คนไทยที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด อาจเกิดโรคต่าง ๆ ที่ส่งผลโดยตรงมาจากความร้อนของสภาพอากาศ โรคที่รุนแรงที่สุดในกลุ่มนี้ได้แก่
"โรคลมร้อน หรือ Heat Stroke"
ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาทีถูกต้องทันเวลาอาจถึงแก่การเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
จากการเฝ้าติดตามสถานการณ์และการทำการวิจัยอย่างต่อเนื่อง มากว่า 20 ปี เกี่ยวกับ การบาดเจ็บจากความร้อน ต่าง ๆ รวมถึงการเกิดโรคลมร้อน ของวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มทหารเกณฑ์ที่เข้ามารับการฝึกปีละประมาณ 60,000 – 100,000 นาย ทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่สำคัญในการป้องกันโรคและการค้นพบแนวทางในการรักษาโรคดังกล่าว ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับประชาชนได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องทำงานหรือออกกำลังในสภาวะแวดล้อมที่มีมีอุณหภูมิสูง
ได้แก่ การรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อายุที่มากขึ้น ผู้ที่ไม่คุ้นชินกับความร้อน การรับประทานยาที่มีผลต่อการขับเหงื่อ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาขยายหลอดลม ยารักษาโรคทางจิตเวช ยาเสพติดต่าง ๆ การอดนอน การสวมเสื้อผ้าที่ขัดขวางการระบายความร้อน และผู้ที่มีความผิดปกติของร่างกายต่าง ๆ เช่นภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น
จากข้อมูลการฝึกทหารใหม่ ผลัด 1ปี 2559และ2562 รวม35หน่วยฝึก
รวบรวมโดย RESEARCH UNIT FOR MILITARY MEDICINE (RUMM)
วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า ประกอบด้วยข้อมูลทหาร4445นาย
นำไปสู่การสร้างนวัตกรรม "เครื่องตรวจวัดสีปัสสาวะอัตโนมัติ" และ "โมเดลประเมินความเสี่ยง"
เครื่องตรวจวัดสีปัสสาวะแบบอัตโนมัติรายบุคคล
พัฒนาโปรแกรมเพื่ออ่านค่าสีRGB ประเมินค่าระดับสีต่างๆ ด้วยอัลกอริทึม clusteringส่งข้อมูลเข้าระบบประเมินความเสี่ยงแบบออนไลน์ เพื่อลดเวลาการจัดเก็บข้อมูล และได้ค่าที่ถูกต้อง
ขั้นตอนการสร้างโมเดลเพื่อประเมินความเสี่ยง
1. ข้อมูล : ข้อมูลอากาศประจำวัน ความชื้นสัมพัทธ์ อุณหภูมิอากาศ ข้อมูลรายบุคคล สีปัสสาวะ(color)อุณหภูมิกาย(Temp)BMI โรคประจำตัว
2. การจัดรูปแบบและวิเคราะห์ข้อมูล : จัดรูปแบบกับข้อมูลที่ไม่ครบและไม่ถูกต้อง (clean data)
3. การวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโรคลมร้อน : พบว่า 3 ปัจจัยแรกที่มีผล เรียงตามลำดับความสำคัญ คือ
4. การพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ : ได้โมเดลประเมินความเสี่ยง5 ระดับ โดยใช้ Machine Learning
พิจารณา 2 ปัจจัยคือ
จะแบ่งกลุ่มข้อมูลได้ 5กลุ่ม สูงขึ้นตามระดับความเสี่ยง
เช่น ถ้ามีค่า BMI > 27.7 องศา แต่อุณหภูมิกายไม่เกิน 37.2 องศา จะมีความเสี่ยงระดับ 2
หรือ ไม่ว่าจะมีค่า BMIเท่าใด แต่ถ้ามีอุณหภูมิกายระหว่าง37.7 ถึง 38.3 องศา จะมีความเสี่ยงระดับ4
พิจารณา 3 ปัจจัย คือ
จะแบ่งกลุ่มข้อมูลได้ 5กลุ่ม
เช่น ไม่ว่าจะอ้วน หรือ ผอม สีปัสสาวะไม่เข้ม(ระดับ1 หรือ 2) แต่ถ้ามีอุณหภูมิกายระหว่าง 37.2 ถึง 37.7 องศา จะมีความเสี่ยงระดับ 3 หรือ ถ้ามีอุณหภูมิกายตั้งแต่ 38.3 องศา เป็นต้นไปจะมีความเสี่ยงสูงสุด คือ ระดับ 5
1. การทำงาน การออกแรง ออกกำลัง ภายใต้อากาศร้อนจัด อาจเกิดโรคลมร้อนขึ้นได้ และถ้ารักษาไม่ทันอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
2. ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมร้อนที่สำคัญได้แก่ การทำงานในท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด ความชื้นในอากาศสูง อบอ้าว การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อายุมากกว่า 40 ปี การดื่มสุรา การอดนอน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ผู้ที่มีอาการไข้ และผู้ที่ทานยาที่ส่งผลต่อการขับเหงื่อได้แก่ ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยาที่ออกฤทธิ์กับจิตประสาท ยาบ้า ยาขยายหลอดลมเป็นต้น ผู้ที่มีความเสี่ยงดังกล่าวต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษและลดเวลาการทำงานในความร้อนลง
3. ให้ดื่มน้ำให้เพียงพอจนกระทั้งปัสสาวะมีสีใสเหลืองอ่อน
4. เมื่อเกิดความรู้สึกผิดปกติให้หยุดการออกกำลังโดยทันทีอย่าฝืน และให้รีบลดอุณหภูมิของร่างกายลงโดยเร็วโดยการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ใช้น้ำแข็งประคบและพัดระบายลม
5. หากพบผู้ที่ทำงานออกแรง กลางแจ้ง หรือในที่ร้อนจัด เกิดอาการสับสน ตอบสนองช้า เอะอะโวยวาย ไปจนกระทั่งหมดสติหรือชักเกร็ง ให้รีบปฐมพยาบาล โดยการลดอุณหภูมิร่างกายโดยทันที ให้ถอดเสื้อผ้าออก รีบเช็ดตัวและพัดระบายความร้อน หากมีน้ำแข็งให้ใช้น้ำแข็งประคบทั่วร่างกายแล้วรีบส่งโรงพยาบาลโดยทันที
1. ผู้จัดกิจกรรมต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับการบาดเจ็บจากความร้อนที่เกิดจากการออกกำลังและเตรียม ความรู้ การจำแนกความเสี่ยงส่วนบุคคล การติดตามดัชนีความร้อนของพื้นที่การทำกิจกรรมและการแจ้งเตือนโดยใช้สัญญาณธงสีความเสี่ยงเพื่อบอกระยะเวลาที่ต้องพักในแต่ละชั่วโมงและปริมาณน้ำดื่มต่อชั่วโมงที่ควรได้รับ การจัดระบบน้ำดื่มและน้ำแข็งระบายความร้อน ระบบการปฐมพยาบาลและการส่งต่อผู้ป่วย และการแจ้งเตือนความเสี่ยงแก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม
2. ผู้เข้าร่วมกิจกรรมต้องรับราบความเสี่ยงว่าการออกกำลัง ภายใต้อากาศร้อนจัด อาจเกิดโรคลมร้อนขึ้นได้ และถ้ารักษาไม่ทันอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
3. ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมร้อนที่สำคัญได้แก่ การออกกำลังในท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด ความชื้นในอากาศสูง อบอ้าว การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อายุมากกว่า 40 ปี การดื่มสุรา การอดนอน ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ผู้ที่มีอาการไข้ และผู้ที่ทานยาที่ส่งผลต่อการขับเหงื่อได้แก่ ยาลดน้ำมูก ยาแก้แพ้ ยาแก้ไอ ยาที่ออกฤทธิ์กับจิตประสาท ยาบ้า ยาขยายหลอดลมเป็นต้น ผู้ที่มีความเสี่ยงดังกล่าวต้อระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษ
4. ให้ดื่มน้ำให้เพียงพอจนกระทั้งปัสสาวะมีสีใสเหลืองอ่อน
5. เมื่อเกิดความรู้สึกผิดปกติให้หยุดการออกกำลังโดยทันทีอย่าฝืน และให้รีบลดอุณหภูมิของร่างกายลงโดยเร็วโดยการเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ใช้น้ำแข็งประคบและพัดระบายลม
6. หากพบผู้เข้าร่วมกิจกรรมการออกกำลัง กลางแจ้ง หรือในที่ร้อนจัด เกิดอาการสับสน ตอบสนองช้า เอะอะโวยวาย ไปจนกระทั่งหมดสติหรือชักเกร็ง ให้รีบปฐมพยาบาล โดยการลดอุณหภูมิร่างกายโดยทันที ให้ถอดเสื้อผ้าออก รีบเช็ดตัวและพัดระบายความร้อน หากมีน้ำแข็งให้ใช้น้ำแข็งประคบทั่วร่างกายแล้วรีบส่งโรงพยาบาลโดยทันที