ปัจจุบันพบว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหลายชนิด ได้แก่ นิโคตินซึ่งมักจะมีปริมาณที่สูงกว่าบุหรี่มวน ซึ่งนิโคตินสามารถทำให้หัวใจวายได้
โดยบุหรี่ไฟฟ้ามีสารก่อมะเร็ง, โลหะหนัก, สารอินทรีย์ระเหยง่าย,อนุภาคขนาดเล็ก และสารเติมแต่งรสและกลิ่น ซึ่งงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าสารเหล่านี้มีผลต่อระบบการทำงานต่างของร่างกาย เช่น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการสมองของเด็กผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคปอดอักเสบ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ไตวาย โรคตับ และโรคมะเร็ง เป็นต้น
การทบทวนงานวรรณกรรมล่าสุดที่รวมรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้มาวิเคราะห์
สรุปได้ว่า...
บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ช่วยให้ลดการสูบบุหรี่หรือเลิกบุหรี่ แต่ทำให้การเลิกสูบบุหรี่ยากขึ้น รวมทั้งไม่ได้ช่วยลดปริมาณการบริโภคยาสูบในประชากรโดยรวม
ควันที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้ามีสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ มีงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ปริมาณสารโคตินินในปัสสาวะของคนที่ไม่สูบบุหรี่ที่อยู่ร่วมกับคนสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีปริมาณโคตินินที่สูงกว่าสภาวะปกติเช่นเดียวกับการอยู่ร่วมกับคนที่สูบบุหรี่มวน
จึงสรุปได้ว่า... บุคคลที่อยู่รอบข้างผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าได้รับสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกาย
ปัจจุบันมีการยอมรับทั่วโลกแล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดนักสูบหน้าใหม่ งานวิจัยล่าสุดพบว่า วัยรุ่นที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าจะมีแนวโน้มการสูบบุหรี่มวนสูงกว่าวัยรุ่นที่ไม่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึง 7 เท่าในปีถัดไป เป็นการย้ำว่าวัยรุ่นไม่ได้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือในการช่วยเลิกบุหรี่ แต่ใช้เพราะความดึงดูดของบุหรี่ไฟฟ้าที่มีรสชาติและกลิ่นชวนให้อยากทดลอง และมีความเชื่อผิดๆที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความปลอดภัย นอกจากนี้ยังพบการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเยาวชนสัมพันธ์กับการใช้สารเสพติดอื่นๆ เช่น สุรา กัญชา เป็นต้น ในประเทศไทยปัจจุบันพบนักเรียนมัธยมปลายเคยสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง30.5% และนักศึกษามหาวิทยาลัยเคยสูบบุหรี่ไฟฟ้าสูงถึง61%
สนับสนุนให้รัฐบาลคงมาตรการห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย ห้ามบริการ และห้ามครอบครอง บุหรี่ไฟฟ้าต่อไป เนื่องจากมีงานวิจัยออกมายืนยันถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าทั้งต่อตัวผู้สูบและบุคคลรอบข้าง และที่สำคัญที่สุดเพื่อป้องกันเยาวชนไทยจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายและจะนำไปสู่การใช้บุหรี่มวนและสารเสพติดชนิดอื่นๆ