หลักการง่าย ๆ 4 ข้อ ในการจัดระเบียบชีวิตดิจิทัล
ผมได้ความคิดเริ่มต้นจากการไปอ่านเจอการรณรงค์ Stop. Think. Connect. จากหน่วยงาน Cybersecurity & Infrastructure Security Agency (CISA) ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีเป้าหมายในการยกระดับความเข้าใจเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ และการเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิตออนไลน์แก่สาธารณะ (ผลพลอยได้คือ ใช้ชีวิตออนไลน์อย่างปลอดภัย → privacy & security และทำสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น → productivity)
กอปรกับผมไม่ค่อยเห็นบทความเกี่ยวกับการจัดระเบียบชีวิตเป็นภาษาไทย จึงรวบรวมและสรุปได้เป็นหลักการจัดระเบียบชีวิตดิจิทัล 4 ข้อ ตามแง่มุมต่าง ๆ เสริมด้วยคำแนะนำจากประสบการณ์ทั้งทางตรงและอ้อม ได้ประมาณนี้
1. จัดระเบียบอุปกรณ์
อัปเดต ซอฟต์แวร์ ระบบปฏิบัติการ เฟิร์มแวร์ ให้เป็นรุ่นปัจจุบันอยู่เสมอ
เปิดการอัปเดตซอฟต์แวร์อัตโนมัติ (อย่าลืมเลือก Over Wi-Fi จะได้ไม่เปลืองค่าเน็ต) หรือถ้าไม่อยากเปิดแบบอัตโนมัติ อย่างน้อยก็ควรรู้วิธีตรวจสอบและอัปเดตด้วยตนเอง (manual)
การอัปเดตส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพื่อปรับปรุงและอุดช่องโหว่ของการทำงานเดิม แต่อาจมีกรณีที่อุปกรณ์รุ่นเก่า ๆ ที่ไม่รองรับ ไม่ได้รับการสนับสนุน หรือมีปัญหาหลังจากการอัปเดต หากคุณคิดว่าอุปกรณ์ของคุณเข้าข่ายดังกล่าว คุณควรศึกษาข้อมูลก่อนอัปเดตทุกครั้ง
ทำแบบนี้กับอุปกรณ์ “ทุกชิ้น” ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อย่าคิดว่ามีแค่คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต แต่มันรวมถึง จีพีเอส สมาร์ตวอตช์ กล้องวงจรปิด เครื่องฟอกอากาศ สมาร์ตทีวี สวิตช์ไฟอัจฉริยะ เครื่องดูดฝุ่น โดรน ฯลฯ คุณได้อัปเดตบ้างหรือเปล่า?
เมื่อต้องการเชื่อมต่ออุปกรณ์กับหน่วยจัดเก็บข้อมูล เช่น HDD, SSD, USB, หรือ memory cards จงสแกนหาไวรัสหรือมัลแวร์ที่อาจแถมมาด้วยทุกครั้ง หรือไม่ก็ใช้บริการ cloud storage ในการแชร์ไฟล์เถิด
เผื่อกรณีที่อุปกรณ์สูญหาย คุณต้องรู้วิธีการตามหาตำแหน่งอุปกรณ์ ล็อกอุปกรณ์ หรือลงชื่อออก (logout) จากบัญชีของบริการต่าง ๆ โดยสั่งการจากเครื่องอื่นไว้ด้วย เมื่อได้อุปกรณ์มาใหม่ๆ คุณควรหัดซ้อมการใช้งานเรื่องพวกนี้เอาไว้บ้าง
เผื่อกรณีทิ้งหรือขายอุปกรณ์ คุณควรศึกษาวิธีการทำ factory reset ของอุปกรณ์นั้น ๆ ด้วย
2. ปกป้องข้อมูลและตัวตน
ข้อมูลส่วนตัวของคุณมีค่าเปรียบเสมือนเงิน ดังนั้น คุณก็ต้องเห็นคุณค่า และปกป้องมัน (เหมือนเงิน) ด้วย
คุณต้องรู้จักวิธีตรวจสอบว่าแอปที่คุณใช้ มีสิทธิ์ในการเข้าถึงอุปกรณ์หรือข้อมูลอะไรของคุณบ้าง
เจ้าของเว็บไซต์หรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก สามารถนำข้อมูลความชอบของคุณ สิ่งที่คุณค้นหา ไปขายต่อได้ คุณจึงควรรับรู้ว่าข้อมูลใดถูกขอไปบ้าง ใครเป็นคนเก็บข้อมูลเหล่านั้น เก็บนานเท่าไร ใครมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น
ฉะนั้น เวลาสมัครหรือใช้งานสิ่งใด ก็ควรอ่าน ข้อตกลงและเงื่อนไข (Terms and Conditions) บ้าง คร่าว ๆ ก็ยังดี
ตรวจสอบและป้องกันวิธีการเข้าบัญชีหรือระบบ (login)
อย่าใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิด เบอร์โทร ทะเบียนรถ เป็นรหัสผ่าน แต่ให้คิดวิธีสร้างและจำรหัสของตนเอง อาจใช้วิธีการสลับอักษร ผสมคำ หรือดัดแปลงประโยค เพื่อให้รหัสผ่านมีทั้งตัวอักษร ตัวเลข สัญลักษณ์
หากกลัวจำไม่ได้... จะใช้แอปช่วยสร้างและจำรหัสผ่านก็ไม่เสียหาย แต่ต้องศึกษาก่อนใช้งาน
อย่าใช้รหัสผ่านอันเดิมตลอดไป บางองค์กรแนะนำให้บุคคลากรเปลี่ยนรหัสผ่านทุก 3 หรือ 6 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงหากฐานข้อมูลรหัสผ่านถูกเจาะและถอดรหัส
หากกลัวจำรหัสผ่านไม่ได้... การใช้ไบโอเมทริกซ์ (biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ใบหน้า ดวงตา เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยเพิ่มสะดวกในการเข้าบัญชีได้
อย่าใช้รหัสผ่านสำหรับแต่ละบัญชีซ้ำกัน มิฉะนั้น โจรได้รหัสเดียว เข้าได้ทุกบัญชี
อย่างน้อย "รหัสผ่านของบัญชีส่วนตัว" กับ "บัญชีที่เกี่ยวกับงาน" ของคุณควรแตกต่างกัน
หากผู้ร้ายสามารถเข้าไปยังบัญชีใด ๆ ของคุณได้แล้ว เขาสามารถบันทึกข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับบัญชีนั้นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลสนทนาทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน, รูปภาพที่คุณอัปโหลดไว้แบบ private หรือ only me, ข้อความที่ส่งหาตนเอง, เลขหรือรูปสำคัญต่าง ๆ จากนั้นผู้ร้ายอาจจะเปลี่ยนอีเมลและรหัสผ่านสำหรับบัญชีนั้น ทำให้คุณใช้งานไม่ได้อีกต่อไป (จนกว่าจะกู้คืนสำเร็จ)
ควรเปิดใช้งานการยืนยันแบบสองขั้นตอน หรือการตรวจสอบด้วยหลาย (สอง) ปัจจัย หรือย่อว่า MFA (2FA) เช่น OTP, Authenticator App ต่าง ๆ หรือหากในอนาคตมีอะไรที่ปลอดภัยกว่า ก็ควรเลือกวิธีนั้น
คุณโอเคไหม หากเพื่อนของคุณโพสต์รูปที่มีคุณติดอยู่ในนั้น "แบบสาธารณะ"? หรือ tag คุณในรูปที่คุณไม่พร้อม?
คุณรู้วิธีการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (privacy) และความปลอดภัย (security) หรือยัง?
คุณรู้ว่าใครจะเห็นข้อมูลที่คุณแชร์? และเห็นได้อย่างไร?
ทบทวนสิทธิ์ในการมองเห็นที่เหมาะสมให้กับเพื่อนของคุณในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่คุณใช้อยู่
"คุณไม่ต้องโพสต์ทุกอย่างหรือตามทุกเทรนด์ในโซเชียลก็ได้" เหตุการณ์ที่ไม่ได้ถูกโพสต์ลงไปในโซเชียลมีเดียไม่ได้หมายความว่ามันไม่เกิดขึ้น (just because it's not posted on social media, doesn't mean it's not happening)
คุณพร้อมรับมือกับ digital footprint จากตัวคุณในอดีต ที่อาจส่งผลต่อการงานที่สำคัญในอนาคตแล้วหรือ?
ลบไฟล์และข้อมูลดิจิทัลที่ไม่จำเป็นที่บันทึกอยู่ในบัญชีหรือบริการต่าง ๆ
ลบอีเมลเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ลบข้อมูลเก่า ๆ รูป วิดีโอ ที่ไม่ได้บ่งบอกถึงตัวตนของคุณในปัจจุบัน ให้ลบดวงดาวทุกดวงหมดฟ้า ลบเรื่องราวที่เคยผ่านมา ลบอะไรก็ตาม แต่สุดท้ายยังรักอยู่ การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม
ยกเลิกติดตาม (unsubscribe) จดหมายข่าว การแจ้งเตือนต่าง ๆ ความสัมพันธ์ ที่ไม่จำเป็น
หากยังต้องเก็บหรือสำรองข้อมูลบนบริการคลาวด์ แบบออนไลน์ หรืออุปกรณ์แบบออฟไลน์ ให้หมั่นตรวจสอบสิทธิ์ (permission) ว่าใครสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้บ้าง
3. ใส่ใจในการเชื่อมต่อ
เวลาติดตั้ง Wi-Fi ใหม่ หรือ การแชร์เน็ตผ่าน hotspot คุณไม่ควรตั้งชื่อที่สื่อได้ว่านี่คือ Wi-Fi ของใคร ของบ้านไหน ห้องไหน เพราะถ้ามีผู้ไม่หวังดี เขาจะสามารถระบุตัวเจ้าของเครือข่ายได้โดยง่าย และคุณต้องกำหนดรหัสผ่าน มีการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อป้องกันการแอบใช้งาน เพิ่มความปลอดภัยจากการดักอ่านข้อมูล
หลีกเลี่ยงการใช้ Free Wi-Fi ที่ใช้งานได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ไม่มีการเข้ารหัสข้อมูล
เมื่อมีการทำธุรกรรม เช่น ซื้อของออนไลน์ กรอกข้อมูลส่วนตัว บัตรเครดิต ให้ตรวจดูว่าการเชื่อมต่อเว็บไซต์เป็นแบบเข้ารหัส https:// หรือไม่ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัย 100% เพราะผู้ประสงค์ร้ายสามารถใช้ fake SSL Certificate (ใบรับรองปลอม) เพื่อใช้การเชื่อมต่อแบบ https:// ได้เหมือนกัน ดังนั้นคุณต้องดูบริบทอื่นของเว็บไซต์ที่กำลังจะกรอกข้อมูลร่วมด้วย
หากไม่มั่นใจเวลาเจอลิงก์ (link) สิ่งที่ต้องทำคือ Don't click! ห้ามคลิก! ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
ปัจจุบันมีบริการย่อ URL (URL shortener) ให้ใช้มากมาย เพื่อช่วยให้ URL สั้นลงเพื่อให้ไม่รกข้อความ หรือสะดวกเวลาแชร์ เช่นจาก URL ยาว ๆ https://sites.google.com/view/navadon/DLDCLT2 อาจจะย่อลงเหลือสั้น ๆ เป็น https://cmu.to/dontclick ซึ่งมิจฉาชีพก็ใช้เทคนิคนี้ในการอำพรางลิงก์หลอกลวงทั้งหลายได้เช่นกัน ดังนั้นคุณอาจต้องรู้จักใช้บริการ URL un-shortener เพื่อดูว่า URL จริงคืออะไรไว้บ้าง
เมื่อได้รับลิงก์ในอีเมล ไลน์ DM SMS ให้ตรวจดูบัญชีผู้ส่งเสมอ เพราะการนำเสนอข้อมูลที่ดูดีเกินจริง (too good to be true) อาจกำลังหลอกลวงให้คุณเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ถ้าไม่แน่ใจ จงปิดหรือลบขว้างไปเสีย!
เพราะการเชื่อมต่อไม่ได้มีแค่ทาง Wi-Fi เท่านั้น คุณจึงควรรู้จักการปิด-เปิด การกำหนดการเข้าถึง และตั้งค่าความปลอดภัยให้กับ Bluetooth, NFC ของอุปกรณ์ที่คุณใช้งานด้วย
4. จงเป็นพลเมืองโลกออนไลน์ที่...
โลกอินเทอร์เน็ตมีความหลากหลายทั้งด้านบวกและด้านลบที่สุดโต่ง
ตอนคุณทำดี ชาวเน็ตที่คุณไม่รู้จักยังเข้ามาชื่นชมยินดี ทำหัวใจพองโตได้ทั้งวัน
แต่ก็มีหลายครั้งที่ชาวเน็ตแม่งโหดร้ายฉิบหาย หากคุณทำพลาดเพียงหนึ่งครั้ง อาจโดนชาวเน็ตกระทืบซ้ำจนจมดิน ขุดเรื่องอดีตมาฝังกลบ บั่นทอนจิตใจจนเกินจะทนไหว
หากอ่านถึงตรงนี้ ลองตอบตัวเองดูว่า คุณอยากเป็นชาวเน็ตแบบไหน?
การเป็นพลเมืองโลกออนไลน์ที่ดี? ฟังดูโลกสวยนามธรรมมาก เราอยากให้คุณเริ่มต้นโดยการทำเพื่อตัวคุณคนเดียวเสียก่อน ไม่ต้องทำดีเพื่อใคร เพราะมันไม่ยั่งยืน การทำเพื่อตัวคุณคนเดียว ไม่ได้แปลว่าให้ฉกฉวยโอกาส ไม่มีสติรู้สึกผิดชอบ ไม่มีจิตสำนึกสาธารณะ แต่หมายถึงสิ่งต่อไปนี้...
จงใส่ใจข้อมูล ตัวตน และสถานะของคุณเป็นอันดับแรก
คุณต้องอัปเดตความรู้ใหม่เกี่ยวกับความปลอดภัยในโลกออนไลน์อยู่เสมอ เช่น อ่านบทความจากบริษัทใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Google องค์กรเฉพาะทาง Stop Think Connect หรือ National Cybersecurity Alliance บทความภาษาไทยอย่างคลังความรู้ของ สพธอ. (ETDA) หัวข้อ Internet for Better Life ไม่ก็ Cybersecurity หรือจะดูคลิป ขอสั้น ๆ ของ 9arm ก็เข้าใจง่าย
คิดให้ดี ก่อนเมนต์ ก่อนแชร์ ก่อนโพสต์
The Golden Rule "Do unto others as you would have them do unto you" แปลเป็นไทยได้ว่า “จงทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ต้องการให้ผู้อื่นทำต่อตนเอง” มิเช่นนั้น อาจจะเป็นตามคำพังเพยของคนเมือง (เหนือ) ว่า “ตกต๋าเปิ้นเป๋นดีไค่หัว ตกต๋าตั๋วเป๋นดีไค่ไห้”
การกระทำบนอินเทอร์เน็ตของคุณอาจส่งผลถึงคุณและคนอื่นในโลกจริงโดยที่คุณไม่รู้เลยก็ได้ ดั่งวลี "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว" (butterfly effect) เพราะหลังจากเมนต์ แชร์ หรือโพสต์ คุณต้องรับผิดชอบผลของการกระทำนั้นทันที ซึ่งอาจมีผลต่อ ครอบครัว นามสกุล องค์กร ที่เกี่ยวข้องกับคุณในอนาคตอันใกล้และไกล
ปัญหาส่วนตัว ข้อขัดแย้ง ข้อติเตียน ควรเริ่มด้วยการติดต่อกันส่วนตัว ก่อนโพสต์แบบสาธารณะ ดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า "ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า"
สองคำสั้น ๆ ที่เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันที่ทุกท่านรู้แล้วตั้งแต่อยู่อนุบาล คือ ขอบคุณและขอโทษ
พึงระลึกไว้ว่า เมื่อเห็นโพสต์ปัญหาส่วนตัว เรากำลังเห็นมุมมองหรือฟังความเพียงแค่ข้างเดียว ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่าเพิ่งออกตัวแรง!
ปัญหาจากการบกพร่องประสิทธิภาพในหน้าที่และความรับผิดชอบของหน่วยงาน/องค์กรที่ต้องทำงานเพื่อส่วนรวม รวมถึงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ในสังคม เราต่างทราบดีว่าทุกปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ และพลังบวกของสังคมไม่ได้เกิดจากการเลือกนำเสนอเฉพาะด้านดี เราอาจมีประสบการณ์ไม่ตรงก็อ้อมว่า "ประเทศนี้ขับเคลื่อนด้วยการด่า" แต่จงอย่าลืมว่าการด่าไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะขับเคลื่อนทุกสิ่งในประเทศนี้ จงใช้สติ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เครื่องด่าต้องพักบ้าง ขอให้พิจารณาถึงการติดต่อโดยตรงผ่านช่องทางอื่นที่หน่วยงาน/องค์กรนั้น ๆ แจ้งไว้ หรือเข้าร่วมแคมเปญรณรงค์เรียกร้องด้วย
เสียงของคุณมีความหมาย และการช่วยส่งเสียงสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคนที่ไม่มีโอกาสออกเสียงได้ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าคนเรามีเหตุผล ประสบการณ์แตกต่างกัน จึงเลือกวิธีการแสดงออกหรือไม่แสดงออกแตกต่างกัน และไม่มีใครประเมินได้ว่าการแสดงความเห็นแบบสาธารณะจะส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานแค่ไหน เราต้องเปิดใจยอมรับและเคารพการตัดสินใจของผู้อื่นด้วย
ช่วยกันเป็นหูเป็นตา ให้กับแอดมิน GM เจ้าหน้าที่ ดาบ chat หรือช่วยกดรีพอร์ตเมื่อพบเกรียนคีย์บอร์ด แอคหลุมสายปั่น ข่าวปลอม สแปมเว็บพนัน แก๊งค์หลอกลงทุน คนดีย์ ไอโอร้าบาน คุณต้องรู้วิธีการแคป (screen capture) หรือบันทึกวิดีโอหน้าจอไว้บ้าง
อย่าเชื่อโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา
คุณอาจเคยเห็นมีม (meme) ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้อันนึงคือ รูปของ Abraham Lincoln กับ quote ที่ว่า "Don't believe everything you read on the internet (just because there's a picture with a quote next to it)" เรื่องของเรื่องคืออดีตประธานาธิบดีสหรัฐท่านนี้เสียชีวิตตั้งแต่ ค.ศ. 1865 หรือประมาณร้อยปีก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ต... อย่าด่วนสรุป ใช้สติลูกกก!
หลายครั้งที่คุณเห็นผู้คนพลั้งพลาดเชื่อเรื่องประมาณนี้ แล้วก็ชอบแชร์ให้คนอื่นทันที (ไม่นับกรณีแชร์เพื่อดักนะ) จงเตรียมพร้อมไว้ เพราะคุณเองก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
คุณไม่สามารถเชื่อคำตอบจากระบบ AI ประเภท Generative Pre-trained Transformer เช่น ChatGPT ได้ แม้มันอาจฟังดูดีมากก็ตาม เพราะคำตอบมาจากการสร้างขึ้นโดยอาศัยรูปแบบที่ได้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งอาจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ หรือข้อเท็จจริงใด ๆ
Social network แทบทุกเจ้า พยายามเชื่อมคนที่ใจตรงกัน (like-minded) เข้าถึงกัน เพราะขายข้อมูลต่อให้ลูกค้าได้ง่าย :P ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนที่มีความคิดคล้ายกันถูกล้อมรอบด้วยสื่อและข่าวสารในทิศทางเดียวกัน ส่วนคนที่มีมุมมองต่างกันก็จะแทบไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น ทักษะด้านการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (media & information literacy) และทักษะการรู้เท่าทันข่าว (news literacy) เพื่อการแยกแยะ เรื่องจริง ความคิดเห็น ข่าวปลอม จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากในโลกดิจิทัล
อย่าเชื่อข้อมูลจากเพียงแหล่งเดียว อย่าเชื่อเพราะเป็นคนรู้จักคุณแชร์มา
อย่าเชื่อเพราะผู้เขียนเป็นอาจารย์ จงใช้ปัญญาพิจารณาก่อนเสมอ นั่นหมายรวมถึงบทความนี้ด้วยเช่นกัน!
*ของแถม ว่าด้วยเรื่อง "คิดให้ดี ก่อนเมนต์ ก่อนแชร์ ก่อนโพสต์"
ผมไปอ่านเจอบทความ T.H.I.N.K. Before You Post โดยคุณ Melissa Pilakowski ที่เขาบอกขั้นตอนในการคิดก่อนโพสต์ หลัก ๆ ก็เกี่ยวกับ Digital Citizenship ซึ่งผมมองว่ามันจะช่วยลดการมู่ลี่ cyberbullying ได้ด้วย โดยแต่ละตัวอักษรแยกเป็นคำถามย่อย ก่อนเมนต์ แชร์ โพสต์ ก็ตอบตัวเองไปทีละข้อ ผมแปลและค้นหาข้อมูลอื่นมาเสริม ดังนี้
Is it True? มันคือเรื่องจริงไหม?
คุณได้ตรวจสอบข้อมูลจากหลายแหล่ง หลายมุมมองแล้วหรือยัง?
Is it Helpful? มันเป็นประโยชน์ไหม?
หรือบางแห่งบอกว่า Is it Hurtful? มันทำร้าย (จิตใจ) ใครไหม?
Is it Inspiring? มันสร้างแรงบันดาลใจไหม? มันส่งผลดีกับคนอื่นไหม?
หรือบางที่จะเป็น Is it Illegal? มันคือแป้ง(ของใคร)หรือเปล่า? มันผิดกฎหมายหรือเปล่า?
Is it Necessary? มันจำเป็นไหม? โลกต้องรู้หรือไม่?
Is it Kind? มันใจดี(ต่อผู้อื่น)ไหม?
และขอยกประโยคส่งท้ายว่า "In the world where you can be anything, be kind."
วิดีโอบันทึกการสอน
โดย นวดนย์ คุณเลิศกิจ (พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๔ (ปรับปรุงล่าสุด: สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๖))
ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานชิ้นนี้ใช้สัญญาอนุญาต CC BY 4.0
by Navadon Khunlertgit (May, 2021 (Last updated: August, 2023))
Department of Computer Engineering, Faculty of Engineering, Chiang Mai University
This work is licensed under CC BY 4.0.