที่เด่นออกมา ขณะเมืองอื่นๆมีเส้นแสงที่อยู่ริมชายฝั่งอ่าวไทย โดยนาซาชี้ว่ากรุงเทพเป็นเมืองที่หลักของไทยที่มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน ถัดมาที่มีประชากรมากคือชลบุรีที่เห็นแสงแสดงถึงความหนาแน่นของประชากรอย่างชัดเจนแหลมฉบังที่เป็นท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสามารถมองเห็นได้อยู่ในทางชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทยตัว ก (อ่าวกรุงเทพ) โดยการขนส่งทางเรือส่วนใหญ่จากต่างประเทศจะเข้ามาสู่ที่นี่นอกจากนี้ NASA ชี้ว่าจุดสีเขียวๆที่อยู่ในอ่าวไทยคือเรือประมงที่ใช้แสงเพื่อล่อแพลงก์ตอนและหมึก โดยการประมงเป็นอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ และคนไทยรับโปรตีนจากอาหารทะเลเป็นจำนวนมาก ขณะบริษัทที่อยู่รอบๆอ่าวไทยก็เป็นแหล่งทรัพยากรปลาขนาดใหญ่ที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ภาพนี้ถูกถ่ายเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา Sourcehttps://earthobservatory.nasa.gov/images/148346/one-night-in-bangkok?fbclid=IwAR3zHsZhUyfj5r8tzlbMLqAfqdVMqLbesqgUwyH7jIw3orU5LJJyNH1xh28
🇨🇳👩🔬🔬🧪 จีนเป็น #สังคมวิทยาศาสตร์ ประชาชนจะไว้อาลัยทั่วประเทศ หากมีการสูญเสีย #นักวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญต่อประเทศจีน ✝️
🇨🇳🌾🍚🍙 คนจีนทั่วประเทศได้แห่ไว้อาลัย ศาสตราจารย์ หยวน หลงผิง (Yuan Longping) นักวิทยาศาสตร์เกษตร ผู้เป็นบิดาแห่งข้าวลูกผสมของจีน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมาด้วย ด้วยวัย 91 ปี ภาพของท่านถูกฉายบนเสาหอคอยแห่งนครเทียนจิน ในสื่อสังคมออนไลน์ เวยโป๋ ของจีน ข่าวการจากไปของท่านมียอดผู้อ่านหลายพันล้านครั้ง ผู้ใช่้อินเทอร์เน็ตทุกเพศทุกวัยล้วนแสดงความเศร้าโศกต่อการสูญเสียวีรชนของชาติ
🏆🎖🏅 จะมีนักวิทยาศาสตร์สักกี่คนในโลก ที่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ผู้คนต่างโศกเศร้าเสียใจกันทั้งชาติ ผลงานวิจัยข้าวของท่าน กำลังเปลี่ยนประเทศจีนจากประเทศนำเข้า ไปสู่ประเทศส่งออกข้าว ไม่ว่าจะเป็นข้าวพันธุ์น้ำทะเล ที่ปลูกริมทะเลได้ ข้าวทนแล้ง ที่ปลูกในทะเลทรายได้ โดยพันธุ์ข้าวของท่านกำลังจะนำไปขยายผล เพื่อปลูกในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกอะไรได้กว่า 100 ล้านไร่ ให้กลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง และเมื่อนั้น ตลาดการค้าข้าวของโลก จะเป็นของคนจีนโดยสมบูรณ์ 🛒
🛰 อัพเดตความก้าวหน้าทางด้านเกษตร และความรู้อื่นๆ ได้ทุกวัน กับ เพจเกษตรอัจฉริยะ 🛰📲 Facebook - https://www.facebook.com/smartfarmthailand/📲 Facebook - https://www.facebook.com/TheRichScientist/📲 Twitter - https://twitter.com/teerakiat_kerd/📲 YouTube Channel - "Dr. Teerakiat Kerdcharoen"Credit : Many Thanks to ....- Data from http://www.xinhuanet.com/english/2021-05/23/c_139964045.htm
🏆🎖🏅 จะมีนักวิทยาศาสตร์สักกี่คนในโลก ที่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ผู้คนต่างโศกเศร้าเสียใจกันทั้งชาติ ผลงานวิจัยข้าวของท่าน กำลังเปลี่ยนประเทศจีนจากประเทศนำเข้า ไปสู่ประเทศส่งออกข้าว ไม่ว่าจะเป็นข้าวพันธุ์น้ำทะเล ที่ปลูกริมทะเลได้ ข้าวทนแล้ง ที่ปลูกในทะเลทรายได้ โดยพันธุ์ข้าวของท่านกำลังจะนำไปขยายผล เพื่อปลูกในพื้นที่ที่ไม่สามารถปลูกอะไรได้กว่า 100 ล้านไร่ ให้กลับมาเขียวชอุ่มอีกครั้ง และเมื่อนั้น ตลาดการค้าข้าวของโลก จะเป็นของคนจีนโดยสมบูรณ์ 🛒
🛰 อัพเดตความก้าวหน้าทางด้านเกษตร และความรู้อื่นๆ ได้ทุกวัน กับ เพจเกษตรอัจฉริยะ 🛰📲 Facebook - https://www.facebook.com/smartfarmthailand/📲 Facebook - https://www.facebook.com/TheRichScientist/📲 Twitter - https://twitter.com/teerakiat_kerd/📲 YouTube Channel - "Dr. Teerakiat Kerdcharoen"Credit : Many Thanks to ....- Data from http://www.xinhuanet.com/english/2021-05/23/c_139964045.htm
ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี มีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่เหมือนใคร
1 > ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี มีซูเปอร์มาร์เก็ตที่ไม่เหมือนใครอยู่แห่งหนึ่งที่ชื่อ SirPlus แทนที่จะวางจำหน่ายสินค้าสดใหม่ไร้ตำหนิ พวกเขากลับขายอาหารกระป๋องและอาหารแพ็คเกจที่ใกล้หรือพ้นวันหมดอายุไปแล้ว และสินค้าที่มีฉลากไม่ถูกต้อง ผลไม้และผักที่ไม่สวยและถูกเมินจากร้านอื่นๆ สินค้าพวกนี้วางขายโดยมีส่วนลดสูงสุดถึง 80% ทำไมถึงเป็นแบบนี้?2 > SirPlus คือสตาร์ทอัพที่ตั้งใจจะสร้างแรงสั่นสะเทือนในด้านบวกด้วยการรณรงค์ต่อต้านขยะจากอาหาร ร้านค้าต่างๆ มักจะทิ้งอาหารส่วนที่ใกล้หรือหมดอายุไปแล้ว พวกที่ไม่ผ่าน QC อย่างง่ายดาย เพราะมันไม่ "สวย" พอหรือใกล้หมดอายุแล้วซึ่งหากลูกค้านำไปบริโภคอาจเกิดปัญหา แต่ SirPlus เห็นว่าอาหารไม่ได้หมดอายุจริงๆ ตามเวลาที่ระบุไว้ในฉลาก3 > พวกเขาจึงนำอาหารส่วนเกินกลับเข้าสู่วงจรโดยเสนอขายในร้านของพวกเขาที่เรียกว่า "ตลาดกอบกู้" และยังขายผ่านออนไลน์ด้วย โดย SirPlus จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมอาหาร 700 แห่ง โดยรับสินค้าส่วนเกินหรือที่ไม่ต้องการแล้วจากเกษตรกร, บริษัทโลจิสติกส์, ผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีก4 > ซัพพลายเออร์อาจบริจาค "ของเสีย" หรือขายให้กับ SirPlus ในราคาต่ำมาก ด้วยวิธีการนี้บริษัทต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่ากำจัดเพื่อกำจัดขยะอาหารเหลือทิ้ง และเมื่อคลังสินค้าของ SirPlus เต็มแล้ว อาหารที่ไม่สามารถรองรับได้จะยกให้ฟรีสำหรับองค์กรการกุศลในท้องถิ่นและงานช่วยเหลือสาธารณะอื่นๆ 5 > ถามว่าถ้าอาหารใกล้หมดอายุแล้วหรือหมดไปแล้วจะไม่เป็นปัญหาหรือหรือถ้านำมาจำหน่ายต่อ? ตอบว่าก่อนที่จะไปถึงชั้นวางของจำแหน่าย SirPlus จะมีการตรวจสอบรายการอาหารอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยที่จะรับประทาน และหากมีข้อสงสัยจะเรียกห้องแล็บเข้ามาตรวจสอบ6 > อีกอย่างก็คือในเยอรมนีมีกฎว่าหากสินค้าที่หมดอายุแล้วแต่ยังสามารถบริโภคได้ ก็ยังสามารถนำขายได้อย่างถูกกฎหมายโดยทางผู้จำหน่ายต้องแจ้งลูกค้าก่อนว่าสินค้าหมดอายุแล้ว ด้วยนโยบายนี้ช่วยให้ SirPlus สามารถป้องกันขยะอาหารได้ประมาณ 2,000 ตันต่อปี7 > อาหารเหลือราคาถูกเหล่านี้ไม่ได้ได้มาฟรี แต่พวกเขาจ่ายเงินซื้อมาเพื่อให้สอดคล้องกับห่วงโซ่ภาษีการขาย แต่จะจ่ายในราคาที่เหมาะสมเพื่อไม่ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมผลิตอาหารมากเกินไปและในราคาที่ไม่กระทบต่อเกษตรกรและพ่อค้าคนกลาง 8 > การดำเนินการของ SirPlus ยังช่วยเติมช่องว่างใก้กับงานการกุศลด้วย แต่ละปีธนาคารอาหารและองค์การที่ทำงานแจกอาหารฟรีไม่สามารถแบกรับอาหารเหลือจากบริษัทต่างๆ ได้ทันเพราะมันมีมากเหลือเกิน SirPlus จึงเข้ามาเสริมในจุดนี้เพราะมีศักยภาพในการจัดเก็บมากและยังจำหน่ายออกไปได้ด้วย9 > ในแต่ละปีมีอาหาร 18 ล้านตันถูกทิ้งให้สูญเปล่าในเยอรมนี อาหารถูกทิ้งเท่ากับปริมาณรถบรรทุกทุกๆ นาที จากข้อมูลของ WWF ระบุว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงอาหารเหลือทิ้งได้ถึง 10 ล้านตัน และยังสามารถช่วยกอบกู้ได้อีกนับล้านตันจากผู้ผลิตและผู้ค้าส่ง ด้วยวิธีนี้ลูกค้าและคู่ค้าของ SirPlus จะมีส่วนร่วมที่สำคัญในการบริโภคอย่างยั่งยืนและการปกป้องสภาพอากาศ10 > แน่นอนว่าพวกขายังไม่ได้ทำกำไรจากการทำกิจการแบบนี้ แต่หวังว่าจะมีกำไรในอนาคตเพื่อที่จะดำรงอยู่ต่อไปและสานต่อธุรกิจในระยะยาว ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเขาตั้งเป้าที่จะกอบกู้อาหารส่วนเกินหลายล้านตัน โดยกำลังลงทุนเพิ่มเติมในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยกอบกู้อาหารได้มากขึ้นในอนาคตข้อมูลจาก• "This German supermarket’s shelves are filled with food other stores won’t sell" (February 17, 2020). World Economic Forum).• "Mission & Vision". https://sirplus.de/pages/mission
การศึกษาเผยว่าผืนป่าทั่วโลกได้ฟื้นฟูเองตามธรรมชาติเทียบเท่าพื้นที่ฝรั่งเศส ใน 20 ปีที่ผ่านมา ชี้ดีกว่าการปลูกป่า ช่วยสู้โลกร้อนได้ วอนยุติการตัดไม้ทำลายป่า
การศึกษาชี้ว่าผืนป่าทั่วโลกขนาดเทียบเท่าประเทศฝรั่งเศส ได้ฟื้นฟูเติบโตขึ้นตามธรรมชาติ นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา โดยชี้ว่าผืนป่าที่ถูกฟื้นฟูขึ้นมานี้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.9 กิกะตัน หรือมากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีของสหรัฐอเมริกา การศึกษานี้มาจากองค์กร WWF ร่วมกับ Birdlife international และ WCS ที่ได้ใช้ข้อมูลทางดาวเทียมเพื่อสร้างแผนที่ผืนป่าที่ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง โดยการฟื้นฟูพื้นที่ที่ศึกษานี้เป็นพื้นที่ที่ธรรมชาติที่ฟื้นฟูโดยมีการแทรกแซงเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย จากการที่ปล่อยให้พื้นที่ฟื้นฟูเอง การปลูกพืชพื้นถิ่นต่างๆ การไม่ให้สัตว์ปศุสัตว์เข้าไปในพื้นที่ หรือการนำพืชรุกรานต่างถิ่นออกไป William Baldwin-Cantello จาก WWF ชี้ว่าการฟื้นฟูป่าตามธรรมชาตินั้นมีราคาที่ถูกกว่า กักเก็บคาร์บอนได้ดีกว่า และดีกว่าต่อความหลากหลายทางชีวภาพ หากเปรียบเทียบกับการปลูกป่า แต่เขาได้เผยว่าเราไม่สามารถพึ่งการฟื้นฟูตามธรรมชาติได้เพียงอย่างเดียว "เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่อันตราย เราจำเป็นต้องทำทั้งการยุติการตัดไม้ทำลายป่า และฟื้นฟูป่าธรรมชาติ"Baldwin-Cantello เสริมว่าการตัดไม้ทำลายป่านั้นกินพื้นที่มหาศาลในแต่ละปี ซึ่งมากกว่าที่ฟื้นฟูไปหลายเท่าตัว โดยผืนป่านั้นมีศักยภาพที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ต้องมีการผลักดันให้มีการฟื้นฟูป่า และแก้ไขสิ่งที่ทำให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า อย่างกฎหมายที่ป้องกันไม่ให้แหล่งอาหารมาจากแหล่งที่มีการตัดไม้ทำลายป่าในต่างประเทศ หนึ่งในตัวอย่างจากการศึกษาที่เป็นความหวังคือป่าแอตแลนติกในบราซิล ที่ฟื้นฟูเติบโตในขนาดพื้นที่เทียบเท่าเนเธอร์แลนด์นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ตัวอย่างอื่นๆคือป่าเขตเหนือในมองโกเลีย ที่ฟื้นฟูเป็นขนาดพื้นที่ 1.2 ล้านเฮกตาร์ และผืนป่าในแอฟริกากลาง และตอนเหนือของแคนาดาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นักวิจัยก็ได้เตือนว่าป่าทั่วโลกกำลังเผชิญภัยคุกคามจากการตัดไม้ทำลายป่า จึงจำเป็นต้องมีการฟื้นฟูป่าเพิ่มขึ้น รวมถึงยุติการทำลายป่า หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศคือการปลูกพืชต้นไม้ แต่นักวิทยาศาสตร์เผยว่า ประเภทของพืชจำเป็นต้องเหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด Sourcehttps://www.bbc.com/news/science-environment-57065612
ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไปผุดแอป Green2Get ช่วยจัดการขยะแต่ละประเภท เชื่อมต่อแหล่งรับซื้อ-แหล่งบริจาค ครบจบเรื่องขยะในแอปเดียว ชวนทุกคนเข้าร่วมจัดการปัญหาขยะกัน
ลุงซาเล้งกับขยะที่หายไป เป็นเพจที่ให้ความรู้ด้านการคัดแยกขยะให้ถูกต้อง และสื่อสารปัญหา และวิธีแก้ไขปัญหาขยะ ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นบนมือถือที่ช่วยแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาว แอปนี้มีชื่อว่า Green2Get กรีนทูเก็ต ทั้งระบบ iOS และ Android โดยจะตอบคำถามสามเรื่อง1. What : สินค้า หรือ ของที่เราใช้อยู่นั้นมันคือวัสดุอะไรบ้าง (เริ่มจากสินค้าที่มีบาร์โค้ดสินค้าก่อน) ซึ่งถ้ายังไม่มีข้อมูล เราสามารถช่วยกันเพิ่มเข้าไปได้2. How : วิธีการจัดการขยะชิ้นนั้นๆ ทำอย่างไร โดยที่เราสามารถเพิ่มวิธีการคัดแยกขยะแต่ละชิ้นได้ และช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง3. Who&Where : ใครเป็นคนรับวัสดุชนิดต่างๆ และพวกเค้าเหล่านั้นอยู่ที่ไหน โดยแอพจะแสดงผู้รับประเภทแบบต่างๆ เช่น รับรับซื้อของเก่า จุดรับบริจาค ส่งทางไปรษณีย์ ใกล้ตัวท่านตัวแอปนี้จะมีข้อมูลขยะประเภทต่างๆ อาทิ กระดาษ พลาสติก โลหะ และแก้ว เมื่อเลือกแต่ละประเภท จะมีแหล่งที่ไปให้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งรับซื้อ หรือแหล่งบริจาค ซึ่งทุกท่านสามารถมีส่วนร่วมในการเพิ่มข้อมูลในขยะแต่ละประเภทได้นอกจากนี้แอพนี้ยังทำหน้าที่เชื่อมต่อกับผู้รับซื้อขยะ และองค์กรต่างๆที่รับวัสดุเหลือใช้ โดยกลุ่มนี้สามารถมีส่วนร่วมในแอปได้ดังนี้ 1. สำหรับผู้รับซื้อขยะรีไซเคิล รวมถึง องค์กรต่างๆ ที่รับวัสดุเหลือใช้ สามารถสมัครได้ที่นี่ hero.green2get.com 2. สำหรับเจ้าของสินค้า ผลิตภัณฑ์ที่อยากเข้าร่วมในแพลตฟอร์ม รบกวนกรอกรายละเอียดที่นี่ แล้วจะติดต่อกลับไปจ้า https://forms.gle/4pfZRjEz4maMU7sG83. แอพอาจจะป่วงๆ เอ๋อๆ นิดหน่อยเพราะทำด้วยงบ และคนที่จำกัด แต่ฝากให้ 5 ดาวด้วยน้า > < หรือใครอยากให้ปรับปรุงตรงไหน ส่งคอมเมนต์มาได้เลย https://forms.gle/x5ksxnCv5sb7bjSDAถือเป็นแอปพลิเคชั่นที่ดีและเป็นประโยชน์ในการที่จะช่วยแก้ไขปัญหาขยะได้ในระยะยาว ทำให้วัสดุแต่ละชนิดได้ไปจัดการอย่างถูกวิธี และไปเป็นประโยชน์อีกครั้ง โดยทุกท่านสามารถโหลดใช้งานได้แล้ววันนี้ที่iOS : https://apps.apple.com/th/app/green2get-%E0%B8%A3-%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%84-%E0%B8%A5/id1336429633Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.green2get.green2get&fbclid=IwAR3MAb7dn5dfF0K2BmBjDmG8hMxTmSxSiIjr1pFhfUPV3ThXcSxh5mBUansติดตามข้อมูลเพิ่มเติม https://green2get.comhttps://www.facebook.com/Green2Get
เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘ไมโครพลาสติก’ กันอยู่บ่อยครั้งแล้ว มันคือพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรที่หลุดจากพลาสติกชิ้นใหญ่ ลอยไปตามธรรมชาติ อยู่ทั้งในที่ที่สูงที่สุดของโลก และลึกที่สุดของโลก
POLLUTION: เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า ‘ไมโครพลาสติก’ กันอยู่บ่อยครั้งแล้ว มันคือพลาสติกขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตรที่หลุดจากพลาสติกชิ้นใหญ่ ลอยไปตามธรรมชาติ อยู่ทั้งในที่ที่สูงที่สุดของโลก และลึกที่สุดของโลกทว่า พลาสติกยังสามารถหลุดลอย และมีขนาดที่เล็กกว่าไมโครพลาสติกได้อีก นักวิทยาศาสตร์เรียกขนาดพลาสติกที่เล็กมากจนไม่สามารถกักเก็บตัวอย่างมาได้ด้วยวิธีธรรมดาทั่วไปว่า ‘นาโนพลาสติก’ มันจะมีขนาดเล็กกว่า 100 – 1000 นาโนเมตร ซึ่งจิ๋วกว่าฝุ่น PM 2.5 ด้วยซ้ำ นาโนพลาสติกจึงเป็นมลพิษที่หลุดลอย และอาจกระจายเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์โดยที่เราไม่รู้ตัว ล่าสุด งานวิจัยว่า Swansea University ประเทศเวลส์พบว่า หน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งอาจปล่อยสารเคมีปนเปื้อน และนาโนพลาสติกในธรรมชาติได้ เพราะสีที่ใช้ย้อมหน้ากากที่ผลิตในเอเชียใต้ และจีนมีสารเคมี และเส้นใยพลาสติก และเศษโลหะขนาดเล็กมักหลุดออกมาจากหน้ากากอนามัยที่ถูกปล่อยทิ้งตามแหล่งน้ำ เศษโลหะขนาดเล็กที่หลุดออกมาจะเป็นจำพวก ตะกั่ว (Lead), พลวง (Antimony) และแคดเมียม (Cadmium) สารเหล่านี้อันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแม้ในปริมาณที่น้อย Dr Sarper Sarp ผู้นำการเขียนงานวิจัยเผยว่า โลหะหนักที่พบเหล่านี้ยังเป็น "สารตกค้างที่ไม่สามารถเอาออกได้ง่าย และสะสมอยู่ในระบบใต้น้ำนาน" ซึ่งหมายความว่าพวกมันจะไม่ถูกกำจัดออกจากระบบ อาจเข้าไปในตัวสัตว์น้ำ และจะสะสมในธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป“ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 พวกเราต่างร่วมกันหาวิธีลดการใช้หลอด ลดแพคเกจจิ้งพลาสติกในสินค้า แต่ตอนนี้เราหันไปทางไหนก็เจอแต่หน้ากากที่ถูกทิ้งเกลื่อนกว่าพันพันชิ้น” Dr Sarper Sarp เสริมตอนนี้มันอาจไม่แสดงผลได้ทันที แต่ปัญหาเรื่องมลพิษและสารปนเปื้อนเหล่านี้ Sarp ชี้ว่าจะค่อย ๆ สะสม และเราจะได้เห็นผลในอนาคตอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม การใช้หน้ากากอนามัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิดยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และบางทีหน้ากากผ้าอาจไม่ตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิตของบางคน แต่เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้เบื้องต้นด้วยตัวเองก่อน เริ่มจากการทิ้งหน้ากากอนามัยให้ถูกที่ถูกวิธี ซื้อหน้ากากอนามัยที่มีการผลิตที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพ ทั้งนี้ นักวัยชี้ว่า ควรมีการนำความรู้เรื่องหน้ากากที่ผลิตอย่างถูกหลักและปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อมมาเปิดเผยให้ประชาชนรู้ด้วย รวมถึงต้องมีนโยบายจากรัฐเพื่อแก้ไขปัญหา หรืองานวิจัยอื่น ๆ เพื่อศึกษาเพิ่มเติม “เราต้องเรียงลำดับความสำคัญ อย่างแรก เราต้องจัดการกับปัญหาโรคระบาดนี้ให้ได้ก่อน และปกป้องกันซึ่งกันและกัน หลังจากนั้น ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องเริ่มแก้ปัญหาเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” Sarp เผย Source1. https://www.bbc.com/news/uk-wales-56972074
CLIMATE CHANGE: งานวิจัยชี้ ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยมากขึ้น ทำให้บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์หดตัวบางลง หวั่นกระทบดาวเทียม GPS และสื่อสารวิทยุ
การศึกษาชิ้นใหม่ชี้ว่าก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยไปอย่างมหาศาลทำให้บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ (Startosphere) หดขนาดบางลงหวั่นผลกระทบต่อดาวเทียม ระบบนำทาง GPS และการสื่อสารวิทยุ บรรยากาศ คืออากาศที่ห่อหุ้มโลกตั้งแต่พื้นโลกขึ้นไป ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ มีประโยชน์แตกต่างกันไปตามชั้นบรรยากาศ โดยชั้นสตราโทสเฟียร์ (Stratosphere) ความสูง 20 - 60 กิโลเมตรจากพื้นผิวโลก มีปริมาณความเข้มข้นของโอโซนมาก โอโซนจะช่วยดูดกลืนรังสี UV จากดวงอาทิตย์ ไม่ให้ส่องมายังพื้นผิวโลกมากเกินไป อันตรายต่อพืช และมนุษย์ โดยนักวิจัยพบว่าชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ได้บางลง 400 เมตร นับตั้งแต่ 1980s และจะบางลงอีก 1 กิโลเมตรภายในปี 2080 หากไม่มีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะส่งผลกระทบต่อการเดินการของดาวเทียม GPS นำทาง และการสื่อสารวิทยุ การค้นพบนี้เป็นอีกหนึ่งหลักฐานผลกระทบของมนุษย์ต่อโลก โดยเมื่อเดือนก่อนหน้านี้มีงานวิจัยที่เผยว่าสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้แกนหมุนของโลกเคลื่อนที่ จากมวลน้ำแข็งที่ละลายอย่างมหาศาล เปลี่ยนแปลงมวลของพื้นโลก และทำให้ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เปลี่ยนแปลงไป Juan Añel หนึ่งในทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย University of Vigo เผยว่าการหดตัวและบางลงของชั้นสตราโตสเฟียร์นั้นเป็นสัญญาณฉุกเฉินของสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ที่มนุษย์ได้มีผลสำคัญ ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ทราบกันดีว่าบรรยากาศชั้น troposphere ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ใกล้พื้นผิวโลกมากที่สุดนั้นได้ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มากขึ้น และสันนิษฐานว่าชั้นสตราโตสเฟียร์นั้นได้หดตัวลง แต่การศึกษาล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกที่แสดงให้เห็น และชี้ว่ามันหดตัวรอบโลกนับตั้งแต่ 1980s โดยชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นส่งผลต่อชั้นบรรยากาศนี้ งานวิจัยhttps://iopscience.iop.org/article/10.1088/1748-9326/abfe2bSource1.https://www.theguardian.com/environment/2021/may/12/emissions-shrinking-the-stratosphere-scientists-find?CMP=fb_gu&utm_medium=Social&utm_source=Facebook&fbclid=IwAR0229VARmXL7cUdKnnEqiQlR1bIpU_NtE2vaMPhu1mbMSsGVTflGITU5r4#Echobox=16208293382.https://www.facebook.com/environman.th/posts/3637941983000889/3.https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/66583/-blo-sciear-sci-
โรงเรียนในสหรัฐฯโกกรีน เปลี่ยนใช้โซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดเงิน-ลดค่าไฟ เพิ่มเงินเดือนให้คุณครู
เมื่อนักข่าวถามคุณครูในโรงเรียน Batesville High School ในรัฐ Arkansas สหรัฐอเมริกาว่า “ทำไมคุณถึงมาเป็นครู?” ครูคนนี้ไม่ลังเลที่จะตอบเลยว่า “เพราะนักเรียน” แต่พอนักข่าวถามว่า “งั้นผมสรุปเลยได้ไหมว่าคุณคงไม่ได้ทำเพราะเงิน?” คุณครูก็ไม่ลังเลที่จะตอบว่า เช่นกันว่า “ถ้าคุณหวังเงิน คุณทำผิดอาชีพแล้ว” Batesville High School เป็นหนึ่งในโรงเรียนในเขตการศึกษา Batesville คติพจน์ของเขตคือ “Students’ First” หรือ “ให้ความสำคัญกับนักเรียนก่อน” แต่พอพูดถึงเงินเดือนครู ครูในเขตกลับได้ผลตอบแทนที่น้อยนิด จนเกือบเป็นเขตที่เงินเดือนครูน้อยที่สุดในรัฐ ทำให้ครูหลายคนลาออก และไม่สามารถหาคนใหม่มาสอนแทนได้ Michael Hester ผู้อำนวยการเขตการศึกษา Batesvielle ให้สัมภาษณ์กับ CBS News ว่า “คนไม่ได้มาทำงานนี้เพื่อเงิน แต่พวกเขาก็ไม่สมควรสอนด้วยค่าตอบแทนที่น้อยนิดด้วย” จากปัญหานี้ และวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของหัวเรืออย่าง Hester เขาจึงตัดสินใจติดแผงโซลาร์เซลล์ในสนามหลังโรงเรียน Basteville Highschool ที่ไม่ได้ถูกใช้งาน และบนหลังคาของระเบียงทางเดิน เพื่อนำพลังงานแสงอาทิตย์ มาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าใช้ในโรงเรียนในเขต และสร้างรายได้ให้เขตจากการขายพลังงานให้กับโรงงานไฟฟ้าท้องถิ่นด้วยแผงโซลาร์เซลล์กว่า 1,500 แผงที่มีมาตั้งแต่ปี 2017 ค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของเขตลดลง 300,000 ดอลลาร์ต่อปี การใช้ไฟฟ้าของเขตก็ลดไป 1.6 ล้าน kWh ต่อปีด้วยภายใน 3 ปี จากที่ค่าใช้จ่ายประจำปีของเขตเคยขาดดุลประมาณ 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.6 ล้านบาท ตอนนี้มันกลายเป็นเกินดุล 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 54 ล้านบาทแล้ว ซึ่งจากค่าใช้จ่ายที่น้อยลงและเงินที่เพิ่มขึ้น ทางผู้อำนวยการเขตตัดสินใจนำไปเพิ่มเป็นเงินเดือนให้กับครูแทน จาก 2,000 ดอลลาร์ ก็กลายเป็น 3,000 ดอลลาร์ (92,367 บาท) และสำหรับครูที่ทำงานมานานแล้วก็ขึ้นไปถึง 9,000 เลย (274,959 บาท) แน่นอน นอกจากที่ครูจะแฮปปี้ ไม่ต้องทำงานเสริมเพื่อจ่ายหนี้แล้ว นักเรียนก็มีผลการเรียนที่ดีขึ้น เพราะทางเขตสามารถจ้างครูที่มีความสามารถได้ และครูที่อยู่ก็สามารถหันมาทุ่มให้กับการสอนได้อย่างเต็มที่ จากตัวอย่างนี้ ทางเขตตระหนักว่า การที่จะให้ความสำคัญกับนักเรียนนั่นเริ่มได้จากการลงทุนกับครู อีกทั้งในเรื่องของพลังงาน การที่ทางเขตหันมาใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่สะอาดกว่าพลังงานจากโรงงานถ่านหิน ก็ช่วยลดการเผาไหม้ก๊าซเรือนกระจก อีกหนึ่งตัวการที่ทำให้โลกของเราร้อนขึ้นเช่นกันในตอนนี้ โรงเรียนกว่า 7,000 โรงในสหรัฐ ได้หันมาใช้แผงโซลาร์เซลล์มากขึ้น เพราะมันทั้งช่วยประหยัดเงิน และช่วยโลกเราได้ในเวลาเดียวกันได้ Sourcehttps://generation180.org/batesville-ar-energy-savings-reap-investments-in-teacher-pay-and-education/ (ข่าว)https://energynews.us/2020/10/16/this-arkansas-school-turned-solar-savings-into-better-teacher-pay/ (ข่าว)https://www.cbsnews.com/video/schools-solar-panel-savings-give-every-teacher-raises/#x (วิดีโอ) https://www.unilad.co.uk/news/school-gives-every-teacher-up-to-15000-raises-after-installing-solar-panels/ (ข่าว) https://www.ecowatch.com/arkansas-schools-solar-2650598915.html
วันสมเสร็จโลก
วันสมเสร็จโลกเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2008 เดิมเป็นวันฉลองวันคล้ายวันเกิดของ'เอพริล' สมเสร็จเพศเมียที่มีอายุยืนที่สุดในโลก(30 ปี) ที่สวนสัตว์ประจำชาติเบลีซในอเมริกากลาง ต่อมาได้ยกให้เป็นวันสำคัญของโลก เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนอนุรักษ์สมเสร็จสมเสร็จเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายสัตว์หลายชนิดผสมกัน ทั้งรูปร่างเหมือนแรด มีจมูกเป็นงวงยาวเหมือนช้าง หูและตาเหมือนหมูหางสั้นเหมือนหมี สีขนบนลําตัวที่ตัดกันระหว่างสีขาวที่ท้องและสีดําที่ส่วนหัวและท้ายลําตัวทําให้สมเสร็จกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม และทำให้ศัตรูโดยธรรมชาติอย่างเสือโคร่งสังเกตเห็นได้ยาก อีกทั้งยังมีประสาทหูและประสาทจมูกที่ดีเยี่ยมทดแทนข้อด้อยเรื่องสายตา และยังดำน้ำเก่งอีกด้วยด้วยพฤติกรรมและการอำพรางตัวทำให้ในอดีตนั้นสมเสร็จถือเป็นสัตว์ป่าปริศนาที่พบเห็นตัวได้ยากยิ่งทั้งจากพรานหรือกระทั่งฝ่ายอนุรักษ์ก็ตามอย่างไรก็ตาม แม้จะมีความสามารถในการหลบหนีที่เก่ง แต่ด้วยสถานะภาพของถิ่นที่อยู่อาศัยที่ลดน้อยลงไปมาก รวมทั้งกิจกรรมรบกวนจากมนุษย์ที่ส่งผลกระทบพวกเขา เช่น การล่าเพื่อไปเป็นสัตว์โชว์ในสวนสัตว์ การตายจากกับดักที่ไว้ใช้ดักสัตว์ชนิดอื่นในป่า (ส่วนการล่าเพื่อใช้สำหรับการบริโภคไม่เป็นที่นิยมมากนัก) และยังมีอัตราการสืบพันธุ์ต่ำ (ออกลูกครั้งละ 1 ตัว) ทำให้สมเสร็จถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์ป่าที่ “ใกล้สูญพันธุ์” (Endangered) ใน IUCN Red List of Threatened Species (2014) และถูกจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย#สํานักอนุรักษ์สัตว์ป่า#wildlifeconservation
โลกที่ร้อนขึ้น ทำให้น้ำแข็งทะเลอาร์กติกละลาย หมีขั้วโลกจำต้องลงมาหาอาหารทางใต้มากขึ้น
CLIMATE CHANGE: โลกที่ร้อนขึ้น ทำให้น้ำแข็งทะเลอาร์กติกละลาย หมีขั้วโลกจำต้องลงมาหาอาหารทางใต้มากขึ้น ทำให้มันเจอกับหมีกริซลีที่กำลังขยายพื้นที่ขึ้นไปทางเหนือ ทั้งสองสายพันธุ์พบรักผสมพันธุ์เกิดเป็นหมีพิซลี ที่อาจจะทนทานต่อสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนอาจครอบครองพื้นที่ในอนาคตได้ เมื่อหมีขั้วโลกที่เสี่ยงสูญพันธุ์ (Polar bear) มาผสมพันธุ์กับหมีกริซลี หรือหมีสีน้ำตาล (Grizzly bear, Brown bear) ทำให้เกิดสัตว์ไฮบริดลูกผสมที่เรียกว่าหมีพิซลี (Pizzly bear) หรืออาจเรียกว่าหมีโกรลา (Grolar bear) โดยนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าสาเหตุเกิดขึ้นจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงด้วยโลกที่ร้อนขึ้น น้ำแข็งทะเลอาร์กติกบางลง หมีขั้วโลกที่หิวโหยถูกกดดันให้ลงไปทางใต้มากขึ้นเพื่อหาอาหารซึ่งเป็นพื้นที่ที่พวกมันได้พบกับหมีกริซลี ซึ่งพื้นที่อาศัยของหมีกริซลีกำลังขยายขึ้นเหนือมากขึ้นด้วยอากาศที่อุ่นขึ้น และการที่พวกมันมาอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกันมากขึ้นทำให้พวกมันผสมพันธุ์และเกิดลูกไฮบริดมากขึ้น และอาจมีลักษณะที่ทำให้มันทนทานต่อสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนไปมากขึ้น "โดยปกติแล้วสัตว์ไฮบริดจะไม่สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ดีกว่าพ่อแม่ของมัน แต่ในกรณีสัตว์ไฮบริดระหว่างสองสายพันธุ์นี้อาจสามารถมีแหล่งอาศัยและแหล่งหาอาหารได้กว้างขึ้น" Larisa DeSantis นักชีววิทยาจาก Vanderbilt University เผย และชี้ว่าปกติแล้วหมีขั้วโลกกินชั้นไขมันของแมวน้ำเป็นอาหาร ซึ่งร่างกายของมันได้ปรับไปตามลักษณะของอาหารและแหล่งอาศัย ขณะหมีกริซลีสามารถกินอาหารได้หลากหลายกว่า ซึ่งการผสมกันของทั้งสองสายพันธุ์อาจทำให้หมีพิซลีมีลักษณะที่ได้เปรียบในการอยู่รอดในการที่สามารถกินอาหารได้หลากหลายชนิด สายพันธุ์หมีกริซลี และหมีขั้วโลกแยกออกจากกันเมื่อราว 500,000 - 600,000 ปีก่อน ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์สามารถผสมพันธุ์กันและมีลูกได้ และลูกไฮบริดก็ไม่เป็นหมัน และสามารถสร้างลูกๆได้ด้วยการพบหมีพิซลีครั้งแรกในธรรมชาตินั้นเริ่มขึ้นในปี 2006 ขณะพรานได้ล่าสัตว์ที่เขาคิดว่ามันเป็นหมีขั้วโลก ในทางตอนเหนือของแคนาดา แต่เมื่อเขาได้มองดูใกล้ๆก็พบว่ามันเป็นสัตว์ที่แตกต่างออกไป โดยมีขนสีขาวครีมเหมือนหมีขั้วโลก แต่ลักษณะอื่นๆ และลายสีบางส่วนเหมือนหมีกริซลี และจากการตรวจพันธุกรรมพบว่ามันเป็นสัตว์ไฮบริด จากนั้นเป็นต้นมาการพบหมีพริซลีก็เพิ่มมากขึ้น ในปี 2017 การศึกษาพบว่ามีลูกหมีพริซลีกว่า 8 ตัวที่เกิดจากแม่หมีขั้วโลกตัวเดียวที่ผสมพันธุ์กับหมีกริซลี 2 ตัว การเพิ่มขึ้นของหมีพริซลี สวนทางกับการลดลงของหมีขั้วโลก ที่คาดการณ์ว่าจำนวนจะลดลง 30% ภายใน 30 ปีข้างหน้า สาเหตุบางส่วนเกิดจากการที่หมีกริซลีล่วงล้ำไปในแหล่งอาศัยของหมีขั้วโลกมากขึ้น โดยหมีกริซลีจะมาแย่งแหล่งอาหารทดแทนที่นั่น ประกอบกับการที่หมีขั้วโลกมีการกินที่เฉพาะเจาะจงอย่างมากLarisa DeSantis ชี้ว่าหมีขั้วโลกนั้นกินอาหารที่นุ่มอ่อนมีไขมันหนาอย่างแมวน้ำมาตั้งแต่อดีต และการกินของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักในปัจจุบัน ทำให้มีทางเลือกในด้านการกินน้อย ขณะน้ำแข็งทะเลในอาร์กติกลดลงอย่างมากในปัจจุบัน และแม้ว่ามันจะปรับตัวการกินที่รวมถึงการกินไข่นกทะเล และกวางคาริบูขณะอยู่บนบกก็ตาม แต่การศึกษาชี้ว่าแคลอรี่ที่มันได้รับไม่สมดุลกับพลังงานที่มันต้องสูญเสียไป จากทั้งหมดนี้ทำให้เหมาะสมกับการที่จะเกิดสัตว์ไฮบริดมากขึ้นและครอบครองพื้นที่ และทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง หากหมีขั้วโลกหายไ ปในอนาคต"เราส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสายพันธุ์ต่างๆจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง" Larisa DeSantis เผย "และนี่คือหลักฐานว่าสถานการณ์มันกำลังแย่ขนาดไหน แม้ในบางครั้งการเกิดขึ้นของหมีพริซลีอาจดูเป็นเรื่องที่เศร้า แต่ด้วยอัตราความร้อนของโลกแบบปัจจุบันนั้นมันก็อาจเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับอย่างจำเป็น" โดยเขาชี้ว่าจะต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมต่อไปวิดีโอจากนักวิจัย https://youtu.be/i0D0SC-32ZsSourcehttps://www.livescience.com/pizzly-bear-hybrids-created-by-climate-crisis.htmlhttps://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-9467297/Critically-endangered-polar-bears-mating-grizzly-bears-heading-north-pizzly-bears.htmlhttps://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/gcb.15573https://journalhosting.ucalgary.ca/index.php/arctic/article/view/67681
รู้หรือไม่ ผักตบชวาทำอาหารกินได้จริงๆ นะครับ
จริงๆ แล้ว ก็ยังใช้ประโยชน์ได้อีกมากมายเลยแหละครับ- ทำอาหาร- ทำปุ๋ยหมัก- ทำอาหารสัตว์- ทำเครื่องจักรสาน- บำบัดน้ำเสีย ฟอกอากาศ- ทำวัสดุกันกระแทก (ตอนนี้กำลังบูมมาก)ทำอาหารกินได้https://www.youtube.com/watch?v=ye0ZeVuvrVEhttps://www.youtube.com/watch?v=bIS6CnoRQs4https://www.youtube.com/watch?v=1ic8AimkHZkทำเครื่องจักรสาน จานชามใบผักตบhttps://www.youtube.com/watch?v=6A71U0pWRg4https://www.youtube.com/watch?v=j8zQrGF7jfghttps://www.youtube.com/watch?v=6Eq4hLaWJVwบำบัดน้ำเสียhttps://www.youtube.com/watch?v=yi56MjrKwosทำวัสดุกันกระแทกhttps://www.youtube.com/watch?v=8IgaZlAvVyA
ได้รางวัลระดับโลก! นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาไอเดียกรีน แปลงสาหร่ายในนากุ้งที่เป็นวัชพืช มาพัฒนาเป็นกระดาษ
ได้รางวัลระดับโลก! นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาไอเดียกรีน แปลงสาหร่ายในนากุ้งที่เป็นวัชพืช มาพัฒนาเป็นกระดาษ สามารถทำภาชนะ และผลิตภัณฑ์ทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้ ลดของเสีย เพิ่มมูลค่า ลดผลกระทบต่อนากุ้ง สาหร่ายในนากุ้ง เป็นวัชพืชในเกษตรกรรมการทำนากุ้ง มีลักษณะเป็นเส้นใยจำนวนมากคล้ายเส้นผม เส้นใยจะมีความเหนียว เงา มีสีเขียวอ่อน และสีเขียวเข้ม เส้นใยสามารถยึดเกาะกันได้ด้วยตัวเอง เจริญเติบโตได้ดีในนากุ้งที่มีระบบนิเวศเป็นน้ำกร่อยโดยการยึดเกาะบนดิน และสังเคราะห์แสงซึ่งมีความใกล้เคียงที่จะจัดอยู่ในกลุ่มของสาหร่ายสีเขียว เนื่องด้วยลักษณะเด่นที่เป็นเส้นใยละเอียด เมื่อสาหร่ายเกิดขึ้นมากจะส่งผลเสียต่อวงจรชีวิตของกุ้ง ได้แก่ เมื่อลูกกุ้งเข้าไปติดจะออกมาไม่ได้ทำให้เสียผลผลิต และเมื่อสาหร่ายตายจะทำให้เกิดปริมาณแอมโมเนียในน้ำมากเกินไปทำให้เกิดการเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็น จึงจำเป็นต้องกำจัดซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการกำจัดด้วยการช้อนสาหร่ายขึ้นมาจากบ่อ และนำไปทิ้งทำให้เกิดขยะมูลฝอยจากการเกษตรจำนวนมากนายมงคล อิงคุทานนท์ นักศึกษาสาขาวิชาการออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาจึงนำสาหร่ายในนากุ้งมาพัฒนาเป็นกระดาษ ด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ สามารถใช้เป็นวัสดุทดแทนในการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งกระดาษสาหร่ายได้ผ่านกระบวนการทดสอบมาตรฐานดั้งนี้ ค่าน้ำหนักมาตรฐานอยู่ที่ 242 กรัมต่อตารางเมตร ความต้านแรงดึง 0.53 กิโลนิวตันต่อเมตร ความต้านแรงฉีกขาด 1,183 มิลินิวตันโดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากสมาคมส่งเสริมนวัตกรรมและการประดิษฐ์ไทย และสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และได้ทำผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายในนากุ้งดังนี้1. กระดาษ มีลักษณะคล้ายกระดาษสา2. ภาชนะ3. แผ่นตกแต่งผนังผลงานผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายของนายมงคล อิงคุทานนท์ ได้รับรางวัลมากมายในระดับนานาชาติดังนี้ - เหรียญทอง การประกวด 2020 IIDC Hong Kong International Invention and Design Competition จากประเทศฮ่องกง- เหรียญทอง การประกวด Taiwan International Invention Award Winners Association Anniversary จากประเทศไต้หวัน- เหรียญทอง การประกวด International SALON of Invention and New Technologys จากประเทศรัสเซีย- รองชนะเลิศอันดับ 1 (การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ) การประกวด Thailand Green Design Award (TGDA 2018)ถือเป็นไอเดียและนวัตกรรมดีดีจากนักศึกษาไทย ที่ใช้วิธีคิดในการแก้ปัญหาที่มีอยู่ อย่างสาหร่ายวัชพืชในนากุ้ง มาแปรรูปสร้างผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ย่อยสลายได้ ที่สามารถลดขยะพลาสติกด้วย ถือเป็นการแก้ปัญหาได้หลายต่อมากๆ น่าสนับสนุนอย่างยิ่ง
ติดตั้งใกล้เสร็จแล้วกับโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี
#เตรียมตัวทุบสถิติโลก! ติดตั้งใกล้เสร็จแล้วกับโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี สำนักข่าวต่างประเทศ เช่น รอยเตอร์ส , สกายนิวส์ รายงานข่าวโครงการยักษ์ของประเทศไทย โครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล โดยผลิตพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ประมาณ 144,417 แผง ครอบคลุมพื้นที่น้ำถึง 300 เอเคอร์ (121 เฮกตาร์) ขนาดกำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ เพื่อหมุนใช้เป็นพลังงานมั่นคงและคาดว่าจะเดินเครื่องได้กลางปีนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เร่งติดตั้งโครงการนำร่องนี้ และมีเป้าหมายที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดนี้อีก 8 เขื่อนในช่วง 16 ปีข้างหน้า นายชนินทร์ สาลีฉันท์ หัวหน้าโครงการนี้กล่าวว่า “เมื่อโครงการทั้งหมดเสร็จสมบูรณ์ในทุกเขื่อน เราจะมีกำลังการผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์ และแน่นอนว่าเราสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนมากกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล แต่สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยนอกจากนี้กฟผ. ยังร่วมกับ จ.อุบลฯ พัฒนาโครงการให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว แลนด์มาร์กใหม่ สร้างเส้นทางธรรมชาติยาวกว่า 415 เมตร ให้นักท่องเที่ยวมาเดินเล่นชมความงามธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดและส่งเสริมภาคธุรกิจให้กลับมาคึกคึกอีกด้วย#กฟผ #โซลาร์เซลล์ #อุบลราชธานี #แหล่งท่องเที่ยว #ใหญ่ที่สุดในโลก #HydroFloatingSolarHybrid #พลังงานหมุนเวียน #พลังงานไฟฟ้า #เขื่อนสิรินธร #เชื้อเพลิง #ข่าวโมโน29 #Mono29News #Mono29
โมร็อกโกผุด CloudFisher อวนยักษ์จับหมอกแปลงเป็นน้ำดื่ม ให้ผู้คนในพื้นที่แห้งแล้งขาดน้ำ
INNOVATION: โมร็อกโกผุด CloudFisher อวนยักษ์จับหมอกแปลงเป็นน้ำดื่ม ให้ผู้คนในพื้นที่แห้งแล้งขาดน้ำ ปัญหาขาดแคลนน้ำเป็นปัญหาที่ผู้คนในหมู่บ้าน Berber ในเขต Aït Baamrane ที่ตั้งอยู่บนภูเขา Anti-Atlas ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโมร็อกโกกำลังเผชิญ ทุกเช้าหญิงสาวในหมู่บ้าน และเด็กเล็กต้องตื่นแต่เช้าตรู่ พกถังเพื่อไปเอาน้ำจากบ่อน้ำที่อยู่ห่างออกไป 3 ไมล์กลับมาบ้าน พวกเขาต้องไปเอาน้ำทุกวันมาให้คนในหมู่บ้านใช้ ยิ่งในเดือนมิถุนายน และสิงหาคมที่ร้อนจัด ถ้าพวกเขาไม่สามารถเอาน้ำกลับมาได้เพียงพอ คนในหมู่บ้านจะไม่มีน้ำไว้ใช้ดื่ม ทำอาหาร หรือซักผ้า แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้น บางครั้งพอไปถึงที่บ่อน้ำ น้ำในบ่อกลับเหลือน้อยจนไม่สามารถตักมาใส่ถังได้ ชาวบ้านจึงต้องยอมเสียเงินซื้อน้ำแทงค์มา ซึ่งบางทีกว่าจะมาก็ใช้เวลากว่า 1-2 อาทิตย์ทั้งนี้ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของเยอรมัน Dar Si Hmmas เห็นถึงปัญหา จึงผุดไอเดียสร้างอวน CloudFisher ขึ้นมา มันมีหน้าที่ดักจอบหมอก เปลี่ยนความชื้นให้กลายเป็นน้ำ ช่วยให้ผู้คนในหมู่บ้านมีน้ำใช้ เพราะถึงภูเขา Anti-Atlas จะแห้งแล้ง ฝนตกน้อยลง หมอกก็ยังคงมีอยู่ เพราะได้รับอิทธิพลจากลมแอนไทไซโคลนที่พัดพาความหนาว และอากาศที่ชื้นจากกระแสน้ำเย็นบริเวณหมู่เกาะคานารี ของสเปน ดังนั้น อวนนี้จะทำงานเลียนแบบใยแมงมุมที่เก็บหยดน้ำจากธรรมชาติเอาไว้ และน้ำจะไหลลงสู่ภาชนะพลาสติกด้านล่าง และผ่านท่องลำเลียงไปสู่หมู่บ้าน ซึ่งผู้คนจะเอาน้ำนั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย เนื่องจากหมอกในบริเวณไม่มีพิษโดยใน 1 วันอวนนี้ก็เก็บน้ำสะอาดพร้อมใช้ไปแล้วกว่า 36,000 ลิตรต่อวัน เพียงพอสำหรับผู้คน 800 คนในหมู่บ้านและในวันที่ลมแรง อวน Cloudfisher ที่กว้าง 1,600 ตารางเมตร และตั้งกลางเขานี้ก็ไม่พังลง เพราะมันถูกออกแบบให้ทนลมที่มีความแรงลมได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องนี้จึงได้รับรางวัล Momentum for Change จาก UN ในปี 2016 ไปซึ่งที่ผ่านมา นอกจาก CloudFisher ของ Dar Si Hmad แล้ว ก็ยังมีอีกหลายที่พยายามแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำโดยการใช้หมอกเช่นกัน มีเครื่องที่คล้ายกันนี้ผุดขึ้นทั่วโลกทั้งที่เปรู ชิลี กัวเตมาลา สเปน เอริเทรีย อิสราเอล เอกวาดอร์โอมาน เนปาล และเฮติ แสดงให้เห็นว่ายังมีอีกหลายพื้นที่ทั่วโลกที่ขาดแคลนน้ำอย่างจริงจัง และมีท่าว่าจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ Source1. https://weather.com/forecast-change/news/2019-05-15-fog-harvesting-morocco?fbclid=IwAR3LfYkV0S3GgS9y9jYyqEkkMJc3tOP-qs41CdTVzsTGYyhkFUkh82N4ZPk (Fog-Harvesting Is Helping Save Villages in Morocco from the Effects of Drought) 2. https://www.fieldstudyoftheworld.com/moroccan-fog-harvesting-project-relieves-water-stress-rural-poverty/?fbclid=IwAR0LLxX_y835i_HLdlI5wuZ2BKayD-h6fG600e-oJUUVNfgYbXpIqAGHLLI (Moroccan fog harvesting project relieves water stress and rural poverty)3. https://www.designboom.com/technology/cloudfisher-fog-net-water-foundation-02-02-17/ (CloudFisher turns fog into drinking water in morocco's driest regions)
นักวิทย์คิดเจ๋งพัฒนา สีทาบ้านที่ขาวที่สุด! สะท้อนแสงแดด 98% อาคารเย็นแม้แดดจ้า หวังลดใช้แอร์ ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน
INNOVATION: นักวิทย์คิดเจ๋งพัฒนา สีทาบ้านที่ขาวที่สุด! สะท้อนแสงแดด 98% อาคารเย็นแม้แดดจ้า หวังลดใช้แอร์ ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน นักวิทย์คิดเจ๋งพัฒนาสีที่ขาวที่สุด ซูเปอร์ไวท์ ใช้ทาบ้าน อาคารตึก สะท้อนแสงแดดได้ 98% ทำให้ภายในอาหารเย็น ลดการใช้แอร์ ประหยัดพลังงาน และลดโลกร้อนได้ ก่อนหน้านี้ในปี 2019 ได้มีการผลิตสีดำที่มืดที่สุด สามารถดูดกลืนแสงได้มากกว่า 99.995% ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาสีขาว ซูเปอร์ไวท์ ที่สามารถสะท้อนแสงได้ 98% รวมถึงรังสีอินฟราเรดออกไปได้ โดยสามารถใช้ทาบ้านได้ ลดการพึ่งพาเครื่องปรับอากาศ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นักวิจัยได้ผลิตสีขาวที่สุดในโลกนี้เพื่อความหวังที่จะทำความเย็นให้ตึกอาคาร และต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน โดยมันสามารถสะท้อนแสงรวมถึงรังสีอินฟราเรดได้ 98% กลับไปสู่ข้างนอก โดยจากการทดลองพบว่ามันทำให้พื้นผิวเย็นลง 4.5 องศาเซลเซียส ต่ำกว่าอุณหภูมิโดยรอบ แม้ในช่วงที่แดดจ้าก็ตาม นักวิจัยชี้ว่าสีนี้อาจจะออกสู่ตลาดภายใน 1 หรือ 2 ปี สีทาบ้านสีขาว และหลังคาถูกใช้เพื่อทำความเย็นมาอย่างยาวนาน โดยในขณะที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นก็ได้ถูกนำมาใช้มากขึ้นเพื่อให้อาคารต่างๆไม่ร้อนจนกินไป แต่ปัจจุบันนี้สีทาบ้านสีขาวสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ 80-90% และดูดแสง UV นั่นหมายความว่ามันไม่สามารถทำให้อุณหภูมิพื้นผิวต่ำกว่าอุณหภูมิโดยรอบได้ แต่สีขาวใหม่ที่ถูกพัฒนานี้สามารถทำไดสีของพวกเราสามารถต่อสู้กับภาวะโลกร้อน โดยการทำให้โลกเย็นลง นั่นเป็นจุดที่ดี" Prof Xiulin Ruan จาก Purdue University เผย "การผลิตสีที่ขาวที่สุดหมายความว่าสีนั้นสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศได้มากที่สุด"Prof Xiulin Ruan ได้ทดลองวัสดุมากกว่า 100 แบบ และใช้สูตรที่แตกต่างกัน โดยสีที่พวกเขาผลิตได้ก่อนหน้านี้สามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ 95.5%นักวิจัยชี้ว่าสีชนิดใหม่ของพวกเขาสามารถผลิตได้เหมือนสีทั่วไป และราคาอาจจะเท่าสีทั่วไปในตลาด โดยพวกเขาได้ทำการทดสอบความทนทานของสี และจำเป็นต้องทดลองความทนทานต่อสภาพอากาศเพิ่มเติมเพื่อทดสอบความคงทนในระยะยาว Source1. https://www.purdue.edu/newsroom/releases/2021/Q2/the-whitest-paint-is-here-and-its-the-coolest.-literally..html2. https://pubs.acs.org/doi/10.1021/acsami.1c023683. https://www.theguardian.com/environment/2021/apr/15/whitest-ever-paint-could-help-cool-heating-earth-study-shows4. https://m.facebook.com/1523107561151019/posts/3153444954783930/?d=n5. https://www.purdue.edu/newsroom/releases/2020/Q4/this-white-paint-could-reduce-the-need-for-air-conditioning-by-keeping-surfaces-cooler-than-surroundings.html
เป็นกำลังใจต่อไป โครงการฟื้นฟูพญาแร้งไทยยันผลไม่พบเชื้อในไข่พญาแร้ง ใบแรกที่รอมากว่า 25 ปี
เป็นกำลังใจต่อไป โครงการฟื้นฟูพญาแร้งไทยยันผลไม่พบเชื้อในไข่พญาแร้ง ใบแรกที่รอมากว่า 25 ปี ชี้ไม่ได้รับเชื้อของตัวผู้ตั้งแต่ตอนต้น ไม่พบการขึ้นผสมพันธุ์ของพญาแร้งเพศผู้พญาแร้ง (Red-headed Vulture) เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง นักกำจัดซาก ที่สูญพันธุ์จากธรรมชาติของประเทศไทยไปแล้วเกือบ 30 ปี และหลงเหลืออยู่ในการเพาะเลี้ยงของประเทศไทย (สวนสัตว์และสถานีเพาะเลี้ยง) เพียง 5 ตัวเท่านั้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเรามีข่าวดีที่เป็นความหวังแห่งการอนุรักษ์ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2564 นายสัตวแพทย์ สุเมธ กมลนรนาถ รองผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย เปิดภาพการทำงานของทีมงานสวนสัตว์นครราชสีมา นำไข่ของพญาแร้ง จำนวน 1 ฟอง มาเก็บในตู้ฟักไข่เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในรอบ 25 ปี โดยพญาแร้งที่ชื่อแม่นุ้ย อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 นายสัตวแพทย์ สุเมธ กมลนรนาถ ได้เผยข้อมูลว่าหลังจากที่ได้มีการนำไข่พญาแร้งออกจากรัง และเข้าตู้ฟักตามกระบวนการ โดยมีความหวังว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสรอดของลูกนก และกระตุ้นให้แม่นกวางไข่ใบที่ 2 ตามกระบวนการเพาะพันธุ์นกนักล่าในสภาพการเพาะเลี้ยง เพื่อเพิ่มจำนวนการออกไข่ต่อฤดูกาลนั้นผลการตรวจปรากฏว่า ไข่ที่นำออกมาจากรังเพื่อเข้าสู่กระบวนการฟัก ไม่พบเชื้อในไข่พญาแร้งซึ่งเกิดจากการไม่ได้รับเชื้อของพญาแร้งเพศผู้ตั้งแต่ตอนต้น จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมไม่พบการขึ้นผสมพันธุ์ของพญาแร้งเพศผู้ ซึ่งข้อมูลที่ได้ทำให้ทีมงานได้เรียนรู้และจะพยายามกันต่อไป แต่ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าในกระบวนการเลี้ยงพญาแร้งในกรงเลี้ยง ที่พญาแร้งสามารถให้ไข่ได้สำเร็จในรอบ 25 ปีเนื่องจากในช่วงเวลานี้ยังอยู่ในฤดูผสมพันธ์ของพญาแร้ง ทีมงานยังคงมีความหวังว่าแม่นุ้ยจะวางไข่ใบที่ 2 เพิ่มเติมมาร่วมส่งกำลังใจให้แม่นุ้ยพญาแร้งและทีมงานที่ดูแลพญาแร้งแห่งความหวังกันนะในธรรมชาติพญาแร้งจะวางไข่ 2 ปี เพียง 1 ฟองเท่านั้น แต่ในการเพาะพันธุ์ อาจวางไข่ได้ทุกปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ วัย และอาหารที่อุดมสมบูรณ์ พญาแร้ง (Red-headed Vulture) เป็นนกขนาดใหญ่ที่กินซากสัตว์เป็นอาหาร ขนาดลำตัวประมาณ 80 เซนติเมตร หัว คอ และเท้ามีสีแดง ขนบนลำตัวมีสีดำแต่ขนบริเวณหน้าอก และโคนขามีสีขาว มีสายตาที่ว่องไว มันไม่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง แต่มักบินมากินซากสัตว์เน่าตายตามพื้นดินเราสามารถพบพญาแร้งได้ในแถบเอเชียบริเวณอินเดีย จีน พม่า และอินโดจีน ปัจจุบันถูกจัดในสถานะ ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤติ (Critically endangered species) โดย IUCN ที่เผยว่ามีประชากรอยู่ทั้งโลกประมาณ 2,500 - 10,000 ตัวเมื่อปี 2535 พญาแร้งฝูงสุดท้ายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ตายจากยาฆ่าแมลงในซากเก้ง ที่พรานล่าสัตว์ป่าใช้เป็นยาเบื่อใส่ไว้หวังจะวางยาเบื่อเสือโคร่ง เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พญาแร้งในป่าห้วยขาแข้ง ตายไป 30 กว่าตัว ทำให้พญาแร้งลดจำนวนลงและไม่พบในป่าห้วยขาแข้งอีกเลยในปัจจุบันจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเมื่อปี 2535 ไม่มีรายงานพบในธรรมชาติไทยมานานกว่า 30 ปี ซึ่งคาดกว่าสูญพันธุ์แล้ว อดีตในบ้านเราสามารถพบเห็นนักกำจัดซากนี้ได้เกือบทั่วทุกภาค ยกเว้นภาคอีสานและตะวันออก ปัจจุบันกำลังมีโครงการภายใต้ความร่วมมือของ 4 องค์กรหลัก ได้แก่ องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มูลนิธิสืบนาคะเสถียร และอีกหลายหน่วยงานพันธมิตร ที่มีเป้าหมายเพื่ออนุรักษ์พญาแร้งนอกถิ่นอาศัย (สวนสัตว์และสถานีเพาะเลี้ยง) ให้มีประชากรที่เพียงพอต่อการปล่อยสู่ธรรมชาติ เพื่ออนุรักษ์พญาแร้งในถิ่นอาศัย ณ บริเวณพื้นที่มรดกโลกทางธรรมชาติทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ต่อไปในอนาคตขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกท่านในการทำงาน เพื่อฟื้นฟู คืนชีพ ชุบชีวิตพญาแร้ง ให้กลับมาในเมืองไทยให้ได้ ติดตามและให้กำลังใจทีมงานได้ที่เพจ โครงการ “การฟื้นฟูประชากรพญาแร้งในถิ่นอาศัยของประเทศไทย” และร่วมสนับสนุนงานอนุรักษ์และวิจัยพญาแร้งได้ที่ : โครงการพญาแร้งคืนถิ่น ธนาคารกรุงไทย สาขาเทสโก้โลตัส รัตนาธิเบศร์ บัญชีเลขที่ 679-6-72119-5ขอบคุณภาพ Zoo Thailand, IUCN, ฝ่ายอนุรักษ์ วิจัย และสุขภาพสัตว์ สวนสัตว์นครราชสีมาhttps://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3405411782920578/?d=nhttps://www.facebook.com/2202447433351921/posts/2823222534607738/?d=nhttps://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3406418346153255/?d=n
ฝรั่งเศสหวังลดคาร์บอน โลกร้อน เตรียมแบนไฟลท์ระยะสั้น! เดินทางภายในประเทศ ในพื้นที่ที่สามารถใช้รถไฟได้
POLICY: ฝรั่งเศสหวังลดคาร์บอน โลกร้อน เตรียมแบนไฟลท์ระยะสั้น! เดินทางภายในประเทศ ในพื้นที่ที่สามารถใช้รถไฟได้ ฝรั่งเศสออกนโยบายใหม่ แบนไฟล์ทภายในประเทศที่มีเส้นทางบินสั้น กฎหมายนี้ได้รับการโหวตลงมติเมื่อวันเสาร์ที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เนื่องจากทางรัฐบาลต้องการลดการปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรมการบิน โดยไฟล์ทที่จะถูกยกเลิกจะเป็นไฟล์ทที่สามารถเดินทางด้วยรถไฟแทนได้ 2-3 ชั่วโมง นี่จึงแปลว่าไฟล์ทการบินระหว่างสนามบิน Orly ทางใต้ของปารีส ไปยัง Nantes และ Bordeaux จะถูกยกเลิกไป เพราะถ้าเดินทางด้วยเครื่องบินมันจะมีการปล่อยคาร์บอนต่อผู้โดยสารมากกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ 77 เท่า มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนสภาพภูมิอากาศของฝรั่งเศสที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ 40% ภายในปี 2030 ถึงแม้ว่าในฝรั่งเศส นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมจะออกมากล่าวหา Emmanuel Macron ประธานาธิบดีของประเทศว่าเพิกเฉยต่อการร่างกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมก่อนหน้านี้ การโหวตลงมตินี้เกิดขึ้นหลังจากทางรัฐบาลได้ประกาศงบช่วยเหลือสายการบินของประเทศ Air France กว่า 4 พันล้านยูโร เพื่ออุ้มชูสายการบินหลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์โควิดมานานกว่า 1 ปี อย่างไรก็ตาม ก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาแบนการบินภายในประเทศ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม Agnes Pannier-Runacher ก็ยังคงแก้เกมตามกฎหมายนี้ต่อไป“พวกเรารู้ว่าการบินเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศ และเพราะสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงในทุกวัน เราจึงจำเป็นที่ต้องลดการปล่อยนี้... ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องช่วยเหลือบริษัทของพวกเรา และไม่ให้พวกมันต้องพังลงไปด้วย” Pannier-Runacher เผยกับรายการวิทยุ Europe 1 กฎหมายนี้จริง ๆ ที่มาก็มาจาก Citizen’s Climate Forum ที่ Macron ตั้งขึ้นเพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการช่วยคิดนโยบายเพื่อสิ่งแวดล้อม นักเคลื่อนไหวบางกลุ่มมองว่ามาตรการสิ่งแวดล้อมแบบเดิมอาจจะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้มาก จึงได้ออกมาเรียกร้องให้แบนไฟล์ทบินภายในประเทศที่สามารถเดินทางได้ด้วยรถแค่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง ซึ่งสรุปแล้วจะมีไฟล์ทไหนที่โดนยกเลิกบ้าง อาจจะต้องติดตามกันต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ไฟล์ทจากปารีสไปนีซที่เดินทางด้วยรถไฟ 6 ชั่วโมงยังคงมีอยู่แน่นอน ที่ผ่านมา นอกจากฝรั่งเศสแล้ว ก็มีเนเธอร์แลนด์ที่พยายามแบนไฟล์ทภายในประเทศที่สั้นแล้วตั้งแต่ปี 2013 และในปี 2019 เหล่า สส.ของเนเธอร์แลนด์ก็ลงมติแบนไฟล์ทจากสนามบิน Schiphol ใน Amsterdam ไปยังสนามบิน Zabentem ใน Brussels ที่มีระยะทางแค่ 93 ไมล์อย่างไรก็ตาม การยกเลิกไฟล์ทดังกล่าวของปี 2019 ถูกมองว่าเป็นการละเมิดกฎระเบียบการเคลื่อนไหวเสรีของคณะกรรมาธิการยุโรป จนไม่ได้ถูกอนุมัติให้ไปใช้Source1. https://www.theguardian.com/business/2021/apr/12/france-ban-some-domestic-flights-train-available-macron-climate-convention-mps 2. https://www.reuters.com/article/us-climate-change-france-flights/french-lawmakers-approve-a-ban-on-short-domestic-flights-idUSKBN2BY0AO3. https://www.bbc.com/news/world-europe-56716708
ใชเทคโนโลยี AI บันทึกเสียงจากป่า
1 > Rainforest Connection (RFCx) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐได้พัฒนาอาวุธชนิดใหม่ต่อสู้กับขบวนการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า โดยพัฒนาระบบให้สามารถวิเคราะห์เสียงของป่าเพื่อตรวจจับการตัดไม้และการลักลอบล่าสัตว์ ระบบนี้ถูกนำไปใช้ในป่าเขตร้อนใน 16 ประเทศ รวมทั้งอินโดนีเซีย บราซิล และแคเมอรูน ขณะนี้ได้ถูกนำไปใช้เพื่อปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ด้วย 2 > RFCx ก่อตั้งขึ้นในปี 2556 หลังจาก โทเฟอร์ ไวน์ นักเทคโนโลยีการอนุรักษ์สังเกตว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ในป่าฝนชาวอินโดนีเซียใช้เวลาในการแก้ไขปัญหาการตัดไม้ผิดกฎหมายมากกว่าการดูแลสัตว์ป่าในท้องถิ่น ภารกิจของเจ้าหน้าที่ยังยากขึ้น เนื่องจากความหนาแน่นของป่าเขตร้อนทำให้ตรวจจับได้ยากและอาจใช้เวลาหลายวันในการเข้าถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ3 > ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่า "เสียง" คือสิ่งที่ป่าสื่อสารกัน เพราะความหนาแน่นของป่าทำให้สัตว์และสิ่งมีชีวิตในป่าต้องใช้เสียงในการจับความเคลื่อนไหวและรับรู้การมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ในป่า 4 > RFCx เริ่มต้นด้วยการติดตั้งโทรศัพท์มือถือทิ้งแล้ว แต่นำมาใช้อีก (โดยวิธี upcycled หรือการนำกลับมาใช้ใหม่เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพหรือมูลค่าสูงกว่าของเดิม) เพื่อรับเสียงและส่งเสียงของป่าซึ่งจะได้รับการวิเคราะห์เพื่อหาหลักฐานการลักลอบตัดไม้ 5 > ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาได้พัฒนาอุปกรณ์ของตัวเองที่เรียกว่า "ผู้พิทักษ์" (Guardian ) ซึ่งรวมแผงวงจรหลักที่พวกเขาพัฒนาขึ้นเองไว้ในกล่องกันฝนพร้อมแผงโซลาร์เซลล์ เสาอากาศแบบกำหนดทิศทาง และไมโครโฟน ติดตั้งไว้ที่ด้านบนสุดของยอดไม้ในป่าดงดิบและสามารถบันทึกเสียงทั้งหมดของป่าได้ 6 > จากนั้นข้อมูลนี้จะถูกสตรีมไปยังระบบคลาวด์ซึ่งจะถูกวิเคราะห์โดยโมเดล AI ของ RFCx เพื่อตรวจจับเสียงต่างๆ เช่น เลื่อยไฟฟ้า ยานพาหนะ เสียงของมนุษย์ เสียงปืนหรืออะไรก็ตามที่จะแจ้งให้พวกเขาทราบว่ามีการตัดไม้ การลักลอบล่าสัตว์หรือการทำเหมืองผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นในป่าและสามารถสร้างการแจ้งเตือนระวังภัยจากเสียงเหล่านั้นโดยอัตโนมัติ7 > การแจ้งเตือนเหล่านี้จะส่งถึงผู้คนในภาคพื้นดิน เช่น ทหารพราน คนพื้นเมือง และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรผ่านโทรศัพท์มือถือ ผู้รับสามารถดูสเปกโตรแกรม (แถบคลื่นความถี่ของเสียงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ของการแจ้งเตือน จะฟังและยืนยันหรือปฏิเสธว่ามันเป็นเสียงของการลักลอบทำร้ายป่าและสัตว์ป่าหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้ RFCx ปรับปรุงอัลกอริทึม AI ให้แม่นยำมากขึ้นต่อไป8 > พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทฮิตาชิ แวนทารา (Hitachi Vantara) บริษัทในเครือของฮิตาชิที่เน้นในเรื่องนวัตกรรม ฮิตาชิ แวนทารา เข้ามาช่วยจับเสียงต่างๆ ในป่าให้แม่นยำขึ้นและแยกแยะได้ชัดเจนขึ้น 9 > นั่นคือเทคโนโลยี bioacoustic signature ซึ่งจะจับสัญญาณจากสัตว์ป่าที่ในภาวะปกติพวกมันจะส่งเสียงแบบหนึ่ง แต่ถ้าป่าถูกรบกวนจากพวกลักลอบตัดไม้พวกมันจะส่งเสียงที่แปลออกไปในลักษณะเฉพาะ (signature) ซึ่งเป็นคำเตือนว่ามีการลุกล้ำป่าและมีความแม่นยำถึง 96% ช่วยให้เจ้าหน้าที่บุกไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น 5 วัน10 > ยังไม่หมดแค่นั้น AI ที่พัฒนาขึ้นไม่ได้ช่วยแค่รักษาป่า แต่มันยังจับเสียงและบันทึกความหลากหลายทางชีวภาพได้ด้วย หรือ ecoacoustics เพื่อตรวจสอบว่าระบบนิเวศมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ 11 > พวกเขาบอกในเว็บไซต์ว่า "เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เราสร้างชุดข้อมูลที่น่าทึ่งที่สุดในโลก อีกไม่นานมันคือขุมทรัพย์วิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตและข้อมูลเชิงนิเวศบนแพลตฟอร์มที่จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงแบบเดือนต่อเดือน ปีต่อปีกับการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้"12 คริสซี เดอร์คิน ผู้อำนวยการฝ่ายขยายธุรกิจระหว่างประเทศของ RFCx กล่าวว่า เป้าหมายที่แท้จริงของ RFCx คือการติดตั้งสถานีตรวจสอบอะคูสติกแบบเรียลไทม์ในระบบนิเวศที่สำคัญและถูกคุกคามมากที่สุดในโลก การทำเช่นนี้จะช่วยให้นักอนุรักษ์และประชากรในท้องถิ่นมั่นใจได้ว่าพื้นที่เหล่านี้ยังคงได้รับการคุ้มครองและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพในระดับต่างๆ ลึกซึ้งมากขึ้นเรียบเรียงจากCristina Lago. (08 Feb 2021). "Sounds of the forest: How ‘bioacoustic’ analysis is helping to fight illegal logging". Tech Monitor.ภาพ : Rainforest Connection
POLLUTION: Coldplay ร่วม Ocean Clean up สร้างเรือเก็บขยะแม่น้ำ พลังงานแสงอาทิตย์! ดักเก็บขยะก่อนไหลลงทะเล
ถือเป็นวงดนตรีชื่อดังที่โกกรีนอย่างมากสำหรับ Coldplay ที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะพยายามทำให้คอนเสิร์ตครั้งต่อๆไปของพวกเขา เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไร้ขยะพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ล่าสุดทาง Coldplay ได้มีการเปิดเผยความร่วมมือกับ Ocean Cleanup ซึ่งเป็นองค์กรเก็บขยะในแหล่งน้ำ ที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีดักขยะในทะเล และเรือเก็บขยะในแม่น้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อป้องกันไม่ให้ขยะไหลลงทะเล โดยความร่วมมือนี้จะเป็นการสนับสนุนเรือเก็บขยะแม่น้ำ Interceptor 005 : Neon Moon 1 เพื่อสนับสนุนการเก็บขยะต่างๆในแม่น้ำ โดยเฉพาะพลาสติกที่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมก่อนไหลลงสู่ทะเล ลดผลกระทบต่อสัตว์ทะเลหายาก สำหรับเรือเก็บขยะเครื่อง Interceptor สามารถดักเก็บขยะอัตโนมัติ ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เรือดังกล่าวนี้ทำงานอัตโนมัติ โดยดักขยะพลาสติกให้ลอยเข้าสู่ประตูหน้าเครื่อง ก่อนไหลขึ้นสายพานที่ช่วยแยกขยะพลาสติกออกจากน้ำ แล้วเคลื่อนตัวนำขยะพลาสติกไปทิ้งที่ถังด้านใน Ocean Cleanup คือองค์กรเก็บขยะในทะเล ที่เริ่มในปี 2013 โดยนวัตรกรชาวดัตช์ Boyan Slat วัย 18 ปีในขณะนั้นที่ได้ทำทุ่นเก็บขยะในทะเล ที่ลอยช้าๆรวมกันเป็นแพขยะทั่วโลก ก่อนที่จะเปิดตัวเรือเก็บขยะในแม่น้ำ Interceptor เพื่อป้องกันแหล่งต้นทางของขยะทะเลสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ Boyan ย้ำคือ "การแก้ที่ดีที่สุดคือการแก้ที่ต้นทาง ที่ตัวเรา แก้ที่การเลิกทิ้งตั้งแต่แรก เพราะกว่าจะตามเก็บได้ มันใช้ระยะเวลามากเหลือเกิน" .ความร่วมมือระหว่าง Coldplay กับ Ocean Cleanup เป็นเพียงการเผยในเบื้องต้นเท่านั้น โดยจะใช้เก็บขยะในมาเลเซีย สำหรับรายละเอียดจะเผยเพิ่มเติมเร็วๆนี้ 1. https://m.facebook.com/watch/?v=5706365571687442. https://m.facebook.com/watch/?v=4890890721269153.https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/2293839027411198/?d=n4.https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3414951428633280/?d=n5.https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/2331419260319841/?d=nเรียบเรียง: ร่มธรรม ขำนุรักษ์
เชียงใหม่เปิดโครงการ ใบไม้ไม่ต้องเผา นำมาอัดก้อนขายเป็นเงินได้ทุกอำเภอ ลดเชื้อเพลิง ลดไฟป่า ลดควัน
เชียงใหม่เปิดโครงการ ใบไม้ไม่ต้องเผา นำมาอัดก้อนขายเป็นเงินได้ทุกอำเภอ ลดเชื้อเพลิง ลดไฟป่า ลดควัน สถานการณ์ไฟป่าหมอกควันในจังหวัดได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางศูนย์ป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 จังหวัดเชียงใหม่ได้ดำเนินการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการชิงเผา การจัดการเชื้อเพลิง และการเฝ้าระวัง และดับไฟป่า ล่าสุดนายสมคิด ปัญญาดี ผอ.ส่วนยุทธศาสตร์ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่าปีนี้ได้มีโครงการให้ประชาชนเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นเงินได้จริง โดยโครงการนี้ได้รับเศษใบไม้ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่จะส่งผลให้เกิดไฟป่า จนกลายเป็นมลพิษจากหมอกควันไฟป่า นำมาอัดเป็นก้อนเพื่อนำไปจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการที่มารับซื้อ ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้โดยไม่ต้องเผาป่า สำหรับใบไม้ที่จำหน่ายมีมูลค่ากิโลกรัมละ 2 บาท ขณะนี้นำร่องแล้วใน 34 หมู่บ้าน ในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยสามารถนำไปจำหน่ายที่จุดรับซื้อ โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ศูนย์บัญชาการฯ หมายเลขโทรศัพท์ 053-112808ประชาชนสามารถนำใบไม้มาอัดเป็นก้อนแล้วนำไปจำหน่าย หรือหากไม่มีเครื่องอัดก็สามารถนำใส่กระสอบ หรือถุง และเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ชุมชนมีการนำใบไม้ไปใช้ประโยชน์อื่นๆ อาทิ การทำปุ๋ย และการเพาะเห็ด เป็นต้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ลดการเผาป่า และลดค่าฝุ่นควันพิษPM 2.5 ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลงได้ อย่างต่อเนื่องจนกว่าปัญหาหมอกควันและไฟป่าคลี่คลายภาพ คมชัดลึก เชียงใหม่นิวส์ สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ คนล้านนา ที่มา https://www.komchadluek.net/news/local/462015https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2639788https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1618582/https://thainews.prd.go.th/th/news/detail/TCATG210318160123914https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/1614914/https://m.facebook.com/155633658582750/posts/947217796090995/?d=n
วัคซีนโควิด ของไทย วิจัย พัฒนา ผลิต โดยองค์การเภสัชกรรม คืบหน้า ประเดิมฉีดอาสาสมัครกลุ่มแรก
วัคซีนโควิด ของไทย วิจัย พัฒนา ผลิต โดยองค์การเภสัชกรรม คืบหน้า ประเดิมฉีดอาสาสมัครกลุ่มแรก องค์การเภสัชกรรมร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน ม.มหิดล วิจัยวัคซีนโควิด 19 ชนิดเชื้อตายในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 รวม 460 คน ประเดิมฉีดเข็มแรกในอาสาสมัครกลุ่มแรกก่อน 18 คน คาดปลายปีนี้ได้สูตรที่ดีที่สุดไปศึกษาต่อระยะที่ 3 คาดปี 2565 ยื่นขอทะเบียนตำรับและผลิตในระดับอุตสาหกรรมได้ สร้างความมั่นคงด้านวัคซีนในประเทศ วันนี้ (22 มีนาคม 2564) เวลา 10.30 น. ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 5 คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (โดยบันทึกวิดีทัศน์คำแถลง) พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันแถลงข่าววัคซีนโควิด 19 ชนิดเชื้อตายขององค์การเภสัชกรรม เริ่มวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1/2 พร้อมให้กำลังใจอาสาสมัครที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มแรกในการวิจัยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด 19 ขึ้นเองภายในประเทศ เป็นการสร้างความมั่นคงและพึ่งพาตนเอง ซึ่งองค์การเภสัชกรรมได้วิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ชนิดเชื้อตาย ด้วยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก ผลวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า มีความปลอดภัยและกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ดังนั้นในวันนี้องค์การเภสัชกรรมจึงร่วมกับศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เริ่มศึกษาวิจัยวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 โดยการศึกษาวิจัยจะฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัคร 460 คน และจะศึกษาวิจัยในมนุษย์ให้มีผลครบถ้วนเพื่อนำข้อมูลไปยื่นขอขึ้นทะเบียนต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม ต. ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนด้วยไข่ไก่ฟักที่ใช้ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนโควิด 19 ได้ทันที คาดว่าภายในปี 2565 จะขอรับทะเบียนตำรับและเริ่มผลิตวัคซีนได้ โดยผลิตได้ 25-30 ล้านโดสต่อปี“การผลิตวัคซีนในครั้งนี้เป็นการผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทย โดยใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ของบุคลากรองค์การเภสัชกรรม ถือเป็นความหวังและเป็นขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทยที่จะผลิตวัคซีนได้เอง ลดการพึ่งพาต่างชาติ กระทรวงสาธารณสุขได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ฉุกเฉิน” นายอนุทิน กล่าว ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการวัคซีนโควิด---19 ชนิดเชื้อตายขององค์การเภสัชกรรม ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จของการพัฒนางานวิจัยของคนไทย จากความร่วมมือระหว่างสองกระทรวง คือ องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุข และคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ทั้งนี้ เพื่อให้การพัฒนาวัคซีนนี้เป็นไปตามแผน กระทรวงการอุดมศึกษาฯ มีแนวทางสนับสนุนการศึกษาวิจัยในมนุษย์ทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 และ 2 สนับสนุนด้านนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญ และงบประมาณ ส่วนระยะที่ 3 อาจจะมีการวิจัยทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ได้จำนวนอาสาสมัครที่เพียงพอ ด้วยการสนับสนุนของกลไกคณะกรรมการร่วมพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ โดยทั้งนี้กลุ่มหน่วยงาน ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี จะเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะช่วยให้การพิจารณาและสนับสนุนให้การวิจัยในระยะที่ 3 สำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้นนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า สำหรับการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด –19 ขึ้นใช้เองในประเทศนั้น องค์การเภสัชกรรม ได้ร่วมมือกับสถาบัน PATH สหรัฐอเมริกา ซึ่งได้ส่งหัวเชื้อไวรัสตั้งต้นที่พัฒนาโดยโรงเรียนแพทย์ Mount Sinai ในนิวยอร์กและมหาวิทยาลัยเท็กซัส มาให้ใช้วิจัยพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งหัวเชื้อไวรัสตั้งต้นมีการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสนิวคาสเซิล ให้มีโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) ของไวรัสโควิด-19 จึงมีความปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดโรค เพิ่มจำนวนในไข่ไก่ฟักได้ ซึ่งองค์การเภสัชกรรมมีเทคโนโลยีนี้ในการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาก่อน จากการทดสอบความเป็นพิษในหนูแรทที่อินเดีย ทดสอบประสิทธิภาพและการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในหนูแฮมสเตอร์ที่สหรัฐอเมริกา มีความปลอดภัย กระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้รับอนุญาตให้ฉีดวัคซีนเพื่อศึกษาวิจัยในมนุษย์ระยะที่ 1 และ 2 นี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่องค์การเภสัชกรรมวิจัยพัฒนานั้น จะมีการทดสอบกับสารเสริมฤทธิ์ (Adjuvant) และจะเลือกสูตรที่ดีที่สุดสำหรับการตรวจหาประสิทธิผลในการศึกษาวิจัยระยะต่อไป วัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตายที่องค์การเภสัชกรรมดำเนินการอยู่นี้ ยังต้องมีทำการศึกษาวิจัยในมนุษย์ในระยะที่ 3 ในกลุ่มอาสาสมัครจำนวนมาก และการวิจัยที่หลากหลายกว้างขวางมากขึ้น จึงจำเป็นต้องร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในการสนับสนุนการดำเนินงานให้สำเร็จ เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนยา กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้สำเร็จ เพื่อให้สามารถทำการผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรมได้ต่อไปศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า โครงการวัคซีนโควิด-19 ชนิดเชื้อตายขององค์การเภสัชกรรม ร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จในด้านความร่วมมือและการพัฒนางานวิจัยในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจ หมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy : BCG Model) ของสำนักปลัดกระทรวง อว. โดยจะให้การสนับสนุนทรัพยากรเพื่อการพัฒนาในทุกๆ ด้านสำหรับการวิจัยในมนุษย์ทั้ง 3 ระยะ ทั้งด้านองค์ความรู้ โครงการ คน และเงินทุน เพื่อผลักดันให้โครงการนี้สำเร็จให้เร็วที่สุด ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ศูนย์วัคซีน คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล อยู่ในเครือข่ายการทดสอบวัคซีนระดับนานาชาติขององค์การอนามัยโลก เพื่อวิจัยและทดสอบวัคซีนทางคลินิก ทำให้ศูนย์วัคซีนมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อให้ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะผลิตวัคซีนที่มีคุณภาพ ผ่านการทดสอบตามลำดับ และนำข้อมูลการศึกษาทางคลินิกไปขึ้นทะเบียนได้ ซึ่งที่ผ่านมาศูนย์วัคซีนได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลก, USAID และ CIDA วิจัยทางคลินิกเพื่อหาประสิทธิผลของวัคซีนเอดส์ มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนาวัคซีนที่ได้รับการขึ้นทะเบียน 6 ชนิด ได้แก่ วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก 4 สายพันธุ์ และ 9 สายพันธุ์ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น (H1N1) วัคซีนป้องกันไข้หวัดนก (H5N2) วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลชนิดเชื้อตาย วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก (CYD-TDV) และวัคซีน คอตีบ บาดทะยัก ไอกรนชนิดไร้เซลล์ เป็นต้น นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การเภสัชกรรมมีความพร้อมในการผลิตวัคซีนดังกล่าว โดยโรงงานผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรมตั้งอยู่ที่ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ปัจจุบันพร้อมผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในระดับอุตสาหกรรมในทันที โดยมีทีมผลิตวัคซีนกว่า 100 คน ที่มีความรู้ ความสามารถ สามารถผลิตได้ทันทีหลังจากวัคซีนได้รับทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสำหรับโครงการวิจัยในครั้งนี้ ดำเนินงานโดยทีมนักวิจัยและทีมผลิตวัคซีนขององค์การเภสัชกรรม ภายใต้การกำกับดูแลของผู้บริหารองค์การเภสัชกรรม ภายใต้การดูแลของนายกิตติศักดิ์ ภูพิพัฒน์ผล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ในฐานะหัวหน้าทีม ซึ่งทีมงานได้ทุ่มเท มุ่งมั่นจนโครงการดังกล่าวมีความก้าวหน้าตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติต่อไป ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การศึกษาวิจัยวัคซีนครั้งนี้ ศูนย์วัคซีน โดย ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยทางคลินิกในระยะที่ 1 และ 2 ซึ่งออกแบบมาเพื่อประเมินความปลอดภัย และความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีนที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรม ทั้งนี้โครงการวิจัยมีจุดมุ่งหมายในการคัดเลือกวัคซีนเพียงสูตรเดียวที่เหมาะสมเพื่อทำการศึกษาวิจัยระยะที่ 3 เพื่อตรวจหาประสิทธิผลต่อไป ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง กล่าวต่อว่า การศึกษาวิจัยจะเปิดรับอาสาสมัคร 460 คน ซึ่งทุกคนต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีประวัติติดเชื้อโควิด-19 และไม่มีประวัติแพ้ยาหรือวัคซีน โดยจะมีการตรวจคัดกรอง ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือด สำหรับการศึกษาวิจัยจะแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 จำนวน 210 คน อายุ 18-59 ปี โดยแบ่งการศึกษาเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกศึกษาในอาสาสมัคร 18 คนก่อน เริ่มด้วยวัคซีนขนาดที่ต่ำที่สุด และค่อยเพิ่มไปยังขนาดที่สูงขึ้น และส่วนที่ 2 ศึกษาในอาสาสมัคร 192 คน จากนั้นจะวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเลือกให้ได้ขนาดหรือสูตรวัคซีนวิจัย 2 สูตร นำไปวิจัยต่อในระยะที่ 2 ประมาณเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นการศึกษาวิจัยในอาสาสมัครอายุ 18-75 ปี จำนวน 250 คน สำหรับการศึกษาระยะที่ 2 คาดว่าจะทราบผลภายในปลายปีนี้
ฟินแลนด์ครองแชมป์ที่ 1 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 48
ฟินแลนด์ครองแชมป์ที่ 1 ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก 4 ปีซ้อน ประเทศไทยรั้งอันดับที่ 48 รายงานความสุขโลกปี 2021 (World Happiness Report 2021) ที่ได้รับความสนับสนุนโดยองค์การสหประชาชาติ UN จัดอันดับให้ฟินแลนด์เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ด้วยคะแนน 7.889 ซึ่งติดอันดับที่หนึ่งมา 4 ปีซ้อนแล้ว โดยข้อมูลนั้นวัดจากคำถามที่ไปถามผู้คนในกว่า 150 ประเทศให้พวกเขาให้คะแนนความสุขของตัวเอง รวมถึงการชี้วัดปัจจัยจากการสนับสนุนทางสังคม เสรีภาพในเรื่องส่วนตัว GDP ระดับการทุจริต สุขภาพ อายุเฉลี่ยของคน และอื่นๆ 10 อันดับประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในปี 2020 มีดังนี้ 1. Finland2. Iceland3. Denmark4. Switzerland5. Netherlands6. Sweden7. Germany8. Norway9. New Zealand10. Austriaโดยประเทศไทยนั้นอยู่ในอันดับที่ 48 ด้วยคะแนน 5.885 สำหรับประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดคือ Afghanistan ตามมาด้วย Lesotho, Botswana, Rwanda และ Zimbabweดูรายงานได้ที่ https://happiness-report.s3.amazonaws.com/2021/WHR+21.pdfที่มา https://worldhappiness.reporthttps://www.bbc.com/news/world-europe-56457295https://www.bbc.com/thai/resources/idt-sh/thai_in_finland?at_custom1https://news.gallup.com/opinion/gallup/339827/happiness-survive-covid-pandemic.aspxเรียบเรียง: ร่มธรรม ขำนุรักษ์
มนุษย์ทำร้ายน้ำ - น้ำก็จะทำร้ายมนุษย์
มนุษย์ทำร้ายน้ำ - น้ำก็จะทำร้ายมนุษย์ 22 มีนาคม วันน้ำโลก 💧 (World Water day) ช่วยกันรักษาน้ำ เพื่อรักษาชีวิตวันน้ำโลก มีจุดเริ่มต้นจากการประชุมเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในวันที่ 22 มีนาคม ปี 1992 เพื่อให้ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรน้ำของมนุษย์ จึงมีแนวคิดที่จะจัดกิจกรรมที่จะเป็นแผนแม่บทให้ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้เฝ้าระวังทรัพยากรน้ำในประเทศนั้น ๆ และในวันนั้นเองสมัชชาทั่วไปแห่งสหประชาชาติก็ได้ออกประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เป็นวัน World Water Day หรือ วันอนุรักษ์น้ำโลกทรัพยากรน้ำสำคัญกับสิ่งมีชีวิตโลก และมนุษย์ อย่างมากโดยอยู่ในทุกส่วนของชีวิตประจำวันเราเลย มนุษย์เรากำลังทำร้ายและสร้างผลกระทบต่อต่างๆ ต่อทรัพยากรน้ำอย่างมาก ทั้งการใช้อย่างมหาศาล การตัดไม้เผาทำลายป่า การทำโลกร้อน ทำให้เกิดความแห้งแล้ง รวมถึงทำให้น้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ปล่อยมลพิษ ขยะลงน้ำ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งสิ่งที่เราทำทุกอย่างกำลังส่งผลกระทบกลับมาทำร้ายเราเองเนื่องในวันน้ำจึงขอชวนทุกท่านร่วมลงมือช่วยกันรักษาน้ำด้วยวิธีต่างๆไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม เพราะน้ำ คือชีวิต
วิจัยเผยทางเลือกใหม่ ป้อนสาหร่ายให้วัวกิน ช่วยลดก๊าซโลกร้อนได้! ลดการปล่อยก๊าซมีเทนถึง 82%
ผลิตภัณฑ์จากวัวสามารถทำลายสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าที่เราคิด เนื่องจากปศุสัตว์ปล่อยก๊าซมีเทน ที่มีประสิทธิภาพในการกักความร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 28 เท่า ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศจำนวนมาก นี่ยังไม่รวมปุ๋ยไนโตรเจนที่ปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ออกมา และทรัพยากรน้ำ และที่ดินที่อาจสูญเสียไประหว่างการทำฟาร์ม อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยใหม่เผยว่า สาหร่ายสามารถนำมาใช้เป็นอาหารให้กับฝูงวัวกินเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้มากกว่า 82% ได้ ซึ่งงานวิจัยที่มาจาก University of California, Davis ตีพิมพ์ในวารสาร PLOS ONE นี้คาดว่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนกว่าเดิมสำหรับวงการปศุสัตว์ Ernias Kebread ศาสตราจารย์ผู้ทำการวิจัยชี้ว่า ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้สามารถช่วยชาวนาให้ผลิตเนื้อวัว และผลิตภัณฑ์จากเนื้อวัวให้กับโลกได้ยั่งยืนมากขึ้น มันจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในช่วง 5 เดือนที่ Kebread ได้ทำการทดลองร่วมกับ Breanna Roque นักศึกษาปริญญาเอกของเขา พวกเขาให้วัว 21 ตัวกินสาหร่ายเป็นอาหาร โดยคอยติดตามน้ำหนัก และการปล่อยมีเทนมาโดยตลอด ผลปรากฎว่า วัวที่กินสาหร่าย 20 กรัม น้ำหนักขึ้นพอ ๆ กับวัวที่กินอาหารปกติ แต่กลับลดการปล่อยก๊าซมีเทนในอากาศมากกว่า 82% ข้อมูลจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์เผยว่า ก๊าซมีเทนจากปศุสัตว์คิดเป็น 10% ของก๊าซเรือนกระจกถูกปล่อยมา วัวหนึ่งตัวก็ผลิตก๊าซโดยเฉลี่ยได้เท่ากับรถหนึ่งคัน ที่ผ่านมาจึงมีการรณรงค์ให้คนลดเนื้อสัตว์ กินแต่พอดี เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง แต่ Kebreb มองว่า วัว และปศุสัตว์สามารถกลายมาเป็นอาการของผู้คนได้มากกว่า 1 หมื่นล้านคน ดังนั้น เขาจึงมองหาทางเลือกที่เปลี่ยนอาหารสำหรับวัวแทน ในปี 2018 Kebreab และ Roque จึงทดลองด้วยการให้วัวกินสาหร่ายเป็นเวลาสองอาทิตย์ เพราะสาหร่ายยับยั้งเอนไซม์ในระบบย่อยอาหารของวัวที่มีส่วนช่วยในการผลิตก๊าซมีเทน ผลลัพธ์คือ วิธีนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากวัวได้กว่า 50% แต่งานวิจัยใหม่ล่าสุดของพวกเขา พวกเขาได้ทดลองดูว่าเมื่อให้วัวกินนานกว่าเดิมในทุก ๆ วัน วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เด็กจนโต จะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ก็ชัดเจน จากการวัดก๊าซมีเทนในลมหายใจของวัว วัวที่กินสาหร่ายทะเลจะปล่อยก๊าซมีเทนน้อยกว่ามาก และประสิทธิภาพไม่ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป นมที่ได้มาจากวัวเหล่านั้นก็รสชาติเหมือนเดิม ก้าวต่อไปของพวกเขาคือศึกษาว่าจะให้วัวที่หากินในทุ่งหญ้าแบบเปิดกินสาหร่ายอย่างไร และทำฟาร์มสาหร่ายออสเตรเลียพันธุ์ Asparagpsis ขึ้นมา เพราะมันเป็นสาหร่ายที่พวกเขาใช้ในการทดลองก่อนหน้านี้ในออสเตรเลียเองก็มีบริษัท Future Feed ที่ทำงานร่วมกับองค์กรสิ่งแวดล้อม CSIRO ของออสเตรเลียผลิตอาหารใหม่สำหรับฝูงวัวอย่างสาหร่าย “Super Seaweed” ที่มาจากสาหร่ายออสเตรเลียพันธุ์ Asparagpsis ดังกล่าวเช่นกัน จากการทดลองของทางบริษัท พวกเขาสามารถลดการปล่อยก๊าซมีเทนของวัวได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์อาหารวัวนี้ก็เพิ่งได้รางวัลชนะเลิศ Food Planet Prize ไปนอกจากนี้ ก็มี Burger King ที่ทดลองเลี้ยงวัวด้วยตะไคร้เช่นกัน เพราะงานวิจัยเผยว่า การให้วัวกินตระไคร้ในช่วงสามถึงสี่เดือนของชีวิต สามารถลดการปล่อยมีเทนได้ประมาณ 33% ต่อวันในช่วงนั้น1. https://phys.org/news/2021-03-seaweed-supplements-livestock-methane-emissions.html (Feeding cattle seaweed reduces their greenhouse gas emissions 82 percent) 2.https://www.abc.net.au/news/2020-12-18/csiro-super-seaweed-cattle-supplement-wins-$1m-prize/12992888 (Australian 'super seaweed' supplement to reduce cattle gas emissions wins $1m international prize) 3.https://www.facebook.com/environman.th/posts/2890325054429256 (วิจัยหนุน เบอร์เกอร์คิงเดินหน้าป้อนตะไคร้ให้วัว! เพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน ช่วยลดโลกร้อน ผชช.แนะต้องช่วยกันเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน)4.https://journals.plos.org/plosone/articleid=10.1371/journal.pone.0247820 (งานวิจัย)
วิจัยเผยทางเลือกใหม่ ป้อนสาหร่ายให้วัวกิน ช่วยลดก๊าซโลกร้อนได้! ลดการปล่อยก๊าซมีเทนถึง 82%
SPACE: นักฟิสิกส์เยอรมนีสุดล้ำ พบวิธีสร้าง“วาร์ปไดรฟ์” เดินทางได้เร็วเหนือแสง บิดงอ Space-Time ข้ามจักรวาล
ดร. อีริก เลนท์ซ จากมหาวิทยาลัย Gottingen ประเทศเยอรมนีได้รายงานว่า สามารถคำนวณวิธีการเดินทางที่เร็วกว่าแสงได้โดยไม่ละเมิดทฤษฎีสัมพันธภาพ โดยการสร้างฟองอวกาศขึ้นมาแล้วเดินทางไปในมิติที่ฟองอวกาศขยายตัวนั้น ก่อนที่จะดูเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ไปมากกว่านี้ เรามาดูกันว่านักฟิสิกส์เหล่านี้พูดถึงอะไรกัน?
ทฤษฎีสัมพันธภาพของไอน์สไตน์กล่าวไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดเร็วกว่าแสง และแรงโน้มถ่วงคือ Space-Time ที่เราคุ้นเคยกับเส้นตารางที่ยุบลงรอบโลก นั่นคือ ดร. อีริก สามารถคำนวณวิธีที่จะสามารถบิดงอ Space-Time เพื่อให้เกิดเป็นรูปร่างฟองคลุมยาน ซึ่งนั่นต้องใช้พลังงานมหาศาลที่จะสร้างแรงโน้มถ่วงขั้นสุดยอดเพื่อบิดงอ Space-Time ยิ่งกว่าหลุมดำทำ แต่อย่างน้อยเราก็ “คำนวณ” ค่าตัวเลขมันได้โดยไม่ทำให้เกิดการขัดแย้งกับทฤษฎีสัมพันธภาพ เพราะการจะเดินทางด้วยความเร็วแสงนั้นต้องใช้พลังงานและมวลเป็นอนันต์
วิธีที่ ดร.อีริก ใช้คือ “Soliton” คำนวณในทฤษฎีควอนตัมเพื่อสร้างพลังงานลบ
พลังงานลบคืออะไร? พลังงานลบคือสิ่งที่ตรงข้ามกับพลังงานบวก(มันแน่อยู่แล้ว!) ยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ แรงโน้มถ่วงที่เราเจอเป็นปกติคือ แรงโน้มถ่วงแบบบวก มันคอยยึดโยงดาวต่าง ๆ ให้โครจรซึ่งกันและกัน เช่นดวงอาทิตย์สร้างแรงโน้มถ่วงแบบพวกกับโลก แต่ในทางควอนตัมนั้นมีแรงโน้มถ่วงลบ หรือแรงโน้มถ่วงแบบผลักอยู่ มันจะผลักกันเช่นเดียวกับขั้วแม่เหล็กที่เหมือนกันผลักกันไม่ให้เข้าใกล้ ไม่ว่าเราจะออกแรงแค่ไหน (สมัยเด็ก ๆ เราคงเคยเอาแม่เหล็กสองตัวมาพยายามผลักให้ติดกัน) สิ่งนี้จะเรียกง่าย ๆ ว่าพลังงานลบก็ได้
แล้ว Soliton คืออะไร? ในทางฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ Soliton คือคลื่นที่สามารถเคลื่อนที่ไปได้โดยที่ยังคงรูปร่างและความเร็วของตัวไว้ได้อย่างคงที่ ส่วนควอนตัมคือหลักเกณฑ์ที่อธิบายสิ่งที่อยู่เล็กยิ่งกว่าอะตอม
นั่นหมายความว่า ดร.อีริก สามารถคำนวณการใช้ Soliton ในระดับควอนตัมเพื่อสร้างพลังงานลบให้ไปบิดงอ Space-Time ได้ในจักรวาลปกติ เพื่อที่จะเดินทางเร็วกว่าแสงโดยไม่ละเมิดทฤษฎีสัมพันธภาพที่ต้องใช้พลังงานบวกจำนวนอนันต์ในการเดินทางเท่าความเร็วแสง
เมื่อมันไปบิดงอ Space-Time ทำให้มันไม่ละเมิดกฎในจักรวาล 3 มิตินี้ นี่คือสิ่งที่เราได้จากรายงานของ ดร.อีริก ยานของเราก็สามารถสร้าง Warp Drive ได้แล้วทะยานด้วยความเร็วเหนือแสงในมิติของฟองอวกาศ จริง ๆ แล้วทฤษฎีควอนตัมนั้นเสนอว่าจักรวาลของเรามีอย่างน้อย 11 มิต แต่เราจะไม่พูดถึงในที่นี้ เอาเป็นว่าตอนนี้นักวิทยาศาสตร์สามารถคำนวณการเดินทางเร็วกว่าแสงได้ อย่างน้อยก็เป็นจริงในสมการตัวเลขที่นำไปพัฒนาต่อสู่ความเป็นจริงทางวิศวกรรม
แต่ผมคิดว่าน่าจะอีกอย่างน้อย 500++ ปี
1. https://iopscience.iop.org/article/10.1088/1361-6382/abe692
2. https://phys.org/news/2021-03-potential-real-physical-warp.html
3. https://phys.org/news/2021-03-warp-barrier-faster-than-light.html
4. https://www.independent.co.uk/life-style/gadgets-and-tech/warp-drive-faster-light-space-travel-b1813958.html
5. https://www.bbc.com/thai/international-56372694?at_campaign=64&at_custom3=BBC+Thai&at_medium=custom7&at_custom1=%5Bpost+type%5D&at_custom2=facebook_page&at_custom4=F407AF28-83A2-11EB-BAD6-B5430EDC252D&fbclid=IwAR2wK738nc3LJbiKoq2mH067GLF-BLZFwNZnAen_xImPH851-vjf3bPFpbM
เรียบเรียง : Witit
DISCOVERY : ค้นพบใหม่ โลกมีโครงสร้างชั้นที่ 5 อยู่ในแกนโลกชั้นใน
จากเดิมที่เราเรียนกันมาว่าโครงสร้างของโลกมีชั้นเปลือกโลก (Crust) ชั้นเนื้อโลก (Mantle) ชั้นแก่นโลกชั้นนอก (Outer Core) และชั้นแก่นโลกชั้นใน (Inner Core) ในตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบหลักฐานใหม่ ยืนยันว่าภายใต้แก่นโลกชั้นใน (Inner Core) ได้มีแร่ธาตุที่มีโครงสร้างต่างออกไปซ่อนอยู่ข้างในนั้น กลายเป็นโครงสร้าง “ชั้นที่ 5” ทีมนักธรณีฟิสิกส์จากมหาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้พบหลักฐานใหม่ โดยใช้ข้อมูลจากศูนย์แผ่นดินไหววิทยาระหว่างประเทศ ของสหราชอาณาจักรที่เก็บข้อมูลมาหลายสิบปี จนพบว่าในชั้นแก่นโลกชั้นในประกอบด้วยชั้นสองชั้นที่ต่างกัน ไม่ใช่แค่ชั้นที่มีความร้อน 5,000 องศาเซลเซียสแบบที่เราเคยรู้มาเท่านั้นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Geophysical Research : Solid Earth ได้ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ใช้อัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์ช่วยในการวิจัยครั้งนี้ โดยศึกษาข้อมูลของคลื่นสั่นสะเทือน ว่ามันใช้เวลาผ่านชั้นต่าง ๆ ของโลกนานแค่ไหน เพื่อที่จะจับคู่ข้อมูลเหล่านี้กับแบบจำลองโครงสร้างของโลกหลายพันแบบซึ่งผลที่ได้ออกมานั้นพบว่า คลื่นแผ่นดินไหวจำนวนมากเคลื่อนที่ได้ช้าลง ถ้าเคลื่อนจากด้านในออกไปและเบี่ยงประมาณ 54 องศา ในขณะที่ถ้าเคลื่อนที่ขนานกับแกนโลก คลื่นแผ่นดินไหวจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่า “เราพบว่ามีหลักฐานที่อาจชี้ว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะโครงสร้างของแม่เหล็ก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีระบบที่ไม่เหมือนกันสองชั้น” Joanne Stephenson จาก Australian National University เผย อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยครั้งนี้ยังไม่ได้ผลที่แน่นอนว่า แก่นโลกชั้นที่ 5 นั้นมีขนาดเท่าไร และมีความแตกต่างอื่น ๆ หรือไม่ กับแก่นโลกชั้นในที่เรารู้จักกันดีSOURCE :1. https://interestingengineering.com/scientists-discovered-a-mystery-layer-in-earths-core (ข่าว)2. https://www.sciencealert.com/earth-s-hidden-innermost-core-hints-at-an-even-more-dramatic-planet-history (ข่าว)3. https://agupubs.onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1029/2020JB020545 (งานวิจัย)เรียบเรียงโดย Pichchakorn
เนเธอร์แลนด์ลองใช้ไฟ LED ช่วยให้พืชเติบโตดีขึ้น
เนเธอร์แลนด์ลองใช้ไฟ LED ช่วยให้พืชเติบโตดีขึ้นที่เห็นมีแสงระยิบระยับนี้ ไม่ใช่แท่งไฟในงานคอนเสิร์ตที่ไหน มันคือกระเทียมต้น (Leek) ที่ถูกติดตั้งด้วยแสงไฟให้ส่องแสงยามค่ำคืน ผลงานชิ้นนี้เป็นของนักออกแบบชาวเนเธอร์แลนด์ Dann Roosegaarde เขาได้ร่วมงานกับนักพฤกษศาสตร์ นำศิลปะมาผสมผสานกับวิทยาศาสตร์ และออกแบบ “Grow” โดยการใช้สูตรแสงที่ประกอบด้วยแสงสีแดงและสีน้ำเงินของไฟ LED และรังสี UV มาทำกระเทียมต้นนี้มีแสงไฟส่องสว่างกว่า 20,000 ตารางเมตร งานนี้ไม่ได้มีดีที่ความสวยงามที่ดึงดูดให้คนกลับมาสนใจฟาร์มกระเทียมต้นอย่างเดียว Roosegaarde มีเป้าหมายที่จะช่วยให้ผลผลิตของพืชเติบโตมากขึ้นด้วย และลดการใช้ยาฆ่าแมลงลง 50% เขาไปศึกษาเรื่องการผสมผสานแสงไฟต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จึงพบว่า ไฟ LED สีน้ำเงินและแดงที่เดิมใช้ในบ้านเรือนกระจก และในฟาร์มแนวตั้งสามารถนำมาทำให้เกิดประโยชน์กับพืชในเนเธอร์แลนด์ เพื่อส่งผลกระทบในวงกว้างได้ เนื่องจากเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศที่ส่งออกพืชผักและผลไม้ อันดับต้น ๆ ของโลก รองลงมาจากสหรัฐอเมริกา แสง LED จึงถูกติดตั้งที่สวน และช่องแสงไปที่พืชดังในภาพ ซึ่งมันจะไม่ได้ให้ซีนที่สวยงามเหมือนพืชกำลังเต้นรำกลางคอนเสิร์ตเท่านั้น มันจะช่วยเข้าไปกระตุ้นการเผาพลาญของพืช ทำให้มันสามารถดูดรับแสงในตอนกลางวันได้มากขึ้น เพิ่มผลผลิตของพืชได้ในระยะยาว ส่วนเรื่องแมลง เขานำแสง UV มาส่องในขั้นตอนแรก ๆ เพื่อกระตุ้นเมล็ดพันธุ์พืชและกลไกการทำงานด้านในของมัน เพราะ UV ช่วยกระตุ้นระบบการป้องกันตัวเองของพืชได้ เมื่อมีแสง UV ยาฆ่าแมลงที่สร้างมลพิษให้กับคน และสภาพแวดล้อมมหาศาลก็จะถูกนำมาใช้น้อยลง “ชาวนาต้องการวิธีที่หลากหลายเพื่อเพิ่มผลผลิต พลังงานที่สะอาดนี้สามารถช่วยลดความจำเป็นในการใช้สารเคมีที่ทั้งแพง ใช้เวลาเยอะในการพัฒนา และก่อมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมได้” ศาสตราจารย์ Jason Wargent นักพฤกษศาสตร์ที่ร่วมงานกับ Roosegaarde เผยแผนของ Roosegaarde คือนำผลงานนี้ไปใช้กับฟาร์มในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยช่วยให้พืชผลประจำชาติของแต่ละประเทศเพิ่มขึ้น และไฟที่นำไปติดก็จะปรับให้เข้ากับพืชแต่ละชนิดด้วย “ฉันต้องการให้งานของฉันทำให้คนสงสัยเกี่ยวกับอนาคต ไม่เศร้าหรือเกรี้ยวกราดไปกับมัน และแสงคือภาษาของฉัน มันไม่ใช่ของตกแต่ง แต่มันแสดงถึงการเคลื่อนไหวและการสื่อสาร” Roosegaarde เผย Source1. https://www.dezeen.com/2021/01/18/daan-roosegaarde-grow-light-installation-sustainable-agriculture/ (ข่าว) 2. https://www.weforum.org/agenda/2021/01/light-led-crops-pesticides-sustainable-agriculture/ (ข่าว)3. https://www.theguardian.com/environment/2021/mar/08/shining-through-dutch-artist-paints-farming-in-a-new-light-to-boost-crops-aoe (ข่าว)4. https://mymodernmet.com/daan-roosegaarde-grow/ (ภาพ)
ANIMAL: รู้จัก กุย หรือ ไซกา สัตว์หน้าตาสุดแปลกที่ใกล้สูญพันธุ์เพราะถูกล่าอย่างหนักโดยมนุษย์
ที่เห็นในภาพนั้นไม่ใช่รูปวาด หรือภาพวาดจากคอมพิวเตอร์แต่อย่างใด แต่มันคือ ภาพสัตว์ตัวเป็น ๆ ที่มีชื่อว่า “ไซกา” หรือ “กุย” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Saiga Tatarica เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีลักษณะใกล้เคียงกับแอนทีโลป มีความสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมีย และมีเขาที่ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร ไซกานั้นมีอยู่ 2 สายพันธุ์ คือ ไซกามองโกเลีย และไซกาธรรมดาลักษณะเด่นของไซกา ไม่ได้มีเพียงเขาที่สวยงามเท่านั้น แต่ที่เป็นจุดเด่นของมันจริง ๆ แล้วอยู่ที่ส่วน จมูก ของมันนั้นเอง จมูกของมันนั้นมีขนาดที่ใหญ่ และยืดหยุ่นได้ ซึ่งจมูกของมันยังมีหน้าที่อื่นอีกคือ มันจะช่วยอุ่นอากาศตอนหายใจในช่วงฤดูหนาว และช่วยกรองฝุ่นได้ด้วยจุดเด่นของมันคือ ในฤดูร้อนนั้นขนขอมันจะเป็นสีเหลือง ส่วนในฤดูหนาวขนมันจะเปลี่ยนสีไปเป็นขาวแทนไซกา นั้นถูกพบอยู่มากบริเวณ เอเชียตอนกลาง ได้แก่ ไซบีเรีย มองโกเลีย และจีน พวกมันเคยถูกล่าอย่างหนัก เพราะถูกนำไปปรุงเป็นยา และมีราคาซื้อขายที่สูง ในปี ค.ศ. 2015 ไซกาจำนวนมากล้มตายลงเพราะเกิดมีโรคระบาด ซึ่งตอนนี้มีการคาดการณ์ว่าไซกาที่มีอยู่ตามธรรมชาติเหลือประมาณเพียง 250,000 ตัวเท่านั้น สุดท้ายนี้ หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่า โลกร้อน ปะการังฟอกขาว หรือแม้แต่สัตว์สูญพันธุ์ ทุก ๆ อย่างที่เกิดขึ้นนั้นมันคือสิ่งที่สะท้อนการกระทำของคนเราทั้งหมด ถ้าเราไม่รีบดูแลโลกของเราตั้งแต่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าในอนาคตโลกของเราจะส่งสัญญาณอะไรออกมาหาเราอีกบ้าง Source : http://realmetro.com/saiga-antelope/เรียบเรียงโดย : Pichchakorn
Srija Aนักเรียนมัธยมใน Telangana ได้ทำกระถางต้นไม้จากเปลือกถั่ว ที่ปักลงดินได้เลย ย่อยสลายได้ ใน 20 วัน หรือน้อยกว่านั้น เพื่อทดแทนถุงพลาสติก
บางครั้งการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ ก็อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆที่อยู่ใกล้ตัวเรา และอาจจะมาจากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งในมุมหนึ่งของโลก ในทุกๆปีเด็กๆจากโรงเรียน Zilla Parishad High School จะมีกิจกรรมปลูกต้นไม้ รอบๆโรงเรียน ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องใช้ถุงชำพลาสติก เมื่อปีที่ผ่านมา Srija A นักเรียนมัธยมโรงเรียนดังกล่าวได้ขุดดินเพื่อเตรียมจะปลูกต้นไม้ แต่เธอต้องตกใจอย่างมากเมื่อพบถุงพลาสติกหลายถุงใต้ดินนั่น เธอเผยว่าไม่อยากให้มันเป็นต่อไปเช่นนี้จึงเริ่มคิดถึงวิธีที่ดีกว่าในการปลูก หลังจากนั้นนักเรียนอายุ 14 ปีคนนี้ก็ได้คิดค้นถุงเพาะชำ หรือกระถางจากเปลือกถั่วเหลือทิ้งขึ้นมา ด้วยเธอเห็นว่าในเมืองของเธอนั้นมีการปลูกถั่ว และมีขยะเปลือกถั่วที่มากมายเช่นกัน เธอเผยว่าโดยปกติแล้วเปลือกเหล่านี้จะถูกนำไปทำปุ๋ย หรือประโยชน์อื่นๆ แล้วเธอก็ได้เรียนรู้ว่าเปลือกถั่วเหล่านี้นั้นมีฟอสฟอรัส และแคลเซียม และมันก็สามารถกักเก็บน้ำได้ด้วย เธอจึงได้เริ่มทำการทดลองขึ้นมาโดยการนำเปลือกถั่วมาบดปั่น และผสมด้วย น้ำ และทำให้มันเป็นเยื่อ ประกอบกับส่วนผสมธรรมชาติอื่นๆให้มันเกาะกันอยู่ตัว และขึ้นรูปให้เป็นทรงกระถาง หลังจากที่สำเร็จเธอได้ลองใส่ดิน และต้นกล้า และฝังมันที่โรงเรียน และตรวจสอบเพื่อดูการย่อยสลาย เธอพบว่ามันย่อยสลายน้อยกว่า 20 วัน ไอเดียของเธอนี้ได้รับรางวัล Council of Scientific and Industrial Research (CSIR) Innovation award เมื่อปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็มีผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเธอในการทำเครื่องที่ช่วยให้ Srija ทำกระถางออกมาได้ในจำนวนที่มากขึ้น ถือเป็นไอเดียที่ดีจากเด็กคนหนึ่งในการช่วยโลกสองต่อ โดยการนำขยะที่เหลือทิ้งมาสร้างสิ่งใหม่ และลดขยะพลาสติกที่ใช้เวลาย่อยสลายนานอีกด้วย Source1. https://www.indiatimes.com/news/india/telangana-girl-makes-pots-from-groundnut-shells-533981.html2. https://www.newindianexpress.com/states/telangana/2021/jan/07/telanganagirl-to-get-a-patentfor-groundnut-shell-pot-2246506.html3. https://www.thebetterindia.com/248964/telangana-teenage-girl-biodegradable-sustainable-planter-groundnut-shell-pot-tree-plantation-young-innovator-ros174/เรียบเรียง: ร่มธรรม ขำนุรักษ์
CLIMATE CHANGE: โป๊ป ฟรานซิสออกเตือนมนุษย์ จ่อเจอน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง จากอุณหภูมิที่ร้อนสูงขึ้น และน้ำแข็งที่กำลังละลายวอนร่วมลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลง
โป๊ปฟรานซิสทรงเตือนประชาชน ว่าขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่จะนำมาซึ่งเหตุกาณณ์น้ำท่วมโลกระลอกที่สอง เว้นเสียแต่ว่าผู้นำโลกจะดำเนินการแก้ไขการคอรัปชั่นและความอยุติธรรมต่าง ๆ สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระสันตะปาปาพระองค์ที่ 266 ของพระศาสนจักร หรือ โป๊ปฟรานซิสทรงเผยว่า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้ามีดำริจะชำระล้างโลกให้สะอาด และปราศจากความอยุติธรรม โดยทรงบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ (The Great Flood หรือ The Deluge)ซึ่งโป๊ปทรงเสริมว่า แต่ตอนนี้ “มนุษย์กำลังจะเผชิญกับน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง จากการที่อุณหภูมิสูงขึ้นและน้ำแข็งกำลังละลาย นี่จะเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นถ้าเรายังคงทำแบบเดิม” คำพูดเหล่านี้มาจากหนังสือพิมพ์อิตาลี Corriere della Sera ที่ได้ปล่อยส่วนย่อของบทสัมภาษณ์ที่อยู่ในหนังสือ “Of Vices and Virtues” ของ Don Marco Pozza ออกมา ในหนังสือเล่มนี้ Pozza ได้สัมภาษณ์โป๊ปฟรานซิสเอาไว้ ในนั้นพระองค์ยังตรัสถึงการทำงานของรัฐบาลอีกด้วยว่า ควรทำงาน “อย่างรอบคอบ” มันเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะ “หยุดและคิด” ก่อนลงมือทำอะไร “ความรอบคอบ ควรมาพร้อมกับ ความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในสถานการณ์อื่น ๆ เห็นอกเห็นใจโลก และปัญหาที่มันกำลังเผชิญ” โป๊ปตรัส ที่ผ่านมา โป๊ปฟรานซิสทรงใส่ใจเรื่องวิกฤคสภาพภูมิอากาศมาโดยตลอด ทรงประกาศให้นครรัฐวาติกันมุ่งสู่คาร์บอนศูนย์ ภายในปี 2050 ณ ที่ประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 25 หรือ COP25 ที่กรุงมาดริด ของสเปน เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2019 โป๊ปฟรานซิสทรงประทานสุนทรพจน์ถึงผู้นำทั่วโลกที่ร่วมการประชุมนี้ เราควรถามตัวเราอย่างจริงจัง ว่ามีความมุ่งมั่นแก้ปัญหาโลกร้อนหรือไม่ ...เรากำลังเผชิญความท้าทายของอารยธรรม...วันนี้เยาวชนแสดงความอ่อนไหวต่อเหตุฉุกเฉินนี้...เราต้องไม่โยนภาระและปัญหาที่ก่อโดยคนรุ่นเราให้คนรุ่นถัดไป...ต้องลงมือทำให้พวกเขาจดจำว่าเราเป็นรุ่นที่ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อปกป้องบ้านหลังนี้ ร่วมกันมอบอนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นถัดไป" พระองค์ตรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2019Source1.https://www.dailymail.co.uk/news/article-9316549/Pope-Francis-warns-mankind-faces-second-great-flood-caused-global-warming.html (ข่าว)2.https://www.corriere.it/cronache/21_febbraio_28/papa-francesco-libro-verra-nuovo-diluvio-se-non-cambiamo-strada-clima-ghiacciai-40967eb8-7959-11eb-bd61-f38514671054.shtml (ข่าวหนังสือพิมพ์อิตาลี Corriere della Sera)3.https://www.facebook.com/environman.th/posts/3282006581927766/ (นครวาติกันมุ่งเป้าคาร์บอนเป็นศูนย์)
CLIMATE CHANGE: กระแสน้ำ Atlantic Meridional Overturning Circulation (AMOC) หรือกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม กำลังอ่อนกำลังลงที่สุดในรอบ 1,000 ปี และมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงนี้
กระแสน้ำในมหาสมุทรนั้นแบ่งได้อย่างง่าย ๆ 2 ประเภทคือ กระแสน้ำอุ่นและกระแสน้ำเย็น พวกมันจะไหลเวียนไปทั่วโลกนำพาทั้งสารอาหาร และอากาศอันอบอุ่นไปสู่แผ่นดิน กระแสน้ำเหล่านี้ไหลเวียนเป็นเหมือนสายพานยักษ์ที่เคลื่อนที่ด้วยความดัน ความดันมาจากเกลือในมหาสมุทรที่สร้างน้ำหนักให้กับน้ำ น้ำที่มีส่วนผสมของเกลือจะหนัก และผลักดันตัวเองไหลลงไปด้านล่างกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมนี้เป็นสายธารหลักที่สำคัญสายหนึ่งของโลก อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก มันได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ จุดเริ่มต้นของมันจึงอยู่บริเวณแถบศูนย์สูตรซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกแสงอาทิตย์มากที่สุด และเป็นตัวกระตุ้นให้น้ำอุ่นจากอ่าวเม็กซิโกไหลไปยังยุโรปตะวันตก นำพาอากาศที่อบอุ่น และแร่ธาตุ สารอาหารที่ดี ๆ ไปด้วย สภาพอากาศของยุโรปตะวันตกในช่วงฤดูหนาวจะไม่หนาวจนเกินไปก็เพราะกระแสน้ำนี้ และเมื่อมันไหลเวียนไปถึงขั้วโลกเหนือ หลังจากที่ปลดปล่อยความร้อนมันจึงกลายเป็นกระแสน้ำเย็น กระแสน้ำเย็นเป็นน้ำที่ไม่มีความอบอุ่น มาพร้อมกับตะกอนหรือเกลือตามที่มันไหลผ่านมา มันจะถูกตะกอนเหล่านี้สร้างความดันผลักมันลงไปอยู่ใต้ทะเลลึกลงไปพร้อมกับความเย็น เราสามารถสังเกตง่าย ๆ เช่นเดียวกับน้ำในแม่น้ำที่เราเคยลงเล่น หรือน้ำในแก้วธรรมดา น้ำที่มีอุณหภูมิเย็นจะอยู่ด้านล่างเสมอ สิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับน้ำในมหาสมุทร เมื่อมันลงไปใต้ทะเลมันจะถูกผลักดันอย่างช้า ๆ ให้ไหลไปกลับไปนพื้นที่เส้นศูนย์สูตร และกลับมารับความอบอุ่นอีกครั้ง นี่คือภาพใหญ่ของกระแสน้ำในมหาสมุทรในน้ำลึกที่มีผลกระทบต่อภูมิอากาศในระยะยาวถึง 90% อย่างไรก็ตาม วิกฤตสภาพภูมิอากาศกำลังเปลี่ยนสิ่งนี้ เมื่อปี 2015 นักวิทยาศาสตร์พบว่ากระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมอ่อนกำลังลง 15% ตั้งแต่ปี 1950 และเตือนว่าในปี 2100 จะอ่อนกำลังลงไปอยู่ที่ 45% และเสี่ยงหยุดไหลถาวรในสิ้นศตวรรษนี้ นักวิทยาศาสตร์เกรงว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะพามวลมนุษชาติไปถึงจุดวิกฤต (Tipping Point) ทำให้อากาศทั่วโลกเปลี่ยนไป ประเทศในยุโรปตะวันตกอย่างสหราชอาณาจักร จากเดิมที่หน้าหนาวไม่หนาวจัด จะมีอุณหภูมิที่สูงมากขึ้นจนหนาวและแห้ง ภัยแล้ง ฝน และคลื่นความร้อนจากอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้วจะมีให้เห็นมากขึ้น ส่วนอีกฝั่งของกัลฟ์สตรีม นักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่าน้ำทะเลในแถบตะวันออกของชายฝั่งสหรัฐอเมริกาก็จะสูงขึ้นเช่นกัน กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมเคยหายไปเมื่อปลายยุคน้ำแข็ง 12,000 ปีที่แล้ว จนทำให้อุณหภูมิในบริเวณลดลงไปอยู่ที่ 10 องศาเซเลเซียส ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า ผลกระทบเหล่านี้มาจากกระทำของมนุษย์ อย่างในช่วงปี 1950 กระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีมเคยแผ่วกำลังลง เมื่อมลพิษที่รวมตัวกระแสน้ำอุ่นก่อตัวได้ช้า อีกทั้ง น้ำแข็งกรีนแลนด์ที่กำลังละลาย และฝนที่ตกมาขึ้นเข้ามาเพิ่มปริมาณน้ำในน้ำทะเล จนทำให้ความเค็มของทะเล และความหนาแน่นของน้ำลดน้อยลง การลดลงนี้ส่งผลต่อกระแสน้ำอุ่นที่ไหลเวียน กระแสน้ำอุ่นไม่ลอยไปทางเหนือ และเย็นขึ้น จนวงจรการไหลเวียนของน้ำเปลี่ยนแปลงมองเป็นภาพง่าย ๆ ก็คือ น้ำที่ละลายออกมาจะไปเจือจางกระแสน้ำที่ไหลเวียน ทำให้แรงดันของตะกอนอ่อนแรง เมื่อน้ำถูกเจือจาง แรงดันน้ำอ่อนแรง กระแสน้ำจะไหลเวียนได้น้อยลง และหากมันถูกทำลายจากการเจือจางนี้ กระแสน้ำจะหยุดไหลเนื่องจากไม่มีแรงดันพอที่จะผลักดันมันให้ไหลเวียนซึ่งหากหยุดไหล ก็จะไม่มีกระแสน้ำอุ่น เมื่อไม่มีกระแสน้ำอุ่น ความอบอุ่นที่เคยหล่อเลี้ยงแผ่นดินยุโรปก็หายไป ส่งผลให้ภูมิอากาศของยุโรปนั้นหนาวเย็นรุนแรงมากขึ้น นั่นหมายความว่าหิมะจะตกอย่างหนักมากขึ้น เมื่อหิมะตกหนักมากขึ้นก็จะมีพื้นที่สีขาวหิมะมากขึ้นด้วยความที่ยุโรปนั้นใกล้กับขั้วโลก การแผ่ขยายพื้นที่หิมะมากขึ้นนั้นจะสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปสู่อวกาศมากขึ้น ยิ่งซ้ำเติมความหนาวเหน็บมากขึ้นจนในที่สุดไม่อาจหยุดยั้งการแผ่นน้ำแข็งได้ และเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นในระยะยาวมากไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงนี้ยังจะก่อให้เกิดหายนะต่อระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างมากด้วย แต่ไม่ว่าจะยุคน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ หรือร้อนจนโลหะละลาย ก็ต่างเป็นผลการทำลายสมดุลของสิ่งแวลล้อมที่รุนแรงเกินจะไม่ชีวิต หรือระบบนิเวศใดจะทนทานได้ ปัจจัยมากมายที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศจนเราไม่อาจคาดเดาได้อย่างถูกต้อง 100% แต่เมื่อสิ่งที่เรากำลังคือทำลายสมดุลเรื่อย ๆ สุดท้ายปลายทางก็คงไม่พ้นหายนะไม่ว่าจะทางใดก็ตามSource1. https://www.theguardian.com/environment/2021/feb/25/atlantic-ocean-circulation-at-weakest-in-a-millennium-say-scientists (ข่าว2. https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-9300711/The-Gulf-Stream-weakest-1-000-YEARS-climate-change.html (ข่าว)3. https://www.pik-potsdam.de/en/news/latest-news/gulf-stream-system-at-its-weakest-in-over-a-millennium (งานวิจัย)เรียบเรียง: Witit & DJ
3 วิธี "เรียนรู้เร็ว” สไตล์ Elon Musk
3 วิธี "เรียนรู้เร็ว” สไตล์ Elon Musk"อีลอน มัสก์" บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคนปัจจุบัน ฉายา "The real life Iron Man" ต้นแบบของคาแรกเตอร์ โทนี่ สตาร์ค ในภาพยนตร์เรื่อง Iron Man อีลอน ได้พูดถึง 3 เคล็ดลับที่ทำให้เขา "เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว ซึ่งทุกคนก็สามารถนำไปปรับใช้ได้1. ศึกษาทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองเก่งอยู่แล้ว (Read about everything)-สิ่งหนึ่งที่ทำให้ อีลอนก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง คือการไม่ยึดตัวเองอยู่กับที่ หรือแค่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง นั่นก็คือ "ทำให้ตัวเองเป็นนักดิสรัป" (Disruptor)จะเห็นว่า ที่ผ่านมา อีลอน ทำงานในหลายๆ อุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ไฟฟ้า, การขนส่ง, พลังงาน และ อวกาศ ความมหัศจรรย์เหล่านี้ทำให้ อีลอนกลายเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่ผู้คนทั่วโลกติดตาม โดยเฉพาะ Twitter ของเขา ที่โพสต์ข้อความอะไร ก็เป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก2. พาตัวเองไปอยู่ "ใกล้คนเก่ง" (Surround with intelligent people)-“ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับหนังสือที่คุณอ่าน สิ่งแวดล้อมที่คุณอยู่ ผู้คนที่คุณพบ” ดังนั้น หากคุณอยากเป็นคนเก่ง คุณควรหาใครสักคนที่เป็น Role Model และไม่จำเป็นว่าคนนั้นต้องอายุมากกว่า ประสบการณ์มากกว่าหรือตำแหน่งสูงกว่า สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องเปิดใจเรียนรู้จากคนอื่น พยายามอยู่ใกล้คนเก่ง ศึกษา เรียนรู้จากเขา หากเป็นคนที่บริษัท คุณอาจจะเรียนรู้จากการสังเกตวิธีการทำงานที่โดดเด่นของเขา แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง ก็จะยิ่งทำให้เราเก่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้น3. วิเคราะห์เชื่อมโยงความรู้ "เสมือนต้นไม้" (Think of knowledge as a tree)-"ต้นไม้" ในความคิดของอีลอน คือ องค์ความรู้ที่เราต้องเข้าใจและมองให้ออกว่า มันสำคัญอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ในการนำไปต่อยอดในการใช้งาน -เวลาเรียนรู้สิ่งไหน อย่างแรกเราต้องทำความเข้าใจอย่างจริงจัง กับรากฐานของสิ่งนั้นก่อน (Fundamental principles) เปรียบเหมือนรากฐานของต้นไม้-แล้วค่อย เรียนรู้ส่วนประกอบที่เล็กลงมาเช่น กิ่งก้าน, ใบไม้, ราก (กระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่ใหญ่ – เล็ก – ลึก) -ถ้าศึกษาแล้ว เรายังไม่สามารถอธิบายความเชื่อมโยงของสิ่งนั้นได้ นั่นไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดี และเป็นการยัดข้อมูลให้รกสมองเปล่าๆ“การเรียนรู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุด คือการเข้าใจในสิ่งเหล่านั้น แล้วสามารถอธิบายมันให้คนอื่นฟัง แล้วเขาเข้าใจง่ายที่สุด"ชอบคอนเทนท์ดีๆ แบบนี้ กดไลค์เพจกันหน่อย >> Salary Investor#เรียนรู้เร็ว #ElonMusk #SalaryInvestorอ้างอิง : https://bit.ly/37NOMs0, https://bit.ly/3suisT1, https://bit.ly/3e1ltWO
กังหันลมแบบแท่งตั้ง ไร้ใบพัด ไม่อันตรายต่อสัตว์ ทำงานเงียบ ไม่กินพื้นที่ รับลมแล้วสั่น สร้างพลังงานไฟฟ้า
กังหันลมแบบแท่งตั้ง ไร้ใบพัด ไม่อันตรายต่อสัตว์ ทำงานเงียบ ไม่กินพื้นที่ รับลมแล้วสั่น สร้างพลังงานไฟฟ้าเมื่อพูดถึงกังหันลม เราจะนึกถึงภาพกังหันสีขาวสูงใหญ่วางเรียงรายอยู่ในพื้นที่กว้าง ๆ ตั้งห่าง ๆ กัน แน่นอนมันอาจจะลำบากสำหรับบางพื้นที่ ทุกวันนี้จึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่เยอะแยะมากมายที่มาแก้ปัญหาให้คนสามารถแปลงทรัพยากรที่มีอยู่มหาศาลของลมมาเป็นพลังงานได้แม้ในพื้นที่ที่จำกัดหนึ่งในนวัตกรรมใหม่นั้นคือกังหันลมแนวตั้ง Vortex Bladeless ของสตาร์ทอัพสเปน ที่เป็นทางเลือกใหม่ให้เรานำพลังงานจากลมมาใช้ โดยที่เครื่องนี้จะมีรูปร่างเหมือนเสาที่ตั้งตรง แต่เวลาได้รับลมมันจะโยกไปมา และทำงานเหมือนกังหันลมแบบทั่วไปเลย เพราะพลังงานจลน์จากลมจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกระแสไฟฟ้าผ่านเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Alternator) ที่ประกอบไปด้วยขดลวดและแม่เหล็ก กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันก็คือกังหันลมดี ๆ นี่แหละ แค่ไม่มีใบพัดเท่านั้นเอง ไม่ต้องใช้พื้นที่มากเท่า สามารถตั้งที่ใดก็ได้ที่มีพื้นที่ให้ตั้ง แต่เห็นสั่นแบบนี้ ก็ไร้เสียงนะ ผู้ผลิตเผยว่าตัวเครื่องจะไม่สร้างเสียงรบกวน และก็ไม่เป็นอันตรายสำหรับสัตว์ด้วย เพราะปัญหาอีกหนึ่งปัญหาของกังหันลม นอกจากจะเรื่องพื้นที่แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องภัยต่อสัตว์อย่างนก (ถึงกระนั้นงานวิจัยของสหรัฐอเมริกาก็เผยว่าสิ่งนี้เป็นมายาคติ ผลกระทบของกังหันลมต่อนกนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับสายไฟ อาคารสูง แมงบ้าน รถยนต์ และยาฆ่าแมลง) อีกอย่าง น้ำหนักของตัวเครื่องก็เบากว่ากังหันลมทั่วไปกว่า 80% ไม่ต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น เพราะไม่มีฟันเฟือง หรืออะไรที่ทำให้กังหันหมุน ฐานที่ใช้ในการประกอบก็ลดลงไป 50% เพราะแรงโน้มถ่วงของตัวเครื่องอยู่ด้านล่างอยู่แล้ว ส่วนค่าซ่อมบำรุงก็ต่ำกว่าแบบปกติมาก ว่าไป Vortex Bladless ก็เหมือนเข้ามาแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกังหันลมทั่วไปเกือบหมดเลย เหมาะอย่างยิ่งที่จะวางไว้ใกล้บ้าน และสามารถทำงานเข้ากับระบบไฟฟ้าแบบ On-grid หรือแบบ Off-grid ก็ได้ คาดว่าผลิตไฟได้ประมาณ 100wพูดถึงเครื่องที่นำพลังงานจลน์ของลมมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าแบบไม่กินพื้นที่ ก็มีกังหันลมเกาะกลางถนนของตุรกีอีกอันที่น่าสนใจ มันทำงานโดยดึงลมจากรถที่วิ่งผ่านเข้ามาในเครื่อง สามารถอ่านต่อได้ที่ https://www.facebook.com/environman.th/posts/3421187074676382/1. https://vortexbladeless.com/technology-design/2. https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=5099610280110816&id=2234805989924607&__tn__=%2As-R3.https://www.greenpeace.org/thailand/story/2675/renewable-energy-myth-animals-threat/ (มายาคติ: กังหันพลังงานลมเป็นอันตรายต่อสัตว์ในธรรมชาติ)
สหรัฐฯกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสแล้ว อย่างเป็นทางการ มุ่งแก้ไขวิกฤตโลกร้อน เป้าหมายคาร์บอนศูนย์ในปี 2050
สหรัฐฯกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสแล้ว อย่างเป็นทางการ มุ่งแก้ไขวิกฤตโลกร้อน เป้าหมายคาร์บอนศูนย์ในปี 2050 สหรัฐฯกลับเข้าร่วมตวามตกลงปารีสแล้วอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 เพิ่มความหวังในการต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงของโลกวันที่ 20 มกราคม 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเด็น ได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงการกลับเข้าร่วมต่อเลขาธิการสหประชาชาติ หลังเข้ารับตำแหน่งและเป็นผลแล้วในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021 การกลับเข้าร่วมความตกลงปารีสนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้นำประเทศถอนตัวออกจากความตกลงดังกล่าว ซึ่งเป็นผลแล้วเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา เนื่องจากเผยว่ามันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา โจ ไบเด็น ได้ประกาศว่าจะต่อสู้วิกฤติโลกร้อนสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง และการกลับเข้าร่วมความตกลงปารีส เพื่อต้องการฟื้นฟูความเป็นผู้นำของประเทศในการแก้ปัญหาโลกร้อน โดยได้สัญญาว่าจะมุ่งบรรลุเป้าหมายคาร์บอนศูนย์ในปี 2050 ร่วมกับหลายๆประเทศทั่วโลก ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อที่จะลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อนความตกลงปารีส เป็นความตกลงระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกให้ไปสูงเกิน 1.5 - 2 องศาเซลเซียส (หากเปรียบเทียบกับอุณหภูมิก่อนยุคอุตสาหกรรม) โดยขณะนี้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นแล้ว 1.1 องศา และมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และปรับตัวต่อผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าว โดยมีเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วม ทั้งนี้สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศเดียวที่ถอนตัวออกจากความตกลงปารีส รวมถึงเป็นประเทศเดียวที่กลับเข้าร่วมความตกลงดังกล่าวอีกครั้ง 1. https://www.reuters.com/article/us-climate-change-usa/it-is-official-u-s-back-in-the-paris-climate-club-idUSKBN2AJ16T2.https://www.theguardian.com/environment/2021/feb/19/us-official-return-paris-climate-pact3.https://edition.cnn.com/2021/02/19/opinions/us-paris-agreement-climate-change-sharma/index.html4. https://www.deqp.go.th/new/ความตกลงปารีส-paris-agreement/ 5.https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3377484962379927/?d=n
สถาปนิกโคลอมเบียแปลงขยะพลาสติก เป็นบล็อคอิฐสร้างบ้าน ช่วยแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกตกค้างสิ่งแวดล้อม สร้างวัสดุก่อสร้างราคาถูก แข็งแรง ทนทาน สร้างห้องเรียนให้เด็กๆ
สถาปนิกโคลอมเบียแปลงขยะพลาสติก เป็นบล็อคอิฐสร้างบ้าน ช่วยแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกตกค้างสิ่งแวดล้อม สร้างวัสดุก่อสร้างราคาถูก แข็งแรง ทนทาน สร้างห้องเรียนให้เด็กๆ เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก โคลอมเบียมีปัญหาขยะพลาสติกถูกทิ้งอย่างมหาศาลในแต่ละวัน สตาร์ทอัพในโคลอมเบีย conceptos plásticos จึงต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อสิ่งแวดล้อม โดยการแปลงขยะพลาสติกให้เป็นวัสดุก่อสร้าง สถาปนิก Fernando llanos และ Oscar Mendez ได้แปลงขยะพลาสติกให้เป็นอิฐบล็อกใช้สำหรับสร้างบ้านขึ้นมา โดยวัสดุนี้ช่วยแก้ปัญหาในหลายๆชุมชน นั่นคือการลดขยะต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างวัสดุก่อสร้างที่มีราคาถูก พวกเขาใช้พลาสติกที่ไม่ค่อยถูกนำไปรีไซเคิล นำมาผสมกันและสร้างอิฐที่มารถนำไปต่อกันได้ง่ายๆ และมีความแข็งแรง และทนทานต่อสภาพอากาศต่างๆในปี 2019 conceptos plásticos ได้ร่วมมือกับ UNICEF ในการพัฒนาโรงงานที่แปลงพลาสติกเป็นอิฐก่อสร้างใช้สำหรับสร้างห้องเรียน การนำขยะพลาสติกไปรีไซเคิลเพื่อเกิดประโยชน์เป็นสิ่งที่ดี โดยพวกเราสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาขยะได้โดยการช่วยกันลดสร้างขยะ เน้นใช้ซ้ำ และเก็บขยะ ทิ้งให้ถูกถัง เพื่อการจัดการ และรีไซเคิลให้ถูกต้อง ลดขยะตกค้างทำลายสิ่งแวดล้อม 1. https://www.designboom.com/architecture/conceptos-plasticos-blocks-waste-plastic-02-09-2021/2. https://www.designboom.com/technology/gjenge-makers-recycled-plastic-bricks-kenya-02-08-2021/
นวัตกรรมฟิล์มห่ออาหารรับประทานได้จากกรมวิชาการเกษตร
นวัตกรรมฟิล์มห่ออาหารรับประทานได้จากกรมวิชาการเกษตรตอบโจทย์บรรจุภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ผลิตจากแคร์รอต ใช้เป็นฟิล์มห่อลูกอมและผลไม้กวน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตผลทางการเกษตร ลดปัญหาขยะพลาสติก แถมฟิล์มแคร์รอต 1 แผ่นมีสารเบต้าแคโรทีนสูงกว่า 3,465 ไมโครกรัมกองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร ได้คิดค้นนวัตกรรมฟิล์มห่ออาหารที่ผลิตจากการวิจัยแคร์รอตและยังสามาราถรับประทานได้ด้วย ซึ่งเป็นการตอบโจทย์การใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่กลายเป็นขยะซึ่งใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายนานฟิล์มจากแคร์รอตที่พัฒนาขึ้นนี้มีความต้านทานการซึมผ่านก๊าซออกซิเจนอยู่ในระดับที่ดี จึงมีการนำมาประยุกต์เป็นฟิล์มห่อผลิตภัณฑ์ เช่น ลูกอม และผลไม้กวน ซึ่งมีอายุการใช้งานได้นานประมาณ 2 เดือน อีกทั้งฟิล์มแคร์รอตยังมีคุณค่าทางโภชนาการเนื่องจากฟิล์มแคร์รอต 1 แผ่นมีปริมาณสารเบต้าแคโรทีนสูงถึง 3,465 ไมโครกรัม สำหรับที่มาของแนวคิดนี้มีจุดเริ่มต้นจากนักวิจัยต้องการจะผลิตบรรจุภัณฑ์ห่อหุ้มอาหารที่ทำมาจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกซึ่งย่อยสลายได้ยากเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาสภาวะโลกร้อน ทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตผลทางการเกษตรคณะผู้วิจัยเตรียมนำผลงานวิจัยฟิล์มแคร์รอตบรรจุภัณฑ์รับประทานได้ไปจดอนุสิทธิบัตรแล้ว ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตร กรมวิชาการเกษตร ที่มา: https://bit.ly/2ZeJ9yz
ครม.ไฟเขียว! ร่างแผนแก้ปัญหาขยะพลาสติกภายในปี 2565
ครม.ไฟเขียว! ร่างแผนแก้ปัญหาขยะพลาสติกภายในปี 2565 | แบนพลาสติก 4 ประเภท! (ถุงบาง กล่องโฟม แก้วบาง หลอด) | นำพลาสติกกลับไปใช้ใหม่ให้ได้ 50% (ถุง ฟิล์ม ขวด ฝา กล่อง ช้อน ส้อม มีด) | คาดลดขยะพลาสติกได้ถึง 780,000 ล้านตัน/ปี ปัญหาขยะพลาสติกเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก ตกค้างในสิ่งแวดล้อมมหาศาลเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งบนบก และทะเล หรือลงหลุมฝังกลบย่อยสลายนาน อีกทั้งอัตราการรีไซเคิลและนำกลับมาใช้ใหม่ก็ต่ำมากเพื่อเทียบกับอัตราที่ผลิตภัณฑ์พลาสติกถูกผลิตออกมา อีกทั้งช่วงโควิด-19 ที่มีการใช้พลาสติกมากขึ้นก็เป็นการเพิ่มปัญหาอย่างมาก ในประเทศไทยเอง ปัญหาขยะพลาสติกก็อยู่ในขั้นหนักเช่นกัน โดยมีขยะพลาสติกเกิดขึ้นกว่า 2 ล้านตันต่อปี ซึ่งส่วนมากเป็นประเภทที่ไม่ถูกนำไปรีไซเคิล และถูกจัดการไม่ถูกวิธี โดยไทยเองติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก หลายๆประเทศทั่วโลกจึงมีเป้าหมายการจัดการขยะพลาสติกให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลด เลิกใช้พลาสติกบางประเภท หรือผลักดันการจัดการขยะ รวมถึงประเทศไทยเองที่ได้มีการแบนใช้ถุงพลาสติกในร้านสะดวกซื้อ และห้างสรรพสินค้าแล้ว .ล่าสุดวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 กรุงเทพธุรกิจเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (ปี พ.ศ.2563-2565) ภายใต้ Roadmap ปี พ.ศ. 2561 -2573 พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตาม (ร่าง) แผนเพื่อแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก และเน้นการหมุนเวียน โดยมีรายละเอียดโดยย่อดังนี้ 1. ยกเลิกการใช้พลาสติก 4ประเภท 100% ภายในปี 2565 (ใช้วัสดุเป็นมิตรทดแทน)- ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบบาง - กล่องโฟมบรรจุอาหาร - แก้วพลาสติกแบบบาง - หลอดพลาสติก (ยกเว้นกรณีจำเป็น)2. นำพลาสติกหมุนเวียนกลับไปใช้ใหม่ > 50% ในปี 2565- ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบหนา - บรรจุภัณฑ์ฟิล์มพลาสติกชั้นเดียว - ขวดพลาสติกทุกชนิด- ฝาขวด- แก้วพลาสติก- ถาด และกล่องอาหาร - ช้อน ส้อม มีดพลาสติกภายในแผนมีมาตรการควบคุมและลดการเกิดขยะพลาสติก ตั้งแต่การผลิตที่เน้นให้ออกแบบและผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดขยะต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยับครอบคลุมการ ลดใช้ พลาสติก ณ ขั้นตอนการบริโภค จนไปถึงการจัดการขยะพลาสติกหลังบริโภคให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามแผนดังกล่าวคาดว่า จะลดขยะพลาสติกได้ถึง 780,000 ล้านตัน/ปี และเป็นการลดงบประมาณกำจัดขยะมูลฝอย รวมถึงพื้นที่ฝังกลบ และลดก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย Source: กรุงเทพธุรกิจ ภาพ: ด่านสกัดขยะคลองลาดพร้าวhttps://www.bangkokbiznews.com/news/detail/922683?fbclid=IwAR23ywXzE8_wzSmfJMBPFIH2CGoZDj1z7dEo13ihqWqkaCaIfXxGAVJR1Hchttps://www.greenpeace.org/thailand/story/18232/plastic-challenge-to-combat-plastic-pollution-in-thailand/
เรือเก็บขยะแม่น้ำเจ้าพระยา พลังงานแสงอาทิตย์ นวัตกรรมจาก The Ocean Cleanup ถึงไทยแล้ว!
เรือเก็บขยะแม่น้ำเจ้าพระยา พลังงานแสงอาทิตย์ นวัตกรรมจาก The Ocean Cleanup ถึงไทยแล้ว!กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ร่วมมือกับ The Ocean Cleanup จากเนเธอร์แลนด์ ส่งนวัตกรรมเครื่อง Interceptor เรือเก็บขยะแม่น้ำที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ดักเก็บขยะพลาสติกในแม่น้ำของประเทศไทยก่อนออกสู่ทะเล ซึ่งจะติดตั้งบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จ.สมุทรปราการ 3 จุด จุดแรกนำร่องติดตั้งบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า เบื้องต้นอยู่ระหว่างศึกษาความลึกของแม่น้ำและกระแสน้ำที่เหมาะสมในการติดตั้งเครื่องดังกล่าว สำหรับเครื่อง Interceptor สามารถดักเก็บขยะอัตโนมัติใช้พลังงานแสงอาทิตย์ คาดว่าจะสามารถเก็บขยะได้ 3–4 ตันต่อวันขึ้นอยู่กับปริมาณขยะในพื้นที่ และช่วยลดปริมาณขยะในแม่น้ำที่จะไหลลงสู่ทะเลได้ถึง 60% ไม่เพียงเท่านั้นขยะที่เก็บได้จะถูกนำมาคัดแยกอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการตามแนวทางของเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวของการแก้ปัญหาขยะทะเล ที่จะช่วยลดมลภาวะในแม่น้ำที่จะเกิดปัญหาต่อสัตว์ทะเลได้นางสุมนา กล่าวว่า นวัตกรรม Interceptor เพื่อจัดการขยะในแม่น้ำก่อนลงสู่ทะเล ได้ผ่านการคิดค้นและทดสอบประสิทธิภาพมาแล้ว โดยจะนำมา ทดลองใช้ในไทยในพื้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาก่อนลงสู่ทะเล เนื่องจากแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณขยะในแม่น้ำมากที่สุดปี 2560 มีปริมาณขยะสูงถึง 2,172 ตัน หรือกว่า 173 ล้านชิ้น แต่จากมาตรการต่างๆของภาครัฐ เพื่อลดปริมาณขยะในแม่น้ำ และทะเลส่งให้แม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณขยะลดลงในปี 2562 เหลือเพียง 702 ตัน หรือกว่า 42 ล้านชิ้นชมคลิปวิดีโอการพูดคุยระหว่าง Mr. Boyan Slat ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้งองค์กร The Ocean Cleanup ถึงการมาร่วมงานกับ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง https://youtu.be/UDYebnY6vqoRead More: https://evplaza.com/?page_id=3071Written: ผัดกระเพราไม่ใส่ถั่วCredit: https://news.thaipbs.or.th/content/301049, https://www.dmcr.go.th/detailStation/3025
การแก้ไขปัญหาโควิดเป็นเรื่องง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตภูมิอากาศ"
"การแก้ไขปัญหาโควิดเป็นเรื่องง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤตภูมิอากาศ" Bill Gates ออกหนังสือใหม่ ชวนทั่วโลกแก้ไขโลกร้อน! มุ่งคาร์บอน 0 หนุนเทคโนโลยีกรีน “การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศอาจเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่มนุษยชาติจะทำได้” Bill Gates นักธุรกิจพันล้านผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft เผยกับสำนักข่าว BBC Bill Gates ออกมาพูดถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศอีกครั้ง หลังจากที่เขาออกหนังสือ “How to Avoid a Climate Disaster: The Solutions We Have and the Breakthroughs We Need” ที่เขียนถึงวิธีแก้ปัญหาโลกร้อน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือเล่มใหม่นี้ของเขาในขณะที่หาวิธีที่ดีที่สุดในการติดตั้งไฟฟ้าในที่ห่างไกลของโลกโดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินGates ให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า “อย่าดูถูกสเกลของวิกฤตนี้ 51 พันล้านตันคือจำนวนของก๊าซเรือนกระจกที่โลกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศในทุก ๆ ปี และ 0 คือจำนวนที่เราต้องไปให้ถึง”เขาเทียบปัญหาสภาพภูมิอากาศกับโควิด โดยบอกว่า “เมื่อเทียบกับวิกฤติภูมิอากาศ การแก้ปัญหาโควิดจะดูง่ายไปเลย การแพร่ระบาดจะมาจบลงด้วยวัคซีนที่มหัศจรรย์ทั้งหลายที่ผลิตขึ้นมา ซึ่งเราก็กำลังเพิ่มจำนวน และปรับปรุงเพื่อให้มันเข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ” Gates ชี้ว่า แหล่งพลังงานหมุนเวียนเช่นลม และแสงอาทิตย์สามารถช่วยเราลดการใช้ไฟฟ้าได้ แต่นั่นก็น้อยกว่า 30% ของการปล่อยทั้งหมด เรายังคงต้องลดการปล่อยคาร์บอนอีก 70% ที่มาจากแหล่งเศรษฐกิจโลกไม่ว่าจะเป็น เหล็ก ปูนซีเมนต์ ระบบขนส่ง การผลิตปุ๋ย และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจากคำถาม “How to Avoid a Climate Disaster: The Solutions We Have and the Breakthroughs We Need” เราจะเลี่ยงหายนะทางด้านภูมิอากาศได้อย่างไร? Gates ชี้ว่า คำตอบจะมาจากความพยายามด้านนวัตกรรมในสเกลที่ “โลกไม่เคยเห็นมาก่อน” และมันต้องเริ่มจากทางรัฐบาล ตอนนี้ระบบเศรษฐกิจโลกไม่คำนึงถึงค่าเสียหายที่เราต้องจ่ายจากการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแท้จริง ผู้ปล่อยก๊าซมลพิษจากรถ การเผาถ่านหิน และก๊าซจากบ้านเรือนส่วนใหญ่ไม่ได้จ่ายค่าเสียหายชดเชยสิ่งที่พวกเขาก่อกับธรรมชาติ “ตอนนี้คุณยังไม่เห็นถึงบาดแผลของสิ่งที่คุณกำลังก่อ ในขณะที่คุณปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา” Gates เผยGates เผยต่อว่า รัฐบาลต้องลงทุนอย่างมากในด้านงานวิจัย และการพัฒนา รวมถึงสนับสนุนตลาดที่เป็นทางเลือกใหม่ และสนับสนุนเทคโนโลยีที่จะเป็นส่วนช่วยให้ทางเลือกใหม่เหล่านี้มีมากขึ้น ด้วยราคาที่ไม่พุ่งสูงเกินไปด้วย ซึ่งมันก็จริง เพราะลองคิดดู สิ่งของที่เป็นมิตรต่อโลก ไม่ว่าจะเป็นของใช้ อาหาร นวัตกรรม พลังงาน ทุกอย่างล้วนมีราคาที่สูง ทำไมไม่มีการประกันราคา ทำราคาให้ของเหล่านี้สามารถเข้าถึงผู้คนได้ในทุกที่ละ? เพราะนอกจากมันจะดีต่อโลกแล้ว มันยังดีต่อผู้ใช้งานด้วยในระยะยาว วาทกรรม “การรักษ์โลกเป็นวิถีของคนรวย” ควรจะหายไปเสียทีด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาล เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องของทุกคน“การแก้ไขปัญหาจากภาครัฐ และการเปลี่ยนเพื่อให้การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์นั้นสำคัญกว่าการขอให้ทุกคน ‘ใช้น้อยลง’ รัฐบาลควร 'ทำสิ่งที่ถูกต้อง’” Gates เสริม ซึ่งเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถของตลาดในการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการเรียกร้องทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคำตอบของ Gates ถือว่าชัดเจน เขามองว่ามนุษย์ควรใช้เวลาในทศวรรษหน้า มุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี นโยบาย และโครงสร้างตลาดที่จะนำเราไปสู่การกำจัดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2050 อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีคนมองว่า ในขณะที่เขาพูดเรื่องนี้ Bill Gates ก็ยังใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐี เขายังคงเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว และมีบ้านสวย ๆ ซึ่งตรงนี้ Gates ยอมรับว่า เขาเคยนั่งเครื่องบินส่วนตัวไปประชุม Paris Climate Summit ในปี 2015 จริง แต่ปัจจุบันเขาได้เปลี่ยนมันแล้วปัจจุบันเครื่องบินไอพ่นของเขาขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงชีวภาพที่ทำจากผลิตภัณฑ์จากพืชแทนที่จะเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งมีราคาสูงกว่าแบบเดิมถึงสามเท่า Gates เผยว่า “ผมไม่คิดว่าการยกเลิกการบินฟังดูเข้าท่า เทคนิคที่หักดิบอย่างนั้นจะไม่พาเราถึงเป้าหมาย” เขาเชื่อว่าคำตอบของเรื่องนี้คือ การพัฒนาเชื้อเพลิงใหม่ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ หันไปใช้ “ก๊าซไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen)” หรือไฟฟ้าเพื่อขับเคลื่อนเครื่องบินแทน Source1. https://www.bbc.com/news/science-environment-560420292. https://www.theguardian.com/environment/2021/feb/13/bill-gates-on-the-climate-crisis-i-cant-deny-being-a-rich-guy-with-an-opinion3. https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-9261551/Bill-Gates-Ending-Covid-19-pandemic-easy-compared-climate-change.html4.Environman
แผงโซลาร์จากเศษผักเหลือทิ้ง ดูดรังสียูวีเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า
แผงโซลาร์จากเศษผักเหลือทิ้ง ดูดรังสียูวีเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าบ่อยครั้งที่สิ่งประดิษฐ์เกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ นี่เป็นอีกก้าวของความสำเร็จที่เกิดจากการสังเกตสิ่งเล็กน้อยใกล้ตัวของ Carvey Ehren Maigueหนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยชาวฟิลิปินส์ ผู้คิดค้นหน้าต่างที่สามารถรับแสงยูวีแล้วแปลงให้เป็นพลังงานไฟฟ้าสะอาดหมุนเวียน เมื่อวันหนึ่งที่แสนธรรมดา ในขณะที่เขากำลังเดินอยู่นอกอาคาร บรรยากาศครึ้มฝน แต่แว่นสายตาของเขา ยังคงปรับเป็นสีชาเพื่อกันแสงแดด ทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าแม้เราจะไม่รู้สึกถึงแดดจัด แต่เรายังได้รับแสงยูวีจากดวงอาทิตย์อยู่เขาจึงเกิดไอเดียในการสร้างหน้าต่างดูดซับแสงขึ้นมาJames Dyson นักธุรกิจผู้คิดค้นพัฒนาเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์เจ้าของรางวัลเวทีการประกวด James Dyson Award ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของไอเดียนี้ จึงได้พัฒนาต่อยอดสร้างงานของเขาให้เป็นจริง โดยผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า “AuREUS” ซึ่งเลียนแบบการเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่าง แสงออโรรา เมื่ออนุภาคเรืองแสงในชั้นบรรยากาศชั้นบน ดูดซับพลังงานจากรังสียูวีและแกมมาแล้วปล่อยออกมาเป็นแสงที่มองเห็นได้ กระบวนการเดียวกันนี้ถูกฝังไว้ในแผงเรซิน เมื่อแสงแดดกระทบแผงจะดูดซับยูวีและทำให้เกิดแสงที่มองเห็นได้ ซึ่งสีของอนุภาคเรืองแสงเกิดจากการย้อมสีโดยใช้ขยะจากพืชด้วยเหตุนี้เทคโนโลยี AuREUS จึงสามารถทดแทนข้อจำกัดต่างๆของโซลาเซลล์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะสามารถติดตั้งแทนกระจกหน้าต่างตึกสูง อาคารบ้านเรือน แทนการติดตั้งแผงโซลาเซลล์ในแนวราบที่ต้องใช้พื้นที่กว้างและต้องหันรับแสงแดดจัดตลอดวัน ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นตึกสูงต่างๆติดหน้าต่างที่มีสีสันสดใสและมีประโยชน์นี้ทั่วทั้งเมือง แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วsource:1. https://www.yankodesign.com/2020/11/20/james-dyson-award-winning-window-uses-crop-waste-to-capture-uv-light-for-renewable-energy/2. https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3243738022421289/?d=n3. Environmanเรียบเรียง : Horloruyorlui
เดนมาร์กเตรียมสร้างเกาะเทียม เป็นฐานเปลี่ยนลมในทะเล เป็นพลังงานสะอาดให้ 3 ล้านครัวเรือน
รัฐบาลเดนมาร์กโชว์วิสัยทัศน์อีกครั้งโดยริเริ่มโครงการสร้าง “เกาะพลังงานเทียม” ถือเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุด นับจากการสร้างฟาร์มกังหันลมในปี 1991เกาะนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของคาบสมุทรจัตแลนด์นอกชายฝั่ง 50 ไมล์ กลางทะเลเหนือ สามารถเปลี่ยนลมให้กลายเป็นพลังงานสะอาดได้มากถึง 3 ล้านครัวเรือน ด้วยพื้นที่รับแรงลมขนาดเท่าสนามฟุตบอล 18 สนาม ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 25,000 ล้านปอนด์ ซึ่งหากโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้เดนมาร์กมีพลังงานสะอาดใช้มากเกินกว่าความต้องการภายในประเทศ และกลายเป็นศูนย์กลางพลังงานแห่งชายฝั่งทะเลยุโรปเดนมาร์กมีความมุ่งมั่นที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึง 70% ภายในปี 2030 Dan Jorgensen รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสภาพอากาศของเดนมาร์ก กล่าวว่า “นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีอย่างแท้จริงของเดนมาร์กที่จะก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสีเขียวของโลก” ซึ่งรัฐบาลโซเชียลเดโมแครต เห็นชอบร่วมกันระหว่างฝ่ายค้านและฝ่ายสนับสนุน ให้รัฐบาลถือหุ้น 51% และที่เหลือเป็นของเอกชนมีความคาดการณ์ว่าโครงการจะเริ่มก่อสร้างในปี 2026 โดยใช้เวลาร่วมกับภาคเอกชน เพื่อสำรวจผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล และลงนามข้อตกลงเพื่อเชื่อมต่อ เกาะพลังงานกับเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีเรียบเรียง : Horloruyorluisource1.https://www.theguardian.com/environment/2021/feb/04/denmark-strikes-deal-on-25bn-artificial-wind-energy-island2.Environman
ANIMAL: เพื่อนช่วยยืดอายุ!งานวิจัยเผย ยีราฟสาวที่อยู่กันเป็นแก๊ง อายุยืนกว่ายีราฟที่อยู่โดดเดี่ยว
ANIMAL: เพื่อนช่วยยืดอายุ!งานวิจัยเผย ยีราฟสาวที่อยู่กันเป็นแก๊ง อายุยืนกว่ายีราฟที่อยู่โดดเดี่ยวสาว ๆ หลายคนก็คงจะมีแก๊งเป็นของตัวเอง และทุก ๆ ครั้งที่ได้เจอแก๊งเพื่อนสาวของคุณ คุณจะรู้สึกมีชีวิตชีวาและสดชื่น ความตึงเครียดจากงานทั้งหมดก็หายไปอย่างปลิดทิ้ง อยากจะบอกว่ายีราฟสาวก็เป็นเหมือนกันนะ และยิ่งพวกมันใช้เวลาแฮ้งค์เอาท์กับเพื่อนสาวเยอะเท่าไหร่ มันยิ่งมีอายุยาวมากขึ้นด้วย!Monica Bond และเพื่อนร่วมงานของเธอจากมหาวิทยาลัย Zurich ประเทศ Switzerland ได้ทำการสำรวจยีราฟเพศเมีย 512 ตัว ในพื้นที่ขนาด 1,500 ตารางเมตร ที่ Tarangire Ecosystem ในตอนเหนือของ Tanzania ทางทีมงานได้ทำการสำรวจปีละ 6 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 2012-2016 โดยจะถ่ายรูปยีราฟเพศเมียทุกตัวที่พวกเขาได้ทำการสำรวจไว้ และใช้ซอฟต์แวร์สำรวจที่เรียกว่า WildID เพื่อระบุตัวตนของยีราฟ จากลายจุดที่ติดตัวไปตลอดชีวิตของพวกมัน (นักวิจัยเผยว่ายีราฟแต่ละตัวจะเกิดมาพร้อมลายไม่เหมือนกัน และจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต)หลังจากนั้น เพื่อดูความสัมพันธ์ของยีราฟที่มีต่อตัวอื่น ๆ และขนาดของแก๊งยีราฟสาว ทีมงานสำรวจได้สร้าง social network ของยีราฟโดยอาศัยงานวิจัยที่คล้ายคลึงกันที่ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์จากการสำรวจของ social network ทีมงานได้พบว่ายีราฟที่อยู่ในกลุ่มที่มีสมาชิกสาวมากกว่า 3 ตัวขึ้นไป มีโอกาสอยู่รอดได้สูงกว่ายีราฟที่อยู่ตัวเดียว การเข้าสังคมของยีราฟสาวนั้นถือเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการดำรงชีวิต เมื่อเทียบกับปัจจัยสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่รวมถึงการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ แหล่งอาหาร และชนิดของพืชอย่างไรก็ตาม ยีราฟเพศผู้ไม่ใช่สัตว์เข้าสังคมเหมือนยีราฟเพศเมีย จากการวิจัยก่อนหน้านี้ มีการบ่งชี้ว่ายีราฟเพศผู้นั้นเป็นสัตว์รักสันโดษที่คอยตามหาตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ แต่จะไม่มีการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง และยืนยาวกับยีราฟตัวอื่นๆBond ยังได้กล่าวเพิ่มว่า การมีเพื่อนสามารถลดความเครียดสำหรับยีราฟเพศเมียนี้ได้ อีกทั้งยังช่วยให้ชีวิตมันผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนั้น การรวมกลุ่มเล็ก ๆ ของเหล่ายีราฟสาวจะทำให้พวกมันรู้ว่าแหล่งอาหารที่ไหนเหมาะกับการกิน และยังเป็นหูเป็นตาให้กันทั้งในการดูแลลูกยีราฟ และคอยระวังจากนักล่าทั้งหลาย ที่สำคัญการอยู่เป็นกลุ่มของยีราฟสาวหลายๆตัวยังช่วยลดอัตราการทำร้ายจากยีราฟหนุ่มอีกด้วย จริง ๆ แล้วมีสัตว์มากมายอีกหลายชนิดที่อยู่กับเพื่อนฝูง แล้วมีชีวิตที่ยืนนานมากขึ้น แต่สัตว์แต่ละชนิดก็จะมีทฤษฎีแตกต่างกันไป อย่างงานวิจัยที่ทำการวิจัยมาตลอด 34 ปี ของ ลิงบาบูนจำนวน 545 ตัว ในประเทศ Kenya ที่พบว่าลิงบาบูน ที่มีเพื่อนเป็นลิงตัวเมียจะมีอายุที่ยาวกว่าลิงที่มีเพื่อนเป็นลิงตัวผู้ เป็นต้น อ่านแล้วภาพแก๊งยีราฟสาวยืนใส่แว่นดำยืนชิทแชทสวยเริ่ดเชิดกันอยู่ก็ลอยเข้ามาเลย เอาล่ะวันหยุดสุดสัปดาห์แล้วโทรนัดเดอะแก๊งด่วนๆSource1. https://www.newscientist.com/article/2267107-female-giraffes-who-hang-out-with-friends-live-longer-than-loners/?utm_term=Autofeed&utm_campaign=echobox&utm_medium=social&utm_source=Twitter#Echobox=1612918579
2. https://www.treehugger.com/male-baboons-live-longer-female-friends-5079076#:~:text=A%2035%2Dyear%20study%20of,than%20those%20who%20don't.เรียบเรียง: buras3. Environman
2. https://www.treehugger.com/male-baboons-live-longer-female-friends-5079076#:~:text=A%2035%2Dyear%20study%20of,than%20those%20who%20don't.เรียบเรียง: buras3. Environman
ปักกิ่งฝุ่น PM2.5 ลดลง 50% ใน 5 ปีที่ผ่านมา! บรรลุเป้าหมาย คุณอากาศดีขึ้น
ปักกิ่งฝุ่น PM2.5 ลดลง 50% ใน 5 ปีที่ผ่านมา! บรรลุเป้าหมาย คุณอากาศดีขึ้น เตรียมปลูกต้นไม้เพิ่ม 6 หมื่นไร่ เมื่อวันเสาร์ (23 ม.ค.) ทางการกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เปิดเผยว่าความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม2.5 (PM2.5) ในปักกิ่งลดลงร้อยละ 53 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งบรรลุเป้าหมายตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (2016-2020)ข้อมูลที่เผยแพร่ ณ ที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนเทศบาลนครปักกิ่ง ชุดที่ 15 ครั้งที่ 4 ระบุว่าความหนาแน่นของฝุ่นพีเอ็ม2.5 ในปักกิ่งลดลงเกินครึ่งในปี 2020 เมื่อเทียบกับปี 2015 ทำให้ปักกิ่งเป็นพื้นที่ที่มีฝุ่นพีเอ็ม2.5 หนาแน่นต่ำสุดและลดลงชัดเจนสุดในภูมิภาคปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ยความเข้มข้นเฉลี่ยของฝุ่นพีเอ็ม2.5 ในปักกิ่งอยู่ที่ 38 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรในปี 2020 ลดลงร้อยละ 9.5 เมื่อเทียบปีต่อปี และทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งแรกในปี 2013คุณภาพอากาศในปักกิ่งดีขึ้นจนเข้าใกล้มาตรฐานการควบคุมฝุ่นพีเอ็ม2.5 ระดับ 2 ของประเทศ ซึ่งกำหนดความเข้มข้นเฉลี่ยอยู่ที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรนอกจากนั้นปักกิ่งยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลงกว่าร้อยละ 23 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาปักกิ่งวางแผนปลูกต้นไม้ 10,000 เฮกตาร์ (ราว 62,500 ไร่) ในปี 2021 เพื่อเพิ่มพูนความครอบคลุมของป่าไม้ทั่วเมืองให้อยู่ที่ราวร้อยละ 45 ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้าทางการกรุงปักกิ่งแสดงคำมั่นเดินหน้าความร่วมมือระดับภูมิภาคด้านการควบคุมมลพิษทางอากาศ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลภาวะอย่างฝุ่นพีเอ็ม2.5 ก๊าซโอโซน สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) และก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ในปี 2021ที่มา https://m.facebook.com/1660335044182511/posts/2864056700477000/?d=nFacebook:Environman
2กุมภาพันธ์ วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ร่วมอนุรักษ์แหล่งพืช-สัตว์-น้ำ
2 กุมภาพันธ์ วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก ร่วมอนุรักษ์แหล่งพืช-สัตว์-น้ำ ที่มีความสำคัญต่อโลก วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (Wetlands Day)เกิดขึ้นเนื่องจากในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2514 นานาชาติได้ร่วมกันลงนามรับรองอนุสัญญาแรมซาร์ อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศโดยจัด ณ เมือง Ramser ประเทศอิหร่าน อนุสัญญาดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาล ให้ความร่วมมือกันอนุรักษ์แหล่งอาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีวัตถุประสงค์หลักๆ 2 ประการคือ1) เพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยของนกน้ำ (waterfowl) ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำและยับยั้งการสูญเสียของพื้นที่ชุ่มน้ำโลก2) เพื่อให้มีระบบการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ เพื่อการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด ตามหลักการของความยั่งยืน และการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดและเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ จึงได้กำหนดให้ทุกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (World Wetlands Day)พื้นที่ชุ่มน้ำ หรือว่า (Wetlands) หมายถึง ที่ลุ่ม ที่ราบลุ่ม ที่ชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขัง หรือ น้ำท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่ง และน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเล และที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุด มีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตรคุณค่าโดยรวมของพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ การเป็นแหล่งน้ำ แหล่งกักเก็บน้ำฝน และน้ำท่า ป้องกันน้ำเค็มมิให้รุกเข้ามาในแผ่นดิน ป้องกันชายฝั่งพังทลาย ดักจับตะกอนและแร่ธาตุ ดักจับสารพิษ เป็นแหล่งทรัพยากรและผลผลิตธรรมชาติที่มนุษย์เข้าไปเก็บเกี่ยวใช้ประโยชน์ เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์พืชและสัตว์ มีความสำคัญทางนิเวศวิทยาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแหล่งของผู้ผลิตที่สำคัญในห่วงโซ่อาหาร ความสำคัญด้านนันทนาการและการท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น และเป็นแหล่งศึกษาวิจัยทางธรรมชาติพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นระบบนิเวศที่มีบทบาทหน้าที่ ตลอดจนคุณค่าและความสำคัญต่อวิถีชีวิตทั้งของมนุษย์ พืช และสัตว์ ทั้งทางนิเวศวิทยา เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทั้งในระบบท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติประเทศไทย เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2514 โดยได้เสนอ “พรุควนขี้เสี้ยน” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย และลำดับที่ 948 ของโลก ปัจจุบัน ประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำขึ้นทะเบียน จำนวน 14 แห่ง คือ 1. พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย 2. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง 3. ดอนหอยหลอด4. ปากแม่น้ำกระบี่ 5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย 6. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) 7. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง 8. อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ 9. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง 10. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา 11. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด 12. กุดทิง13. เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช14. เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงาSource1. https://www.wwf.or.th/what_we_do/wetlands_and_production_landscape/ramsarconvension/2. https://www.dmcr.go.th/detailAll/29551/nws/223. https://mobile.facebook.com/1817797531878212/posts/2936460746678546/?d=n&_rdc=1&_rdr
โลกตะลึง อาร์เจนตินาขุด พบซากไดโนเสาร์หมหึมา คาดใหญ่ที่สุดในโลก! คอยาว อายุราว 98 ล้านปี
โลกตะลึง อาร์เจนตินาขุด พบซากไดโนเสาร์หมหึมา คาดใหญ่ที่สุดในโลก! คอยาว อายุราว 98 ล้านปี ผู้เชี่ยวชาญได้ขุดพบซากไดโนเสาร์ที่ใหญ่มหึมาในอาร์เจนตินา และเชื่อว่าไดโนเสาร์เจ้าของซากนี้อาจเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเดินบนโลกนี้ก็ได้ ซากฟอสซิลนี้คาดว่าเป็นของไดโนเสาร์ในกลุ่มไททันโนซอร์ (Titanosaur) อายุ 98 ล้านปี พบที่จังหวัด Neuquén ทางตอนตะวันตกเฉียงเหนือของที่ราบสูง Patagonia อาร์เจนตินา ในชั้นหินของโลกที่มีชื่อว่า Candeleros Formation ฟอสซิลที่พบเป็นกระดูกสันหลังขนาดมหึมาจำนวน 24 ชิ้นเชื่อมต่อกับกระดูกเชิงกรานและเอว และหางที่ยังอยู่ในสภาะดี ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าเป็นของกลุ่มไททันโนซอร์ ไดโนเสาร์ตระกูลซอโรพอด หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อไดโนเสาร์คอยาว เพราะลำตัวของมันที่ใหญ่ คอและหางที่ยาว และการเดินด้วยขาสี่ขา งานวิจัยของพวกเขาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Creataceous Research ผู้เชี่ยวชาญเผยว่าฟอสซิลนี้น่าจะเป็น “หนึ่งในซอโรพอดที่ใหญ่ที่สุดในโลก” และอาจใหญ่กว่าไดโนเสาร์ในกลุ่มไททันโนซอร์อื่น ๆ อย่าง ปาตาโกไททัน (Patagotitan) หนึ่งในไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่ มีชีวิตอยู่เมื่อ 100 - 95 ล้านปีที่แล้ว และยาวประมาณ 37.2 เมตร หนักได้ถึง 77 ตันถึงทางผู้เชี่ยวชาญเผยว่ายังไม่สามารถระบุขนาดของสิ่งมีชีวิตนี้ได้ แต่เป็นไปได้ว่าใหญ่กว่าหรือตัวพอ ๆ กับปาตาโกไททันแบบที่กล่าวข้างต้น หรือเทียบกับไดโนเสาร์ในกลุ่มเดียวกันอีกตัวอย่างอาร์เจนติโนซอรัส อาร์เจนติโนซอรัส (Argentinosaurus) เป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดใหญ่มหึมาเช่นกัน มันใหญ่กว่าช้างแอฟริกัน 12 เท่า ตัวยาวได้ถึง 40 เมตร และหนัก 110 ตัน ถึงจะไม่แน่ชัดเรื่องความใหญ่ แต่การพบเจอก็ถือว่าช่วยนักบรรพชีวินวิทยาในการเรียนรู้ได้มาก ปกติมันจะถูกค้นพบในทุกทวีปยกเว้นในแอนตาร์กติกา จะมีแต่ตัวใหญ่ ๆ มากกว่า 40 ตันแบบตัวที่เจอเท่านั้นที่จะเจอได้แค่ที่ราบสูง Patagoniaก่อนหน้านี้ก็มีการค้นพบทั้งเดรดนอท (Dreadnoughtus) และ ซาเมียนโตซอรัส (Sarmientosaurus) สองซอโรพอดคอยาวในอเมริกาใต้เช่นกันSource 1. https://edition.cnn.com/2021/01/19/americas/dinosaur-largest-titanosaur-intl-scli-scn/index.html 2. https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S019566712100001X#! 3. https://www.livescience.com/largest-dinosaur-discovered-in-argentina.html
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :Environma
ขอขอบคุณแหล่งที่มา :Environma
“เรื่องดีดี จากทะเลสวยในอ่าวไทยตัว ก. ฝั่งตะวันออก”
“เรื่องดีดี จากทะเลสวยในอ่าวไทยตัว ก. ฝั่งตะวันออก”วันที่ 29 มกราคม 2564 กรม ทช. โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก ร่วมกับคณะอาจารย์และนักศึกษา จากห้องปฏิบัติการนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ (CEG: Conservation Ecology Group) คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (ดร.วรธา กลิ่นสวาท, ดร.วัลลภ ชุติพงศ์ และ Mr.Trifan Budi นักศึกษาปริญญาโท) สำรวจสถานภาพสัตว์ทะเลหายาก และเก็บตัวอย่างน้ำ เพื่อการประยุกต์ใช้ environmental DNA ในการติดตามประชากรของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ในกลุ่มของโลมาและพะยูน โดยอาศัยฐานข้อมูลทางด้านนิเวศวิทยาและพันธุศาสตร์ บริเวณชายฝั่ง จ.สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ผลการสำรวจพบฝูงโลมาอิรวดี ประมาณ 10-15 ตัว มีพฤติกรรมผสมพันธุ์ในกลุ่ม โดยมีการว่ายน้ำคลอเคลียกัน พบนกสกัวขั้วโลกเหนือ(Parasitic Jaeger) 2 ตัว และพบเหยี่ยวออสเปร (Western Osprey) 1 ตัว โดยในการสำรวจครั้งนี้ได้รับความอนุเคราะห์จากอาสาสมัครนักถ่ายภาพจาก Wild Encounter Thailand และ ทพญ. ชื่นชม หังสสูตโลมาอิรวดี /โลมาหัวบาตร ขณะนี้อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ เป็นโลมาที่อาศัยอยู่ได้ทั้งน้ำเค็มและน้ำจืด เป็นโลมาชายฝั่ง และโลมาประจำถิ่นของประเทศไทยพบในแม่น้ำเช่นแม่น้ำโขง อ่าวไทย ทะเลสาบเขมร ทะเลสาบสงขลา ทะเลอันดามัน และในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภัยคุกคามมีหลายด้านอย่างการติดอวนประมง และมลพิษของเสียในน้ำที่มา กรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง https://www.facebook.com/190912654289573/posts/3628114987235972/?d=nhttps://www.facebook.com/258577671237427/posts/1100578330370686/?d=nhttps://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3395064900621933/https://www.iucnredlist.org/species/15419/123790805
ทุบสถิติโลก! 'โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร' ใหญ่ที่สุดในโลก
ทุบสถิติโลก! 'โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร' ใหญ่ที่สุดในโลก คืบหน้ามากกว่า 80% คาดจ่ายไฟฟ้ากลางปี 2564กฟผ. เดินหน้าโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธรใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุดคืบหน้าแล้วกว่า 80% พร้อมเร่งติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ให้ครบ 7 ชุดตามแผน หลังประกอบชุดแรกเสร็จแล้ว คาดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้กลางปี 64 เพื่อเสริมความมั่นคงพลังงานสะอาดของประเทศไทย และเตรียมชูเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดอุบลราชธานีโดยได้เร่งเดินหน้าก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนสิรินธร หรือโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี ขนาดกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งถือเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำแบบไฮบริดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ให้ทันตามแผน ก่อนดำเนินการต่อในเขื่อนอื่น ๆ ของ กฟผ. ให้ครบ 2,725 เมกะวัตต์ อย่างต่อเนื่อง ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 (PDP2018) ทั้งนี้ แผงโซลาร์เซลล์ที่ใช้เป็นชนิดดับเบิลกลาส (Double Glass) สามารถทนต่อความชื้นสูงได้ดี ทำให้ไม่มีสิ่งปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ นอกจากนี้ ได้ติดตั้งทุ่นลอยน้ำชนิด HDPE (High Density Polyethylene) ซึ่งเป็นวัสดุชนิดเดียวกับท่อส่งน้ำประปา จึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำนอกจากนี้ กฟผ. ยังร่วมกับจังหวัดอุบลราชธานี พัฒนาโครงการนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้ด้านพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญของจังหวัด โดยก่อสร้างเส้นทางเดินชมธรรมชาติ (Nature Walkway) ความยาว 415 เมตร เพื่อให้ประชาชนได้เดินชมความสวยงามของทิวทัศน์ได้อย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริมให้ธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดกลับมาคึกคัก ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่งด้วยอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมความคืบหน้า ‘โซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดเขื่อนสิรินธร’ ใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มเติมที่ : http://bit.ly/Hydro-Floating-Solar-Progressโลก
GLOBAL WARMING: โลกร้อนทำพิษ วิจัยเผย โลกจ่อร้อนสูงเกิน จนถึงจุดเปลี่ยนพลิกผัน พืชดูดซับคาร์บอนได้น้อยมาก ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า
GLOBAL WARMING: โลกร้อนทำพิษ วิจัยเผย โลกจ่อร้อนสูงเกิน จนถึงจุดเปลี่ยนพลิกผัน พืชดูดซับคาร์บอนได้น้อยมาก ในอีก 20-30 ปีข้างหน้า งานวิจัยใหม่พบว่าอุณหภูมิโลกกำลังจะถึงจุดเปลี่ยนในอีก 20 ถึง 30 ปีข้างหน้า ความสามารถของต้นไม้ในการดูดซับเกือบหนึ่งในสามของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยอาจลดลงครึ่งหนึ่งภายในอีก 10 ปี ถ้าโลกเรายังร้อนขึ้นด้วยอัตราเดิม วิจัยนี้มาจากวารสาร Science Advances จัดทำโดยนักวิจัยจาก Northern Arizona University, Woodwell Climate Research Center และ University of Waikato โดยทีมได้นำข้อมูลที่เก็บไว้กว่าสองทศวรรษจากหอตรวจวัดจากทุก ๆ ชีวนิเวศทั่วโลกมาใช้พวกเขาระบุได้ว่า โลกจะเผชิญกับจุดเปลี่ยนด้านอุณหภูมิที่วิกฤตและสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนพืชไม่สามารถดักจับ และกักเก็บคาร์บอนในชั้นบรรยากาศเอาไว้ได้ ปกติแล้ว ส่วนของพื้นผิวโลกอย่างต้นไม้ และดินจะทำหน้าหายใจอากาศของโลก เป็นเหมือนเครื่องกรองที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์เข้าและปล่อยออกซิเจน ผลผลิตจากการสังเคราะห์แสงออกมา หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในเวลากลางคืนแต่ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา พืชได้รับคาร์บอนมากกว่าที่ปล่อยออกมาเพื่อช่วยบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงกระนั้น ถ้าอุณหภูมิยังสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก ความสามารถในการดูดซับคาร์บอนนี้จะน้อยลงงานวิจัยได้ระบุถึงเกณฑ์อุณหภูมิที่ถ้ามากกว่านี้ พืชจะไม่สามารถดูดซับคาร์บอนเข้าไปได้แล้ว และจะปล่อยมันออกมามากขึ้นเนื่องจากผู้วิจัยสังเกตเห็นว่าการสังเคราะห์แสงลดลงในเกือบทุกระบบนิเวศอย่างรวดเร็วเมื่ออุณหภูมิสูงกว่าเกณฑ์ งานวิจัยนี้เป็นงานแรกที่ตรวจพบเกณฑ์อุณหภูมิสำหรับการสังเคราะห์แสงจากข้อมูลที่ได้จากทั่วโลก พวกเรารู้ว่าอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์อยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่เราไม่รู้อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับส่วนของพื้นผิวโลกอย่างต้นไม้และดิน“ถึงพืชแต่ละประเภทจะตอบสนองต่ออุณหภูมิแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็แสดงให้เห็นแล้วว่าการสังเคราะห์แสงของพืชลดน้อยลงเมื่อพืชได้รับความร้อนที่สูงเกินไป” George Koh ผู้ร่วมงานวิจัยกล่าวตอนนี้พืชที่อยู่ในส่วนของพื้นผิวโลกน้อยกว่า 10 % ประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่าเกณฑ์ แต่ถ้าโลกยังร้อนขึ้นด้วยอัตราที่คงที่อย่างนี้ กว่าครึ่งของพืชอาจประสบกับอุณหภูมิที่สูงกว่าเกณฑ์ภายในครึ่งศตวรรษนี้ พื้นที่บางแห่งที่กักเก็บคาร์บอนมากที่สุดในโลกอย่างป่าฝนเขตร้อนในแอมะซอน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และป่าเขตหนาวไทกา ในรัสเซียและแคนาดาอาจพื้นที่กลุ่มแรก ๆ ที่เผชิญกับจุดเปลี่ยนการค้นพบชี้ให้เห็นว่าอุณหภูมิใด ๆ ที่เพิ่มขึ้นเกิน 18 องศาเซลเซียสอาจเป็นอันตรายต่ออ่างเก็บคาร์บอนภาคพื้นทวีป หากไม่กำจัดให้อุณหภูมิอยู่คงที่ หรือต่ำกว่าระดับที่กำหนดไว้ใน Paris Climate Accord อ่างกักเก็บคาร์บอนนี้อาจไม่ช่วยชดเชยการปล่อยมลพิษของมนุษย์และซื้อเวลาให้เราอย่างนี้อีกต่อไปSource1. https://phys.org/news/2021-01-earth-temperature-years.html2. งานวิจัย https://advances.sciencemag.org/content/7/3/eaay10523.Environman
ลดขนาดช่องถนน เพิ่มทางเท้าและสวนต้นไม้ ฝรั่งเศสเตรียมปรับปรุงให้ ‘ช็องเซลีเซ’ กลายเป็นถนนสายสีเขียว
เราอาจจะเคยได้ยินโครงการเมืองหรือถนนสีเขียวในหลายที่ ไม่เว้นแม้แต่ในไทย และเช่นเดียวกับฝรั่งเศส เพราะล่าสุด ผู้ว่าเมืองปารีสมีแผนกำลังจะเปลี่ยน ‘ช็องเซลีเซ’ ถนนเส้นดัง ให้กลายเป็น ‘สวนสีเขียวชอุ่ม’.แอนน์ อีดาโก ผู้ว่าปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เปิดเผยถึงแผนการปรับเปลี่ยนถนนช็องเซลีเซให้กลายเป็นถนนสีเขียวตลอดระยะทาง 1.9 กิโลเมตร ด้วยงบประมาณ 250 ล้านยูโร (ประมาณ 9.18 พันล้านบาท) เพื่อทำให้ถนนที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของปารีส เต็มไปด้วยความชุ่มชื่น หลังจากที่พวกเขารณรงค์การปรับปรุงช็องเซลีเซมาตั้งแต่ช่วง ค.ศ.2018มันมักถูกเรียกว่าเป็นถนนที่สวยที่สุดในโลก แต่พวกเราในฐานะคนที่ต้องสัญจรผ่านไปมาเพื่อทำงานแถวนี้ทุกๆ วัน คงไม่คิดเช่นนั้น” ฌอง-โนเอล เรียงอาร์ดท์ หนึ่งในคณะกรรมการของคณะทำงาน เคยกล่าวถึงถนนเส้นนี้เอาไว้เมื่อ ค.ศ.2019 ที่ผ่านมาแผนการปรับปรุงช็องเซลีเซมิได้มีเพียงแค่การเพิ่มต้นไม้ลงไปบนถนนเท่านั้น แต่พวกเขาวางแผนที่จะลดขนาดช่องเดินรถให้เล็กลงครึ่งหนึ่ง แล้วเปลี่ยนให้มันกลายเป็นทางเท้าและสวนสีเขียว รวมไปถึงการสร้างอุโมงค์ต้นไม้ ที่จะช่วยให้ช็องเซลีเซมีคุณภาพอากาศที่สะอาดขึ้น ช็องเซลีเซถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังครองราชย์อยู่ มันเป็นสถานที่ขึ้นชื่อในการเดินเล่นและนั่งปิกนิกมาหลายศตวรรษ ในปัจจุบัน มันเป็นที่ตั้งขอสถาที่สำคัญหลายที่ รวมไปถึงร้านค้าแบรนด์แฟชั่นสุดหรูหลายเจ้า มีสถิติเปิดเผยว่า ก่อนการระบาดใหญ่ COVID-19 ถนนเส้นนี้รองรับผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาหลายแสนคนต่อวัน โดย 72 เปอร์เซ็นต์คิดเป็นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และ 22 เปอร์เซ็นต์ คือ คนที่ทำงานอยู่ในย่านนี้ ช็องเซลีเซเป็นถนนสายใหญ่ขนาด 8 ช่องทางเดินรถ ทั้งนี้ มันถูกใช้เป็นทางสัญจรของรถจำนวน 3,000 คันต่อชั่วโมง ด้วยการที่มีรถสัญจรผ่านไปมาอย่างมากต่อวัน ช็องเซลีเซเริ่มกลายเป็นอีกสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มลภาวะด้านอากาศ ที่มีค่าฝุ่นสูง ผู้ว่าเมืองปารีสและคณะทำงานจึงตัดสินใจแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยแผนการปรับปรุงให้ช็องเซลีเซกลายเป็นถนนสีเขียวตามที่ได้กล่าวไปจากการเปิดเผยของอีดาโก โครงการดังกล่าวอาจจะแล้วเสร็จออกมาให้เราได้เห็นกันในช่วงประมาณ ค.ศ.2030 ซึ่งไม่น่าแล้วเสร็จทันโอลิมปิกฤดูร้อนใน ค.ศ.2024 ที่จะจัดขึ้นในฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้เตรียมการจะเปลี่ยนหอไอเฟลให้กลายเป็นสวนสีเขียวใจกลางนครปารีสในอนาคตอีกด้วยอ้างอิงจากhttps://www.theguardian.com/world/2021/jan/10/paris-approves-plan-to-turn-champs-elysees-into-extraordinary-garden-anne-hidalgo?CMP=Share_iOSApp_Otherhttps://www.thenationalnews.com/world/europe/paris-mayor-pledges-huge-new-park-in-re-election-bid-1.1037469ขอขอบคุณ #Brief #TheMATTER
‘ตลาดคาร์บอนเครดิต’ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
8 มกราคม 2564 ‘ตลาดคาร์บอนเครดิต’ กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/915259
“คาร์บอนเครดิต (Carbon credit)” ถูกนำมาใช้ในบริบทของสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นคำที่ใช้สำหรับใบอนุญาตการซื้อขายที่ก่อให้เกิดสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ สู่สิ่งแวดล้อมในปริมาณหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการที่บุคคลหรือองค์กรได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้สามารถวัดปริมาณและสามารถนำไปซื้อขายในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้
โดยทั่วไปแล้ว “ตลาด” หมายถึงสถานที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายหรือกับบุคคลอื่นๆ แต่สำหรับตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon market) นอกจากจะหมายถึงตลาดตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว ตลาดคาร์บอนเครดิตยังเป็นสถานที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม โดยการนำสินค้าที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตมาเป็นวัตถุในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
“คาร์บอนเครดิต (Carbon credit)” ถูกนำมาใช้ในบริบทของสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเป็นคำที่ใช้สำหรับใบอนุญาตการซื้อขายที่ก่อให้เกิดสิทธิในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ สู่สิ่งแวดล้อมในปริมาณหน่วยตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
คาร์บอนเครดิต หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม อันเนื่องมาจากการที่บุคคลหรือองค์กรได้ดำเนินโครงการหรือมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้สามารถวัดปริมาณและสามารถนำไปซื้อขายในตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้
โดยทั่วไปแล้ว “ตลาด” หมายถึงสถานที่ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายหรือกับบุคคลอื่นๆ แต่สำหรับตลาดคาร์บอนเครดิต (Carbon market) นอกจากจะหมายถึงตลาดตามความหมายโดยทั่วไปแล้ว ตลาดคาร์บอนเครดิตยังเป็นสถานที่ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม โดยการนำสินค้าที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิตมาเป็นวัตถุในการซื้อขายแลกเปลี่ยน
จีนเตรียมเปิดกล้องโทรทรรศน์ยักษ์ ให้นักวิทย์ทั่วโลกใช้งานศึกษา และสำรวจหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก
จีนเตรียมเปิดกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดให้นักวิทยาศาสตร์นานาชาติใช้งาน เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ทางอวกาศ รวมถึงสำรวจหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก .FAST กล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ใหญ่ที่สุดในโลกหรือที่เรียกว่า ดวงตาจักรวาล มีความกว้าง 500 เมตร อยู่ใน Guizhou โดยมันสามารถตรวจจับสัญญาณที่ไม่มีกล่องโทรทรรศน์ไหนสามารถทำได้ โดยเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่ตอบสนองเร็วที่สุด และเริ่มเปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020 ปีที่ผ่านมา .โดยนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการใช้งานสามารถเสนอแผนมาที่ National Astronomical Observatories ใน Beijing เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป และนักวิจัยนานาชาติที่ได้รับคัดเลือกสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่สิงหาคมเป็นต้นไป.ทางจีนได้เริ่มใช้ Fast ในการตรวจพบดาวเคราะห์ใกล้ระบบสุริยะของเราที่อาจจะสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้แล้ว Professor Li Di นักวิทยาศาสตร์จีนเผย และทีมของประเทศจีนก็ได้วางแผนที่จะใช้มันในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกเพิ่มเติมอีกด้วย 1. https://www.xinhuathai.com/china/166252_20210104?fbclid=IwAR1XRK06bLNgtLmS5GxW5-Gajos4YaprlIwScKYpx5Fz6OJkiNlVCTD6Agk2. https://www.scmp.com/tech/apps-social/article/3116064/elderly-influencers-are-trending-chinas-youth-led-social-media3. https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-9112443/China-let-foreign-astronomers-use-1-600-foot-radio-telescope-time.html4. https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-9112443/China-let-foreign-astronomers-use-1-600-foot-radio-telescope-time.html5. https://www.space.com/china-fast-radio-telescope-open-international-scientists6. https://news.cgtn.com/news/2021-01-04/China-to-open-giant-telescope-to-international-scientists-in-April-WM8sdL6IWA/index.html7. https://phys.org/news/2020-12-china-giant-telescope-international-scientists.html8. http://old.narit.or.th/index.php/astronomy-article/2860-five-hundred-meter-aperture-spherical-telesco
ขอบคุณที่มา:environman ,space
ขอบคุณที่มา:environman ,space
‘ภูฏาน’ เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวของโลก ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่ากับศูนย์
#ดาวพฤหัสบดีเคียงดาวเสาร์ ใกล้ที่สุดในรอบ397 ปี " 20 - 23 ธ.ค. 63 ปรากฏใกล้กันมากเสมือนเป็นดวงเดียว สังเกตด้วยตาเปล่าได้ทุกภูมิภาคทั่วไทย
“ดาวพฤหัสบดี” เคียง “ดาวเสาร์” ใกล้ที่สุดในรอบ 397 ปี หรือเรียกว่า ปรากฏการณ์ “The Great Conjunction 2020” จะเกิดในช่วงวันที่ 20 - 23 ธันวาคม 2563 ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์จะปรากฏใกล้กันบนท้องฟ้าห่างเพียง 0.1 องศาเท่านั้น
หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเสมือนเป็นจุดสว่างเพียงจุดเดียว และหากมองผ่านกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายไม่เกิน 200 เท่า จะเห็นดาวเคราะห์ทั้งสองอยู่ในช่องมองภาพเดียวกัน สังเกตได้ในช่วงค่ำ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณกลุ่มดาวคนยิงธนูและกลุ่มดาวเเพะทะเล
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในทุก 20 ปี แต่ครั้งนี้นับว่าเข้าใกล้ที่สุดในรอบกว่า 397 ปี หากพลาดโอกาสชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ ต้องรออีก 60 ปีข้างหน้า ดาวเคราะห์ทั้งสองจึงจะเข้ามาใกล้กันในระยะห่าง 0.1 องศาแบบนี้อีกครั้ง ที่มา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
https://m.facebook.com/148300028566953/posts/3723632117700375/?d=n
หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นเสมือนเป็นจุดสว่างเพียงจุดเดียว และหากมองผ่านกล้องโทรทรรศน์กำลังขยายไม่เกิน 200 เท่า จะเห็นดาวเคราะห์ทั้งสองอยู่ในช่องมองภาพเดียวกัน สังเกตได้ในช่วงค่ำ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณกลุ่มดาวคนยิงธนูและกลุ่มดาวเเพะทะเล
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในทุก 20 ปี แต่ครั้งนี้นับว่าเข้าใกล้ที่สุดในรอบกว่า 397 ปี หากพลาดโอกาสชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ ต้องรออีก 60 ปีข้างหน้า ดาวเคราะห์ทั้งสองจึงจะเข้ามาใกล้กันในระยะห่าง 0.1 องศาแบบนี้อีกครั้ง ที่มา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ
https://m.facebook.com/148300028566953/posts/3723632117700375/?d=n
ดูแลสุขภาพกันนะและขอขอบคุณ ที่มา:กรมการแพทย์
นายณัฐพล วุฒิจันทร์
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา และ
ผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นตัวแทนกรมชลประทาน เข้าร่วมงานประชุม
เครือข่ายบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม ประจำปี พ.ศ. 2567
นายณัฐพล วุฒิจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา และผู้ที่เกี่ยวข้อง เป็นตัวแทนกรมชลประทาน เข้าร่วมงานประชุมเครือข่ายบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยในงานได้รับเกียรติจาก นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานในพิธีเปิด โดยงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบรรยากาศ การพบปะและแลกเปลี่ยนความรู้ของนักวิจัยรุ่นใหม่ นักวิจัยอาวุโส และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปสู่เครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการ รวมถึงส่งเสริมเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานร่วมกัน งานประชุมจัดขึ้น
ในงานมีการนำเสนอโปรเตอร์โดย นายสิกขพัฒน์ พรหมมาณพ ในหัวข้อ“โครงการพัฒนาต้นแบบอาคารชลประทานจากว้สดุคอมพอสิตพร้อมระบบอัตโนมัติ (Project to develop a prototype irrigation building from composite materials with an automatic system)"
และ นายพีรวัส พึ่งพาพัฒน์ ในหัวข้อ “การบริหารจัดการรองรับภัยแล้งต้นแบบของพื้นที่ชลประทานอ่างเก็บน้ำชลประทานขนาดกลาง (Smart irrigation management model for drought on irrigation area of medium scale reservoir)”
ระหว่างวันที่ 21 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ณ โรงแรม เดอะ รีเจ้นท์ ชะอำ บีช รีสอร์ท
22 พฤศจิกายน 2567
ฝ่ายวัชพืช ส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สำนักวิจัยและพัฒนา จัดทำเจลแอลกอฮอลล์เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของไวรัส covid19
ฝ่ายวัชพืช ส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สำนักวิจัยและพัฒนา เป็นหน่วยงานที่มีแอลกอฮอล์เป็นวัตถุดิบ จึงได้นำแอลกอฮอล์ 99.99 % ที่มี มาลดความเข้มข้นลง เหลือ 70 % พร้อมเติมส่วนผสมของว่านหางจระเข้ เพื่อให้ เจลแอลกอฮอล์มีกลิ่นอ่อนลง และยังมีคุณสมบัติที่ช่วยถนอมมือผู้ใช้อีกด้วย จนสำเร็จได้ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ว่านหางจระเข้ และสเปรย์แอลกอฮอล์ขนาด 10 มิลลิลิตร ออกมาเพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของไวรัส covid 19
3 เมษายน 2563
3 เมษายน 2563
บทสรุปผู้บริหารสัมมนาก๊าซ.pdfบทสรุปผู้บริหารสัมมนาก๊าซ
วีดิทัศน์แนะนำสารผสมสูตร สวพ.62 - RID No.1
วิดีโอ สารผสมสูตร สวพ.62 RID No.1 (Edit1).mp4
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2567 สำนักงานชลประทานที่ 10 ได้จัดกิจกรรม Kick off การแก้ไขปัญหาวัชพืช (ผักตบชวา) ในพื้นที่เขตสำนักงานชลประทานที่ 10 โดยใช้สารผสมสูตร สวพ.62 ที่คิดค้นโดยส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สำนักวิจัยและพัฒนา และได้ติดตามคุณภาพน้ำหลังการฉีดพ่น ดังนี้
จุดที่ 1 (เหนือจุดฉีดพ่น) https://script.google.com/macros/s/AKfycbxB-Sm4LWfbrKrX4xGhrGPo007RGxqxOj1uS64b1pa1/dev
จุดที่ 2 (จุดฉีดพ่น) https://script.google.com/macros/s/AKfycbxMu0OfwzaOsfh2aV83Yz3W3J8eNsuJrJ4C7D7yDzf_MNmUtbJuK6SRtWwdLp8TfqKi/exec
จุดที่ 3 (ท้ายจุดฉีดพ่น)https://script.google.com/macros/s/AKfycbxubRaa4Vb4ALJJyad6oG-P_POFq3lsXqdNifWfFED1QxT5VvDgRkvRkKtc6KF4ZbeCrQ/exec
จุดที่ 4 (คลองข้างเคียงคลองที่ฉีดพ่น)https://script.google.com/macros/s/AKfycbxyUswyPFCq8sPdkWBx0iAoafTsFlntJbbudFdG8Oh6K2nUfd8pSCpj83oDDoSckjJD/exec
แผนที่จุดวัดคุณภาพน้ำสามารถดูได้จากhttps://drive.google.com/file/d/1ePq20JQ0jYYyghvXkLVXa0l0vXZdpVqR/view?usp=sharing
จุดที่ 2 (จุดฉีดพ่น) https://script.google.com/macros/s/AKfycbxMu0OfwzaOsfh2aV83Yz3W3J8eNsuJrJ4C7D7yDzf_MNmUtbJuK6SRtWwdLp8TfqKi/exec
จุดที่ 3 (ท้ายจุดฉีดพ่น)https://script.google.com/macros/s/AKfycbxubRaa4Vb4ALJJyad6oG-P_POFq3lsXqdNifWfFED1QxT5VvDgRkvRkKtc6KF4ZbeCrQ/exec
จุดที่ 4 (คลองข้างเคียงคลองที่ฉีดพ่น)https://script.google.com/macros/s/AKfycbxyUswyPFCq8sPdkWBx0iAoafTsFlntJbbudFdG8Oh6K2nUfd8pSCpj83oDDoSckjJD/exec
แผนที่จุดวัดคุณภาพน้ำสามารถดูได้จากhttps://drive.google.com/file/d/1ePq20JQ0jYYyghvXkLVXa0l0vXZdpVqR/view?usp=sharing
หน่วยงานที่ส่งตัวอย่างน้ำเพื่อทดสอบคุณภาพน้ำที่ห้องปฏิบัติการ ฝ่ายเคมี ส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการดำเนินการทดสอบคุณภาพน้ำตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน และระยะเวลาที่กำหนด
หน่วยงานที่ส่งตัวอย่างดินและวัสดุ เพื่อวิเคราะห์ / ทดสอบที่ห้องปฏิบัติการ ฝ่ายดินด้านวิทยาศาสตร์ ส่วนวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มีกระบวนการดำเนินการวิเคราะห์ / ทดสอบดินและวัสดุ ตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน และระยะเวลาที่กำหนด
ค
Page updated
Google Sites
Report abuse